กรกฎาคม 2551 : โปรดเกล้าฯ แล้ว ครม. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ครม. “สมัคร 4” มี 7 รมต. หน้าใหม่ รัฐบาลออก 6 มาตรการ 6 เดือน “ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน” ข้อตกลงทวิภาคี "ไทย-เขมร" บรรลุ 5 ประเด็น แก้พิพาท "พระวิหาร" ศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี คุณหญิงพจมาน – บรรณพจน์ ส่วน เลขาฯ โดน 2 ปี กรณีเลี่ยงภาษีโอนหุ้นชินคอร์ป "ยงยุทธ" ไม่รอด "ใบแดง" กกต. เตรียมพิจารณายุบพรรค "พปช." ศาลสั่งออกหมายจับ “วัฒนา” กรณีไม่มาฟังคำพิพากษาคดีคลองด่าน ตุลาการศาล รธน. ชี้ 3 กม. ไม่ขัด รธน. เตือนรับมือความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ – คำประกาศหยุดยิงไร้ผล กมธ.งบฯ เร่งถกวาระ 2-3 โดยจะพิจารณาเรียงตามกลุ่มภารกิจ เลิก 5 โครงการซ้ำซ้อนยุค "รัฐบาลสุรยุทธ์" ครม. ตีกลับรถเมล์ 6,000 คัน เป็นครั้งที่ 3 ให้ตั้ง “สนั่น” เป็น ปธ. หาข้อสรุปก่อนนำเข้า ครม. อีกครั้ง ยอมก่องบฯ ผูกพัน 1.5 พันล้าน จัดซื้อ เฮลิคอปเตอร์ 14 ลำ ดับ-ป้องกันไฟป่า สธ. ของบ 114,847 ล้านปี 52 "บัตรทอง" ได้ 2,202 บาทต่อหัวต่อปี มาตรการสางหนี้ ช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบอุทกภัยปี 2551 ให้ 223 ล้าน ศึกษารถไฟฟ้า 3 โครงการ ครม. อนุมัติโครงการผันน้ำงึม มูลค่า 7.6 หมื่นล้าน เพิ่มราคารับซื้อน้ำนมดิบเป็น 18 บ./กก. คาดราคานมโรงเรียนเพิ่ม 1-2 บาทต่อกล่อง ได้ที่ดินทหารสร้างสภาใหม่ 4 พันล้านที่เกียกกาย เงินเฟ้อเดือน มิ.ย. พุ่ง 8.9% ทำสถิติสูงต่อเนื่องรอบ 10 ปี ประชากรหญิงมีมากกว่าชายเกือบล้าน ส่งผลต่อภาวะการแต่งงานของไทย ปรับ ครม. สมัคร 4 หลุด 5 หน้าใหม่ 7 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2551 แต่งตั้งรัฐมนตรีใหม่และให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง ดังนี้ 1. ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งใหม่ คือ พลตำรวจเอกโกวิท วัฒนะ เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายมั่น พัธโนทัย เป็นรองนายกรัฐมนตรีเพิ่มอีกตำแหน่งหนึ่ง นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายพิชัย นริพทะพันธุ์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายไชยา สะสมทรัพย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายพิเชษฐ์ ตันเจริญ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายประสงค์ โฆษิตานนท์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (เดิมเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม) นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (เดิมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (เดิมเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) 2. ผู้ที่พ้นจากการเป็นรัฐมนตรี คือ นายสุวิทย์ คุณกิตติ พ้นจากการเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร้อยตรีหญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี พ้นจากการเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ พ้นจากการเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง พ้นจากการเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสิทธิชัย โควสุรัตน์ พ้นจากการเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย 6 มาตรการฝ่าวิกฤตชั่วคราว 6 เดือน จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนสร้างปัญหาค่าครองชีพให้แก่ประชาชนคนไทย เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา รัฐบาลจึงประกาศใช้ 6 มาตรการเพื่อคนไทย ดังนี้ 1. ลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ได้แก่ น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 E10 E20 และ E85 ลดลง 3.30 บาทต่อลิตร เหลือ 0.0165 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซล ลดลง 2.30 บาทต่อลิตรเหลือ 0.005 บาทต่อลิตร น้ำมันไบโอดีเซล (Biodiesel: B5 ) ลดลง 2.19 บาทต่อลิตร เหลือ 0.0048 บาทต่อลิตร 2. ชะลอการปรับราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ในภาคครัวเรือน 3. ให้ครัวเรือนประเภทที่อยู่อาศัย ที่มีการใช้น้ำประปาไม่เกิน 50 ลบ.ม./เดือน ไม่ต้องเสียค่าน้ำ 4. ให้ครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 80 หน่วย/เดือน ไม่ต้องเสียค่าไฟฟ้า ส่วนครัวเรือนที่ใช้เกินกว่า 80 หน่วย/เดือน แต่ไม่เกิน 150 หน่วย/เดือน จ่ายเพียงครึ่งเดียว 5. จัดรถโดยสารธรรมดาขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน 800 คัน ให้บริการในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 6. ให้ประชาชนใช้บริการรถไฟชั้น 3 ไม่ปรับอากาศ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ทั่วประเทศ มาตรการทั้งหมดจะใช้เวลา 6 เดือน โดยเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2551 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2552 ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในข้อ 3 ถึง 6 นั้น รัฐบาลจะชดเชยให้แก่หน่วยงานที่ให้บริการ ไทย-เขมร" ตกลง 5 ประเด็น กรณี "พระวิหาร" ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม รับทราบผลการประชุมทวิภาคีไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ที่เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา ที่นายเตช บุนนาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายไทยไปประชุมทวิภาคีไทย-กัมพูชา ดังนี้ 1. รัฐมนตรีต่างประเทศทั้งสองประเทศเห็นพ้องกันว่า จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าด้วยกำลังทหาร และแก้ไขปัญหาปราสาทพระวิหารด้วยสันติวิธี 2. ทั้งสองฝ่ายจะจัดประชุมเพื่อหารือประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนโดยเร็วที่สุด 3. ทั้งสองฝ่ายจะเสนอรัฐบาลของตนดำเนินการชั่วคราว ในระหว่างที่รอการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ดังนี้ 3.1 เก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ที่จะมีการสำรวจ และจัดทำหลักเขตแดนโดยคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมฯ โดยการดำเนินการของแต่ละฝ่ายให้เป็นไปอย่างประสานสอดคล้องกัน 3.2 จัดตั้งชุดประสานงานชั่วคราว ซึ่งประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสองฝ่าย เพื่อจัดการกับปัญหาที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ 3.3 ให้ปรับกำลังของฝ่ายตนออกจากวัดแก้วสิขาคีรีสวารา พื้นที่รอบวัด และปราสาทพระวิหาร 4. มาตรการชั่วคราวข้างต้นจะไม่มีผลกระทบต่อสิทธิของทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนภายใต้กรอบคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมฯ และท่าทีทางกฎหมายของแต่ละฝ่าย 5. ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะหารือประเด็นอื่นๆ ที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ ในการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศไทย-กัมพูชา ครั้งต่อไป ศาลตัดสินจำคุก “พจมาน-บรรณพจน์" คนละ 3 ปี กรณีเลี่ยงภาษี เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม องค์คณะผู้พิพากษาศาลอาญาตัดสินให้จำคุกนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร รวมคนละ 3 ปี ฐานจงใจร่วมกันแจ้งข้อความเท็จฯ หลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร และนางกาญจนา หงษ์เหิน 2 ปี ในกรณีเดียวกัน ตามที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องในคดี "เลี่ยงภาษีหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)" มูลค่า 546 ล้านบาท คดีนี้ถือเป็นคดีแรกของครอบครัว "ชินวัตร" ที่ศาลมีคำพิพากษา นับจากการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 และมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) มาตรวจสอบการกระทำของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้ว ศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้งสาม ระหว่างอุทธรณ์ โดยตีราคาประกันคนละ 5 ล้านบาท ส่วนเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมสรรพากรอีก 5 คน ซึ่งประกอบด้วย นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ รองอธิบดีขณะนั้น และเจ้าหน้าที่อื่นๆ ที่ถูกสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ระบุว่า มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และมีความผิดอาญาฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ กรณีไม่เรียกเก็บภาษีเงินได้จากนายบรรณพจน์ ที่ได้รับหุ้นบริษัท ชินฯ จากนางสาวดวงตา วงษ์ภักดี ผู้ถือหุ้นแทนคุณหญิงพจมานนั้น ต้องรอรายละเอียดคำพิพากษาศาลก่อน เพื่อนำมาวินิจฉัยกับกฎหมายของกรมสรรพากร เมื่อได้ผลสรุปจะส่งเรื่องไปยังรัฐมนตรีคลังทันที "ยงยุทธ" ได้ใบแดง “ละออง” รับใบเหลือง ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง มีคำสั่งเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.สัดส่วน กลุ่มที่ 1 และรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน มีกำหนดเวลา 5 ปีนับแต่วันที่มีคำสั่ง และให้เลือกตั้ง ส.ส.เชียงราย เขต 3 ใหม่ 1 คน แทน น.ส.ละออง ติยะไพรัช น้องสาวนายยงยุทธ ส.ส. เขต 3 จ.เชียงราย พรรคพลังประชาชน คดีนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายยงยุทธ และ น.ส.ละออง ติยะไพรัช ในข้อหากระทำผิด พ.ร.บ. เลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว. พ.ศ. 2550 ด้วยการแจกเงินให้กับกลุ่มกำนัน อ.แม่จัน จ.เชียงราย ซึ่งเป็นหัวคะแนน หลังจากนายยงยุทธ พ้นสภาพ ส.ส. แล้ว กกต. จะเลื่อนผู้สมัคร ส.ส.สัดส่วนในลำดับถัดไปของพรรคขึ้นมาแทน และจะตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบว่าจะต้องยุบพรรคพลังประชาชนตามมาตรา 95 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2550 หรือไม่ หากต้องยุบพรรค จะให้นายทะเบียนพรรคการเมืองเสนอเรื่องต่ออัยการสูงสุดก่อนส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคต่อไป ส่วนกรณีของ น.ส.ละออง ติยะไพรัช ซึ่งเป็น ส.ส.เขตนั้น กกต. จะจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่ น.ส.ละออง ก็ยังมีสิทธิที่จะมีสิทธิลงสมัครรับการเลือกตั้งเหมือนเดิม ออกหมายจับ “วัฒนา” ฐานไม่มาฟังคำพิพากษา เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลนัดฟังคำพิพากษาที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวัฒนา อัศวเหม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และประธานพรรคเพื่อแผ่นดิน เป็นจำเลย ในความผิดกรณีร่วมออกโฉนดที่ดิน 1,900 ไร่ ทับที่คลองสาธารณประโยชน์ และที่เทขยะมูลฝอยซึ่งเป็นที่สงวนหวงห้าม เพื่อนำไปขายให้กรมควบคุมมลพิษเพื่อก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ แต่จำเลยไม่มาฟังคำพิพากษา จึงให้ปรับนายประกัน และออกหมายจับจำเลยมาฟังคำพิพากษา โดยนัดอ่านคำพิพากษาอีกครั้งในวันที่ 18 สิงหาคม 2551 เวลา 14.00 น. โดยก่อนหน้านี้ ในการสืบพยานจำเลย นายวัฒนา เคยเบิกความต่อศาลเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2551 ยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง และกล่าวว่า ถ้าหากทำผิดจริงให้ลงโทษประหารชีวิตซึ่งเป็นโทษสูงสุดเลย รวมทั้งเคยให้สัมภาษณ์ยืนยันจะไม่หนีไปไหนและจะเดินทางมาฟังคำพิพากษาตามกำหนดนัดอย่างแน่นอน ศาล รธน. ชี้ 3 กม. ไม่ขัด รธน. ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ว่า พ.ร.บ. 3 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายรัฐสภา พ.ศ. 2518 พ.ร.บ.สถาบันพระปกเกล้า พ.ศ. 2541 และ พ.ร.บ.สภาพัฒนาการเมือง พ.ศ. 2551ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 2550 เตือนรับมือความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 แจ้งให้ สภ. พื้นที่ชายแดนภาคใต้เพิ่มความเข้มและระมัดระวังป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้นโดยเฉพาะใน 4 อำเภอรอยต่อ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ อ.จะนะ อ.เทพา อ.นาทวี และ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา หลังได้รับรายงานจากหน่วยข่าวกรองว่า กลุ่มบีอาร์เอ็นโอโคออดิเนต เตรียมจะก่อเหตุป่วนใต้ครั้งใหญ่ในห้วงเวลา 25 – 28 กรกฎาคมนี้ โดยเน้นในพื้นที่เขตเมืองและย่านเศรษฐกิจเพื่อเป็นการแสดงพลังของกลุ่มอีกครั้ง คำเตือนดังกล่าวมีภายหลังที่ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร หัวหน้าพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ได้ติดต่อประสานงานกับ 3 แกนนำกลุ่มก่อความไม่สงบในนาม “กลุ่มใต้ดินรวมภาคใต้” นำเทปประกาศหยุดยิงในภาคใต้มาเผยแพร่เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา และขอให้ติดตามดูผล 30 วัน แต่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ใช่แกนนำตัวจริง และหลังจากนั้นยังมีเหตุร้ายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง นายลุคมัน บี.ลิมา รองประธานองค์การปลดปล่อยสหรัฐปัตตานี (พูโล) กลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อีกกลุ่ม กล่าวว่า การประกาศข้อตกลงหยุดยิงดังกล่าวว่าเป็นเพียงกลลวง และยืนยันว่าการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ของไทยจะคงดำเนินต่อไป กมธ. งบฯ เร่งถกวาระ 2-3 คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 แถลงเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ว่า กมธ. ได้กำหนดกรอบการประชุมงบประมาณให้แล้วเสร็จภายใน 105 วัน ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ซึ่งจะต้องเสร็จภายในวันที่ 20 สิงหาคม เพื่อเสนอเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้พิจารณาในวาระ 2 และ 3 ในวันที่ 3-4 กันยายนนี้ โดยการพิจารณาจะเรียงตามกลุ่มภารกิจ อาทิ ภารกิจด้านเศรษฐกิจ ภารกิจด้านความมั่นคง ภารกิจด้านสังคม ภารกิจด้านบริหาร หน่วยงานตามรัฐธรรมนูญและจังหวัด ทั้งนี้ ในส่วนของรัฐวิสาหกิจที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี และกองทุนหมุนเวียน จะพิจารณาในรายละเอียดของกระทรวงต้นสังกัด ส่วนรัฐวิสาหกิจที่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ จะพิจารณาหลังจากจบการพิจารณาของทุกกระทรวงแล้ว โดย กมธ. จะนัดให้สมาชิกผู้แปรญัตติเสนอคำแปรญัตติในวันที่ 13 สิงหาคมนี้ ครม. เลิก 5 โครงการ "รัฐบาลสุรยุทธ์" ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม มีมติให้คงคณะกรรมการ 3 คณะ ไว้ และยกเลิกคณะกรรมการอีก 5 คณะ ด้วยเหตุผลว่าซ้ำซ้อน โดยคณะกรรมการที่ให้คงไว้ คือ 1. คณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ 2. คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาประเทศตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 3. คณะกรรมการพัฒนาความร่วมมือกับประเทศไทยเพื่อนบ้าน และคณะกรรมการที่ให้ยกเลิก คือ 1. คณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประชาชนอยู่ดีมีสุข 2. คณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ 3. คณะกรรมการส่งเสริมการปรับปรุงตัวของธุรกิจรายสาขา 4. คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวม 5. คณะกรรมการวางกรอบแนวทางการศึกษาระบบการจัดการลุ่มน้ำยม คณะกรรมการทั้งหมดตั้งขึ้นในรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ครม. ยังไม่อนุมัติรถเมล์ 6,000 คัน แต่ให้ปรับปรุงการบริหารจัดการเดิม ที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม มีมติตีกลับโครงการเช่ารถเมล์องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน 6,000 คัน เป็นครั้งที่ 3 และให้นำเรื่องเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองชุดพิเศษ ที่มี พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นเลขานุการ และเมื่อได้ข้อยุติให้นำเสนอเข้าพิจารณาใน ครม. อีกครั้ง นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการให้มีการปรับปรุงการบริหารจัดการและการบริการของระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ได้แก่ 1. เห็นชอบให้ ขสมก. จัดหารถโดยสารปรับอากาศใหม่ใช้ก๊าซธรรมชาติด้วยวิธีการเช่า จำนวน 6,000 คัน วงเงิน 111,690 ล้านบาท ระยะเวลา 10 ปี 2. เห็นชอบให้ ขสมก. ดำเนินการเกษียณอายุก่อนกำหนด วงเงินไม่เกิน 6,200 ล้านบาท 3. เห็นชอบให้รัฐบาลให้เงินยืมโดยไม่มีดอกเบี้ยแก่ ขสมก. เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน 3,500 ล้านบาท และ ขสมก. จะชำระคืนปีละ 500 ล้านบาท 4. เห็นชอบให้ ขสมก. ดำเนินการปรับปรุงเส้นทางการเดินรถให้ครอบคลุมทุกเส้นทาง 5. อนุมัติให้ ขสมก. ขายรถโดยสารเก่า 3,535 คัน 6. อนุมัติให้ ขสมก. บรรจุพนักงานใหม่ 7. ให้กระทรวงการคลังประสานกับธนาคารของรัฐในการปรับโครงการหนี้ของพนักงาน ขสมก. ที่มีหนี้สินกับสหกรณ์ออมทรัพย์ วงเงิน 2,000 ล้านบาท และ 8. เห็นชอบให้สำนักงบประมาณ จัดสรรงบฯ รายจ่ายประจำปี เพื่อชำระหนี้ค่าดอกเบี้ยรวมประมาณ 35,076 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค่าดอกเบี้ยจากยอดเงินตามสัญญา 9,125 ล้านบาท และดอกเบี้ยจ่ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 25,951 ล้านบาท ครม. ให้ซื้อ ฮ. 14 ลำป้องกันไฟป่า ที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พิจารณาข้อเสนอขอก่องบฯผูกพันข้ามปี (ปีงบประมาณ 2552-2554) วงเงิน 1,500 ล้านบาท เพื่อจัดหาอากาศยานสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจด้านอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวม 14 เครื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอมา ซึ่ง ครม. ไม่ขัดข้องกับการจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ เพื่อเฝ้าระวังการบุกรุกทำลายป่าหรือป้องกันไฟป่า อนุมัติงบ “บัตรทอง” พ่วงประชานิยม เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุข สำหรับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 ในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เป็นเงินทั้งสิ้น 114,847 ล้านบาท ประกอบด้วย 1. อัตราเหมาจ่ายรายหัวสำหรับโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 2,317 บาทต่อหัว จำนวน 108,983 ล้านบาท 2. งบประมาณสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี 125,000 ราย 2,983 ล้านบาท 3. งบประมาณทดแทนสำหรับผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง 1,530 ล้านบาท 4. งบประมาณสำหรับบริหารจัดการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) 1,350 ล้านบาท มาตรการสางหนี้เกษตรกร ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือด้านหนี้สินสมาชิกสถาบันเกษตรกรที่ประสบอุทกภัยปี 2551 แยกเป็น กรณีสมาชิกเสียชีวิตให้จำหน่ายหนี้ออกจากบัญชีของสถาบันเกษตรกรเป็นศูนย์ โดยรัฐบาลรับชำระหนี้แทนให้ทั้งหมด กรณีสมาชิกประสบปัญหาร้ายแรง ทำให้พื้นที่เสียหายและขาดรายได้ ให้สถาบันการเงินขยายระยะเวลาการชำระหนี้เงินกู้ออกเป็น 3 ปี ปลอดดอกเบี้ยเป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปี 2550-2552 รัฐบาลจะรับภาระการชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันการเงิน ให้ 223 ล้าน ศึกษารถไฟฟ้า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม อนุมัติให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและการจราจร (สนข.) เบิกจ่าย จำนวน 223,309,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษาจำนวน 3 โครงการ คือ 1. ศึกษาปรับแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางใน กทม. และปริมณฑล วงเงิน 29,393,000 บาท 2. งานออกแบบรายละเอียดโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้มส่วนต่อขยายช่วงสะพานใหม่-ลำลูกกา คลอง 4 วงเงิน 128,090,000 บาท และ 3. งานออกแบบรายละเอียดโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนส่วนต่อขยายช่วงสมุทรปราการ (บางปิ้ง)-บางปู วงเงิน 65,826,000 บาท อนุมัติโครงการ ผันน้ำงึม 7.6 หมื่นล้าน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 15 กรกฎาคม มีมติอนุมัติหลักการโครงการผันน้ำ "น้ำงึม-ห้วยหลวง-ลำปาว" ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วงเงินลงทุนทั้งสิ้น 76,760 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ปี 2552-2556 โดยให้เสนอรายละเอียดโครงการต่อ ครม. พิจารณาอนุมัติดำเนินการโครงการตามขั้นตอนต่อไป สำหรับแนวผันน้ำอื่นๆ ได้มอบให้คณะอนุกรรมการจัดทำแผนการผันน้ำเพื่อเพิ่มน้ำต้นทุนของประเทศ มีนายสหัส บัณฑิตกุล รองนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษาพิจารณาจัดอันดับความสำคัญเพื่อเริ่มศึกษาโครงการต่อไป ขึ้นราคาน้ำนมดิบเป็น 18 บ./กก. เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่ประชุม ครม. เห็นชอบปรับราคาขายน้ำนมดิบหน้าโรงงานเป็น 18 บาทต่อกิโลกรัม และเห็นชอบให้เพิ่มงบฯ อุดหนุนค่าอาหารกลางวันนักเรียน จากอัตราคนละ 10 บาทต่อวัน เป็น 13 บาทต่อวัน จำนวน 200 วัน ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2552 ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยนักเรียนในกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่ชั้นอนุบาลไปจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 รวม 4,710,310 คน การขึ้นราคาน้ำนมดิบครั้งนี้อาจส่งผลทำให้ราคานมโรงเรียนเพิ่มขึ้น 1-2 บาทต่อกล่อง ได้ที่ทหารสร้างสภาใหม่ที่เกียกกาย เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณ 2,727 ล้านบาท เพิ่มเติมจากเดิมที่ขอไว้ 1,300 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 4,027 ล้านบาท เพื่อชดเชยให้กองทัพบก สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และกรมราชองครักษ์ ตามที่นายพิฑูร พุ่มพิรัญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เสนอขอสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ในพื้นที่ราชพัสดุของทหารบริเวณเกียกกาย 119 ไร่ ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาและถนนสามเสน คาดว่าจะวางศิลาฤกษ์ได้ในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ เงินเฟ้อเดือน มิ.ย. พุ่ง 8.9% ทำสถิติสูงในรอบ10 ปี นางไพเราะ สุดสว่าง รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ แถลงว่า ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี้ อัตราเงินเฟ้อได้ขยายตัวสูงถึง 9.7% ทำสถิติสูงสุดในรอบ 10 ปี และเป็นการขยายตัวอย่างต่อเนื่องอันเป็นสาเหตุมาจากที่น้ำมันเชื้อเพลิงมีราคาสูงขึ้นถึงร้อยละ 44.7 ประชากรหญิงมากกว่าชายเกือบล้าน เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยถึงผลการศึกษาว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเกิดวิกฤตการณ์ความไม่สมดุลทางเพศ เนื่องจากมีประชากรหญิงมากกว่าชายถึง 870,000 คน และคาดว่าในปี 2558 จะมีประชากรหญิงมากกว่าชาย 1,167,000 คน และในปี 2568 จะเพิ่มขึ้นเป็น 1,532,000 คน สาเหตุสำคัญเป็นเพราะอัตราการตายของประชากรชายมากกว่าในทุกกลุ่มอายุ แต่จะมากที่สุด คือ ในกลุ่มอายุ 20-24 ปี เนื่องจากการติดเชื้อเอดส์เป็นอันดับหนึ่ง รองลงมา คืออุบัติเหตุและความรุนแรง ความไม่สมดุลทางเพศจะส่งผลถึงการจับคู่แต่งงาน ซึ่งผู้หญิงมีแนวโน้มเป็นโสดมากขึ้น แต่งงานช้าลง นิยมมีบุตรคนเดียว จะทำให้อัตราการเกิดของประชากรต่ำกว่าร้อยละ 1.5 น้อยกว่าร้อยละ 2 ซึ่งเป็นอัตราทดแทน ซึ่งจะส่งผลต่อภาวะการเพิ่มของประชากรไทย