ธันวาคม 2550 : พรปีใหม่จากพระเจ้าอยู่หัว ในหลวงพระราชทานพรปีใหม่ให้ "โอนอ่อนผ่อนปรนเข้าหากัน อย่าก่อปัญหาและก่อเงื่อนไข" กกต. สรุปผลการเลือกตั้ง พลังประชาชน มาอันดับหนึ่ง ประชาชนกว่าร้อยละ 75 ใช้สิทธิ เริ่มต้นกระบวนการสรรหา ส.ว. ประธานวิรัช ลิ้มวิชัย เตรียมเสนอชื่อผู้สมควรได้รับการสรรหา 3 – 17 ม.ค. 51 ศาลปกครองสูงสุดพิพากษายกฟ้องคดีแปรรูป ปตท. สั่งโอนทรัพย์คืน ก.คลัง อาทิ ที่ดิน และท่อส่งก๊าซ 3 เส้น รัฐบาลสรุปผลงาน 1 ปี มีผลสำเร็จกว่า 85% แถมเดือน พ.ย. ยังส่งรายได้เข้าคลัง 108,535 ล้านบาท สูงกว่าเดือนเดียวกันในปีก่อน 10.9% ครม. ทิ้งทวนอนุมัติ 6 โครงการ 5 หมื่น ล. อาทิ แอร์พอร์ตลิงค์ สนช. ผ่าน พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝาก รัฐบาลคุ้มครองเงินฝากเพียงบางส่วน พ.ร.บ. จุฬาฯ เทคโนฯ ลาดกระบัง และ ม.เชียงใหม่ ออกนอกระบบมีผลบังคับแล้ว กกต. ยกคำร้องกรณีเอกสารลับ แจ้งเหตุ รธน. คุ้ม-ยังไม่ลงมือปฏิบัติ "คมช." รอด สปส. เพิ่มค่ารักษารายหัว เป็น 2,194 บาท/คน/ปี มติ ครม. ลดภาษีช่วย "สังคม-คนพิการ" ส่งเสริมจิตสำนึกดูแลสังคม มติ ป.ป.ช. "8 ต่อ 1" ฟันอาญา 3 องค์กรอิสระ กรณีเพิ่มค่าตอบแทน มติ ครม. อนุมัติ เด็กแรกเกิดต้องมีบัตรประจำตัวประชาชน มติ ครม. อนุมัติโอนเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพิ่ม เพื่อส่งเสริมอนุรักษ์พลังงานเริ่ม 17 ธ.ค. 50 มติ ครม. อนุมัติ เปิดทดลองจีเอ็มโอ ในแปลงทดลองของทางราชการได้ ในหลวงพระราชทานพรปีใหม่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานพรปีใหม่ เนื่องในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2551 เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2550 แก่ปวงชนชาวไทย ความว่า "ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย บัดนี้ถึงวาระจะขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2551 แล้ว ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดีมาอวยพรแก่ท่านทุกๆ คน และขอขอบใจท่านเป็นอย่างมาก ในน้ำใจไมตรีที่ทุกคน ทุกฝ่าย แสดงให้เห็นทั้งในคราวที่เจ็บป่วย และในการจัดงานวันเกิดครบ 80 ปี รวมทั้งได้แสดงความวิตกห่วงใยอย่างจริงใจ ในการเจ็บป่วยของพี่สาวข้าพเจ้า สถานการณ์ของบ้านเมืองเราแต่ปีก่อนและต่อเนื่องมาถึงปีที่แล้ว เป็นอย่างไร ก็เป็นที่ทราบกันอยู่แก่ใจ แต่อย่างไรก็ตาม เราได้มีรัฐธรรมนูญและได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว นับว่าประเทศชาติของเราได้ผ่านหัวเลี้ยวสำคัญอีกขั้นหนึ่ง จึงเป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะต้องช่วยกันประคับประคองกิจการของบ้านเมืองให้ดำเนินไปด้วยดี ให้มีความเป็นปึกแผ่นและร่มเย็นเป็นปกติสุข ทางที่เราจะช่วยกันได้ก็คือการทำความคิดให้ถูกตรงและแน่วแน่ ในอันที่จะยึดถือชาติบ้านเมืองเป็นที่หมาย แต่ละคนแต่ละฝ่ายจะต้องเพลาการคิดถึงประโยชน์เฉพาะตัว พยายามโอนอ่อนผ่อนปรนเข้าหากัน ด้วยไมตรีจิตและความเมตตา กรุณา อย่าก่อปัญหาและก่อเงื่อนไข อันเป็นเหตุให้เกิดความไม่สงบและความแตกแยก ผู้ใดมีภาระหน้าที่อันใด ก็เร่งกระทำให้สำเร็จลุล่วงไปให้ทันกาล ทันเวลา ผลงานทุกคนทุกฝ่ายจักได้ประกอบส่งเสริมกัน ให้ประเทศชาติอันเป็นที่อยู่ที่อาศัยของเรา ดำรงมั่นคงอยู่ด้วยความผาสุกร่มเย็นตลอดไป ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวไทยเคารพบูชา จงคุ้มครองรักษาให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากภัย ให้มีความสุขสบาย สุขใจและประสบแต่สิ่งที่พึงประสงค์ ตลอดศกหน้านี้โดยทั่วกัน" สรุปผลการเลือกตั้ง 23 ธ.ค. คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สรุปผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคมที่ผ่านมา ว่า จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศ 44,002,593 คน มีผู้มาใช้สิทธิมากถึง 32,759,009 คน คิดเป็นร้อยละ 74.45 โดยที่จังหวัดลำพูนมีผู้ออกมาใช้สิทธิมากที่สุดร้อยละ 88.90 และน้อยที่สุดคือจังหวัดสกลนคร ร้อยละ 66.73 โดยที่จำนวนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตจังหวัดจำนวน 1,838,889 คน จากผู้ที่ลงทะเบียนไว้ 2,095,410 คน คิดเป็นร้อยละ 87.76 ส่วนการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตเลือกตั้งมีผู้ใช้สิทธิ 1,126,390 คน ซึ่งพรรคพลังประชาชนได้ที่นั่งนำมาเป็นอันดับหนึ่งทั้งแบบแบ่งเขตและแบบสัดส่วน โดยที่พรรคประชาธิปัตย์ตามมาเป็นอันดับที่สอง ตามรายละเอียดดังนี้ พรรค แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง แบบสัดส่วน รวม พลังประชาชน 199 34 233 ประชาธิปปัตย์ 132 33 165 ชาติไทย 33 4 37 เพื่อแผ่นดิน 17 7 24 รวมใจไทยชาติพัฒนา 8 1 9 มัชฌิมาธิปไตย 7 - 7 ประชาราช 4 1 5 รวม 400 80 480 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้เป็นเพียงการประกาศผลอย่างเป็นทางการเท่านั้น ซึ่ง กกต. จะประกาศรับรองผลการเลือกตั้งหลังจากที่มีการพิจารณาว่ามีคำร้องคัดค้านหรือไม่ และอาจจะมีการให้ใบแดงหรือใบเหลืองแก่ผู้สมัครคนใด หากพิจารณาว่ามีความผิดจริง เริ่มต้นกระบวนการสรรหา ส.ว. ที่ประชุมคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เมื่อวันที่ 26 ธันวาคมที่ผ่านมา ได้มีมติเลือกนายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานตุลาการรัฐธรรมนูญ เป็นประธานคณะกรรมการ และมีมติให้องค์กรภาคต่างๆ อาทิ องค์กรภาควิชาการ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาชีพและภาคอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ในการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ของวุฒิสภา ซึ่งต้องเป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นโดยอำนาจของกฎหมาย หรือเป็นนิติบุคคลโดยกฎหมายให้จัดตั้งขึ้นในราชอาณาจักรไม่น้อยกว่า 3 ปี ทำการลงทะเบียนเสนอชื่อผู้สมควรได้รับการสรรหาเป็น ส.ว. ระหว่างวันที่ 3 – 17 มกราคม 2551 จากนั้น กกต. จะประกาศผลการสรรหาและแจ้งผลการสรรหาไปยังรัฐสภาพร้อมกับประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ทั้งนี้คณะกรรมการชุดดังกล่าวประกอบด้วยประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ตัวแทนจากผู้พิพากษาศาลฎีกา ตัวแทนจากตุลาการศาลปกครอง ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ศาลปกครองยกฟ้องคดีแปรรูป ปตท. ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา ให้ยกฟ้องคดีเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคยื่นฟ้องการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ไปเป็นบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และยกฟ้องการขอให้เพิกถอนกฎหมายที่ใช้ในการแปรรูป 2 ฉบับ คือ พระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2544 และพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2544 ทั้งนี้ศาลปกครองได้มีคำสั่งให้ส่วนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะผู้ถูกฟ้องร้อง ประกอบด้วยคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และบริษัท ปตท. จะต้องดำเนินการแบ่งแยกและโอนทรัพย์ที่เป็นสาธารณะสมบัติคืนให้กระทรวงการคลัง โดยเฉพาะที่ดิน 32 ไร่ ที่ได้จากการเวนคืนในช่วงที่เป็นรัฐวิสาหกิจ และท่อส่งก๊าซธรรมชาติจำนวน 3 เส้น ที่มีการใช้อำนาจมหาชนรอนสิทธิที่ดินเอกชน ประกอบด้วย ท่อที่วางจากบางปะกง-วังน้อย ชายแดนไทยพม่า-ราชบุรี และจากราชบุรี-วังน้อย โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนที่จะมีการตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (เรคกูเลเตอร์) ตามพระราชบัญญัติประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 หรือภายใน 120 วันนับจากวันที่ 11 ธันวาคมที่ พ.ร.บ. ฉบับนี้มีผลบังคับใช้ สรุปผลงานรัฐบาล 1 ปี ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2550 มีการนำเสนอการจัดทำรายงานผลการดำเนินงานรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ที่ทำเสร็จกว่าร้อยละ 85 โดยได้มอบหมายให้แต่ละกระทรวงนำเสนอข้อมูลเพิ่มเติมในแต่ละด้านแล้วนำกลับให้ ครม. พิจารณาอีกครั้ง สำหรับรายงานผลงานรัฐบาลสรุป อาทิ ด้านวาระแห่งชาติและวาระสำคัญของรัฐบาล ได้แก่ การจัดงานเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา การผลักดันแนวคิดตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและธนาคารไปสู่การปฏิบัติ การสนับสนุนการจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 และจัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 การแก้ปัญหาหนี้สะสมของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จาก 54,000 ล้านบาท เหลือเพียง 7,511 ล้านบาท เป็นต้น ทั้งนี้ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในเดือนพฤศจิกายน 2550 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลัง 108,535 ล้านบาท สูงกว่าเดือนเดียวกันในปีก่อน 10.9% โดยรัฐบาลมีการเบิกจ่ายงบประมาณทั้งสิ้น 127,018 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อน 14% การเบิกจ่ายที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นมาก คือ รายจ่ายลงทุนเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อน 9,682 ล้านบาท ขณะที่รายจ่ายประจำขยายตัว 10.6% ส่วนรายจ่ายจากงบประมาณปีก่อนลดลง 17.1% ส่งผลให้เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 18,483 ล้านบาท ครม. อนุมัติ 6 โครงการ 5 หมื่น ล. ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ซึ่งเป็นนัดสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ได้มีมติเห็นชอบในหลักการโครงการขนาดใหญ่มูลค่ารวมกันประมาณ 50,000 ล้าน ประกอบด้วยโครงการ อาทิ 1. เห็นชอบโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง (แอร์พอร์ตลิงก์) ตามที่การรถไฟแห่งประเทศไทยขอกู้เงินจำนวน 9,940.332 ล้านบาท 2. อนุมัติกรอบวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ในวงเงิน 9,209 ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ 3. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอขอรับการสนับสนุนด้านการเงินของรัฐบาลเพื่อบริหารโครงการทางพิเศษสายบางพลี-สุขสวัสดิ์ และทางหลวงพิเศษหมายเลข 37 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ในวงเงิน 18,397 ล้านบาท 4. เห็นชอบให้ ร.ฟ.ท. ชำระค่าก่อสร้างอาคารสถานีและอุโมงค์ใต้อาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รวมดอกเบี้ยจ่ายทั้งหมด คืนแก่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ครม. ยังอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการโครงการที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จ วงเงิน 445 ล้านบาท 5. อนุมัติงบฯ สร้างสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 จ.นครพนม-แขวงคำม่วน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จำนวน 1,347 ล้านบาท เฟสแรก 300 ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอมา 6. อนุมัติโครงการระบบเคเบิลใต้น้ำใยแก้ว (AAG : Asia - America Gateway) ของบริษัท กสท โทรคมนาคม ในวงเงินลงทุน 3,600 ล้านบาท ฯลฯ ทั้งนี้การที่ ครม. เร่งรัดอนุมัติโครงการขนาดใหญ่ เนื่องจากหลังการเลือกตั้ง ครม. พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ จะอยู่ในสภาพกึ่งรักษาการ ซึ่งโดยมารยาทแล้วไม่ควรพิจารณาอนุมัติโครงการขนาดใหญ่ ยกเลิกการคุ้มครองเงินฝาก 100% สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติผ่านร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝากด้วยมติ 129 ต่อ 4 เสียง ในวาระ 2-3 รวด โดยสาระสำคัญของ พ.ร.บ. ฉบับนี้ คือ ให้ยกเลิกการคุ้มครองเงินฝากจากปัจจุบันที่รัฐบาลคุ้มครองหรือจ่ายคืนเงินฝากให้เต็มจำนวนทั้ง 100% เป็นให้รัฐบาลคุ้มครองเงินฝากเพียงบางส่วน ตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น โดยให้มีผลหลังร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา 180 วัน สำหรับสาระสำคัญอยู่ที่มาตรา 70 ที่ กำหนดวงเงินในการคุ้มครองเงินฝาก โดยให้ปีที่ 1 หลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ หรือในช่วงตั้งแต่เดือน ก.ค. 2551-มิ.ย. 2552 รัฐบาลจะคุ้มครองเงินฝาก หรือจ่ายคืนเงินให้ประชาชนผู้ฝากเงินในกรณีสถาบันการเงินล้ม หรือเกิดปัญหาเต็มจำนวนตามวงเงินที่ฝากในแต่ละบัญชี ส่วนปีที่ 2 ตั้งแต่เดือน ก.ค. 2552 ให้ลดลงมาคุ้มครองเพียง 100 ล้านบาทต่อบัญชี ในปีที่ 3 หรือตั้งแต่เดือน ก.ค. 2553 ลดลงมาคุ้มครองเหลือ 50 ล้านบาทต่อบัญชี ในปีที่ 4 เริ่มตั้งแต่เดือน ก.ค. 2554 คุ้มครองเพียง 10 ล้านบาทต่อบัญชี และปีที่ 5 หรือประมาณเดือน ก.ค. 2555 เป็นต้นไป รัฐบาลจะให้การคุ้มครองเงินฝากเพียง 1 ล้านบาทต่อบัญชี อย่างไรก็ตาม ในช่วง 4 ปีแรกของการบังคับใช้กฎหมาย หากภาวะเศรษฐกิจและระบบการเงินเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ อันเป็นเหตุให้เวลาหลังปีที่ 5 เห็นควรให้ต้องกำหนดจำนวนเงินที่ให้ความคุ้มครองเงินฝาก ก็ให้ตราเป็นร่าง พ.ร.บ. มาขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ยังกำหนดเงินทุนประเดิมของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก เป็นวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาท และกำหนดให้สถาบันการเงินนำส่งเงินเข้ากองทุน แต่ต้องเรียกเก็บไม่เกิน 1% ต่อปีของยอดเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครอง ซึ่งปัจจุบันสถาบันการเงินส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในอัตรา 0.4% หากสถาบันการเงินใดไม่นำส่งเงินเข้ากองทุนหรือส่งไม่ครบตามกำหนดระยะเวลาต้องเสียเงินเพิ่มอีกในอัตราไม่เกิน 2% ต่อเดือนของจำนวนเงินนำส่ง และยังกำหนดให้สถาบันการเงิน ให้ผู้ฝากเงินที่ต้องการรับความคุ้มครองกรณีสถาบันการเงินถูกเพิกถอนใบอนุญาต ต้องยื่นขอรับเงินใน 40 วัน จึงจะได้รับเงินคุ้มครองด้วย 3 มหาวิทยาลัยดังออกนอกระบบ เมื่อวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาร่าง พ.ร.บ.สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง โดยที่ประชุมมีมติ 134 ต่อ เสียง ขณะที่การพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ประชุมมีมติให้ความเห็นชอบ ด้วยคะแนน 138 ต่อ 2 เสียง ส่วนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ประชุมมีมติให้ความเห็นชอบด้วยคะแนน 134 ต่อ 6 และงดออกเสียง 4 เสียง โดยการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวนั้น น.ส.พจนีย์ ธนวรานิช รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ยืนยันว่า เป็นไปตามข้อบังคับการประชุม ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ และถูกต้องตามธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติ ซึ่งประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนบรรจุเข้าสู่วาระการประชุม ไม่ได้เร่งรัดหรือรวบรัดอย่างที่หลายส่วนกังวล ทั้งนี้เนื่องจากมีการชุมนุมกดดันการพิจารณากฎหมายของ สนช. กกต. ยกคำร้องเอกสารลับ ที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2550 มีมติ 4 ต่อ 3 เสียง ยกคำร้องกรณีการตรวจสอบเอกสารลับของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่พรรคพลังประชาชน (พปช.) ร้องขอให้ตรวจสอบว่า คมช. วางตัวไม่เป็นกลางที่สั่งสกัด พปช. ในการเลือกตั้ง โดยที่ กกต. มีมติ 4 เสียงให้ยกคำร้อง ส่วนอีก 1 เสียง คือ นางสดศรี สัตยธรรม เห็นว่า กกต. ไม่มีอำนาจตรวจสอบการทำงานของ คมช. โดย 4 เสียงที่ให้ยกคำร้องก็มีเหตุผลที่แตกต่างกัน โดยในจำนวนนี้ 2 เสียง เห็นว่าการกระทำของ คมช. ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2549 และมาตรา 309 ของรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ถือเป็นแนวทางการวินิจฉัยเดียวกับเสียงข้างน้อย 3 เสียงของคณะกรรมการตรวจสอบเอกสารลับ ที่มีนายสุพล ยุติธาดา เป็นประธาน ซึ่งมีมติ 4 ต่อ 3 เสียงว่า คมช. วางตัวไม่เป็นกลาง สปส. เพิ่มค่ารักษารายหัว เป็น 2,194 บาท/คน/ปี เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ได้ปรับเพิ่มค่าบริการทางการแพทย์ เหมาจ่ายรายหัวปี 2551 พร้อมค่าบริการทางการแพทย์เป็น 2,194 บาทต่อคนต่อปี โดย สปส. ได้ปรับเพิ่มอัตราค่าบริการทางการแพทย์ให้กับสถานพยาบาลตามมติคณะกรรมการการแพทย์ โดยผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการประกันสังคมเมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยปรับเพิ่มอัตราเหมาจ่ายรายหัวปี 2551 จากเดิม 1,284 บาท/คน/ปี เป็น 1,306 บาท/คน/ปี และเพิ่มอัตราค่าภาระเสี่ยง ซึ่งจ่ายในโรงพยาบาลตามการให้บริการแก่ผู้ประกันตนที่เป็นโรคเรื้อรังจากเดิม 211 บาท/คน/ปี เป็น 233 บาทต่อคนต่อปี เมื่อรวมค่าบริการทางการแพทย์อื่นๆ จะมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 2,194.21 บาท/คน/ปี ทั้งนี้ สปส. ได้สนับสนุนงบประมาณรณรงค์ให้สถานประกอบการต่างๆ คัดกรองโรคเรื้อรัง ประกอบด้วย โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ภาวะไขมันในเลือดสูง จำนวน 120 ล้านบาท เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2551-31 มิถุนายน 2552 รวมระยะเวลานาน 18 เดือน ทั้งนี้ ข้อมูลจากการสำรวจภาวะโภชนาการของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) พบอัตราความชุกของโรคอ้วนส่วนใหญ่อยู่ในประชากรกลุ่มวัยทำงานอายุ 30-60 ปี ซึ่งคนวัยทำงานจะอ้วนขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น ลดภาษีช่วย "สังคม-คนพิการ" ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม อนุมัติ 1. มาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือสังคม โดยให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ไม่เกิน 50 ไร่ โดยไม่มีค่าตอบแทน ให้แก่องค์การสถานสาธารณกุศล 2. มาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือคนพิการ โดยให้ลดหย่อนภาษีเงินได้สำหรับผู้อุปการะเลี้ยงดูคนพิการที่มีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ การลดหย่อนภาษีเงินได้สำหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ส่วนนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่รับคนพิการเข้าทำงาน สามารถหักค่าใช้จ่ายภาษีได้ 2 เท่าของที่จ่ายจริง หรือส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ รวมถึงการหักค่าใช้จ่ายทางภาษีได้สองเท่าของจำนวนที่จ่ายจริง สำหรับเจ้าของอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ บริการขนส่ง หรือผู้ให้บริการสาธารณะอื่น ที่จัดอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกโดยเฉพาะแก่คนพิการ ซึ่งมาตรการทางภาษีนี้จะช่วยกระตุ้นให้คนไทยมีจิตสำนึกในการรับผิดชอบดูแลสังคมให้ดีขึ้น นอกจากนี้ กรณีการจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาเพื่อคอยกำกับดูแลในเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ จะทำให้สังคมได้รับประโยชน์ในเรื่องการบริจาคอย่างแท้จริงและไม่เป็นช่องทางในการหลบเลี่ยงภาษี ป.ป.ช. ฟันอาญา 3 องค์กรอิสระ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติ 8 ต่อ 1 ในการชี้มูลความผิด 3 องค์กรอิสระ ได้แก่ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทั้งหมดรวม 20 คน ในคดีออกระเบียบหลักเกณฑ์วิธีการจ่ายเบี้ยประชุมกรรมการและคณะอนุกรรมการ และค่าตอบแทนบุคคลหรือคณะบุคคล เดือนละ 20,000 บาทโดยมิชอบ สำหรับตุลาการฯ 14 ราย ได้แก่ 1. นายกระมล ทองธรรมชาติ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2. นายจิระ บุญพจนสุนทร 3. นายมานิต วิทยาเต็ม 4. นายศักดิ์ เตชาชาญ 5. นายสุจิต บุญบงการ 6. พล.ต.อ.สุวรรณ สุวรรณเวโช 7. นายอุระ หวังอ้อมกลาง 8. นายผัน จันทรปาน 9. นายสุธี สิทธิสมบูรณ์ 10. นายมงคล สระฏัน 11. นายสุวิทย์ ธีรพงษ์ 12. นางเสาวนีย์ อัศวโรจน์ 13. นายจุมพล ณ สงขลา 14. นายปรีชา เฉลิมวณิชย์ อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กกต. 5 คน ได้แก่ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ นายปริญญา นาคฉัตรีย์ นายวีระชัย แนวบุญเนียร พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ และนายจรัล บูรณพันธุ์ศรี และผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา 3 คน ได้แก่ พล.อ.ธีรเดช มีเพียร นายพูลทรัพย์ ปิยะอนันต์ และนายปราโมทย์ โชติมงคล สำหรับนายปรีชา เฉลิมวณิชย์ อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และนายจรัล บูรณพันธุ์ศรี อดีต กกต. ซึ่งถึงแก่กรรมแล้ว ป.ป.ช. มีมติให้ยุติการดำเนินคดีอาญา ส่วนนายอภัย จันทนจุลกะ นั้น ไม่ถูกชี้มูลเนื่องจากรับตำแหน่งตุลาการรัฐธรรมนูญหลังประกาศใช้ระเบียบดังกล่าว ทั้งนี้ ป.ป.ช. เห็นว่าการขึ้นค่าตอบแทนดังกล่าว เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายแก่ตุลาการรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา และ กกต. ทั้งนี้ การชี้มูลดังกล่าวยังเป็นเพียงความเห็นของ ป.ป.ช. เท่านั้น ยังต้องส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาว่าจะรับฟ้องหรือไม่ต่อไป เด็กแรกเกิดต้องมีบัตรประจำตัวประชาชน ผลการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ที่ประชุมเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) บัตรประจำตัวประชาชน (ฉบับที่ ... ) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยมีสาระสำคัญ คือ กำหนดให้ผู้มีสัญชาติไทยทุกคนต้องมีบัตรประจำตัวประชาชนตั้งแต่แรกเกิด โดยบัตรจะมีอายุสิบปี ส่วนปัญหาเรื่องภาพติดบัตรที่ต้องถ่ายตั้งแต่เด็กยังเป็นทารกนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รายงานว่าไม่น่ามีปัญหาเพราะบัตรมีหน่วยความจำที่บันทึกลายนิ้วมือและต้องต่ออายุการใช้งานบัตรตามวงรอบอยู่แล้ว กำหนดโทษสำหรับกรณีมีการเปิดเผยข้อมูลที่บันทึกในหน่วยความจำโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล และกำหนดความผิดสำหรับผู้ถือบัตรซึ่งมีอายุตั้งแต่สิบห้าปีขึ้นไปที่ไม่แสดงบัตรเมื่อถูกขอตรวจ สำหรับผู้มีอายุต่ำกว่าสิบห้าปีไม่ต้องรับโทษ อนุมัติโอนเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพิ่ม ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เสนอแนวทางการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามแผนงานปกติ โดยให้โอนอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ เพิ่มขึ้น เพื่อส่งเสริมอนุรักษ์พลังงาน ดังนี้ น้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 0.18 บาท/ลิตร แก๊สโซฮอล์เพิ่มขึ้น 0.1870 บาท/ลิตร ดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 0.18 บาท/ลิตร ไบโอดีเซล บี 5 ที่ 0.1835 บาท/ลิตร เป็น 0.25 บาท/ลิตร ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2550 โดยส่วนที่นำเข้านี้ จะส่งเป็นค่าใช้จ่ายสนับสนุนโครงการพัฒนาระบบขนส่ง 0.50 บาท/ลิตร ครม.เปิดทดลองพืชจีเอ็มโอ ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์สามารถดำเนินงานทดลองวิจัยพืชดัดแปลงพันธุกรรม (จีเอ็มโอ) ในแปลงทดลองของทางราชการได้ ส่วนข้อเสนอที่กระทรวงเกษตรฯ ขอให้สามารถทดลองในห้องปฏิบัติการหรือโรงเรือนและในสภาพไร่นาทั่วไปที่เหมาะสมในการทดลองด้วยนั้น ที่ประชุมมีมติชัดเจนว่ายังไม่อนุมัติ และให้ดำเนินการออกพระราชบัญญัติว่าด้วยความปลอดภัยทางชีวภาพของเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ พ.ศ. .... มาใช้ด้วย