พฤศจิกายน 2550 : คนไทยพร้อมใจไม่ขายเสียง เตรียมพร้อมเลือกตั้ง สนช. ผ่าน กม. ออกหวย 2-3 ตัว แต่มีคัดค้านเตรียมส่งศาล รธน. พิจารณา ขึ้นค่าแรงทั่ว ปท.1-7 บาท กทม. ปรับเป็น 194 ต่อวัน สนช. ผ่านความเห็นชอบ พ.ร.บ.ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ สนช. ผ่านร่าง พ.ร.บ.ป่าชุมชน ระบุเฉพาะชุมชนที่อยู่ในเขตอนุรักษ์ไม่ต่ำกว่า 10 ปี สนช. เอกฉันท์ผ่านร่าง กม.ค้ามนุษย์ ฝ่าฝืนมีโทษหนัก ถอนร่าง พ.ร.บ.เหล้าไปแก้ใหม่ มติ สนช. ให้โฆษณาแฝง 24 ชม. ครม. ผ่านร่าง พ.ร.บ.พลังงานปรมาณู ชี้รองรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ครม. เห็นชอบ 1.6 หมื่นล้าน แผนพัฒนาการศึกษา 3 จังหวัดใต้ เป้าหมายปี 51-54 ครม. งดภาษีผู้สนับสนุนการศึกษา-วิจัย คาดว่ามีผลกระทบต่อการจัดเก็บภาษีเล็กน้อย มติ สนช. ไฟเขียวกฎหมายตั้งสภาพัฒนาการเมือง ครม. ไฟเขียว ตั้ง กก. ปฏิรูปกฎหมาย ครม. เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ความเสมอภาคและความเท่าเทียมทางเพศ สปส. พิจารณาขั้นต้น เพิ่มค่าหัวรักษา 44 บาท จากเดิม 1,495 บาท เพิ่มเป็น 1,539 บาท สนช. รับร่างกฎหมาย ปปง. เพิ่มความผิดมูลฐานอีก 7 ข้อ เตรียมพร้อมเลือกตั้ง เข้มข้นขึ้นทุกขณะ พรรคการเมืองทุกพรรคต่างเร่งชี้แจงนโยบายเพื่อเรียกคะแนนเสียงจากประชาชนในวันเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคมนี้ โดยเอแบคโพล เผยผลสำรวจความเห็นของประชาชนต้องการนายกรัฐมนตรีที่มีความซื่อสัตย์สุจริต ขณะประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 67.1 ทราบว่าวันที่ 23 ธันวาคมนี้ เป็นวันเลือกตั้ง และร้อยละ 85.8 ต้องการนายกรัฐมนตรีที่มีความซื่อสัตย์สุจริต และ กกต. กำหนดวันลงคะแนนนอกเขตจังหวัดและเลือกตั้งล่วงหน้า ในวันเสาร์ที่ 15 และวันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม เวลา 08.00-17.00 น. สำหรับผู้ที่ต้องการเลือกตั้งล่วงหน้าสามารถลงคะแนนได้ที่ที่ว่าการอำเภอ กิ่งอำเภอหรือที่สำนักงานเขตทุกเขตในกรุงเทพฯ โดย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ยืนยันจะได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ประมาณช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ตามกำหนดการที่ได้วางไว้แน่นอน ทั้งนี้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้วันที่ 24 ธันวาคม 2550 เป็นวันหยุดราชการเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม และสำหรับผู้ไม่ไปเลือกตั้งและไม่แจ้งเหตุจะเสียสิทธิ 3 ประการ ได้แก่ 1. เสียสิทธิการรับสมัครรับเลือกตั้งทั้งระดับประเทศและท้องถิ่น 2. เสียสิทธิการรับเลือกเป็นกำนันและผู้ใหญ่บ้าน 3. เสียสิทธิการยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว. นอกจากนี้ กรณีอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตัดสิทธิทางการเมือง ไม่สามารถช่วยหรือร่วมทำกิจกรรมกับพรรคการเมืองใหม่ได้ สนช. ผ่าน กม. ออกหวย 2-3 ตัว เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (ฉบับที่...) พ.ศ. .... ในวาระที่ 3 ด้วยมติ 83 ต่อ 26 และงดออกเสียง 3 เสียง ซึ่งทำให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลสามารถออกเลขท้าย 2 และ 3 ตัวได้ ทั้งนี้ภายหลังจากที่ประชุม สนช. มีมติผ่านร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ พล.อ.ปานเทพ ภูวนารถนุรักษ์ และ พล.ท.เจริญศักดิ์ เที่ยงธรรม สมาชิก สนช. แถลงข่าวจะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว เนื่องจากมีเนื้อหาขัดรัฐธรรมนูญหลายมาตรา โดยเฉพาะเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงินซึ่งรัฐธรรมนูญห้าม สนช. เสนอเองโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากนายกฯ แต่การเสนอกฎหมายนี้เข้าสภา พบว่า นายกฯ ไม่ได้รับรอง จึงทำให้ สนช. 30 คนลงชื่อเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยและรัฐบาลต้องระงับขั้นตอนที่จะนำกฎหมายขึ้นทูลเกล้าฯ ไว้ก่อน ขึ้นค่าแรงทั่ว ปท. 1-7 บาท ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงแรงงานเสนอให้ปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำประจำปี 2551ในอัตรา 1-7 บาท สำหรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในจังหวัดที่น่าสนใจที่มีการปรับขึ้น อาทิ 194 บาท/วัน ในพื้นที่ กทม. นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร 193 บาท/วัน ในพื้นที่ภูเก็ต 175 บาท/วัน ในพื้นที่ชลบุรี 170 บาท/วัน ในพื้นที่สระบุรี 165 บาท/วัน ในพื้นที่ฉะเชิงเทรา นครราชสีมา อยุธยา ระยอง 163 บาท/วัน ในพื้นที่ระนอง 162 บาท/วัน ในพื้นที่พังงา 160 บาท/วัน ในพื้นที่กระบี่ เพชรบุรี 159 บาท/วัน ในพื้นที่เชียงใหม่ เป็นต้น โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2551 การปรับครั้งนี้เนื่องจากราคาสินค้าและน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องกระทบต่อค่าครองชีพของผู้ใช้แรงงาน โดยการปรับขึ้นค่าแรงครั้งนี้มีการคำนึงถึงอัตราค่าจ้างเดิมที่ได้รับ สภาพเศรษฐกิจ มาตรฐานเงินเฟ้อ คุณภาพแรงงาน สภาพสังคม ทั้งนี้ อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่มีการปรับขึ้นดังนี้ ไม่ปรับขึ้น มี 20 จังหวัด ประกอบด้วย กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ เชียงราย เชียงใหม่ ตาก นครพนม นราธิวาส ประจวบคีรีขันธ์ ปัตตานี พะเยา ยะลา ลำปาง ศรีสะเกษ สงขลา สุโขทัย สุพรรณบุรี อำนาจเจริญ อุดรธานี อุตรดิตถ์ อุบลราชธานี ปรับขึ้น 1 บาท มี 10 จังหวัด ประกอบด้วย พิษณุโลก ชุมพร ตราด น่าน พิจิตร มหาสารคาม ยโสธร ร้อยเอ็ด สมุทรสงคราม สระแก้ว, ปรับขึ้น 2 บาท มี 17 จังหวัด ประกอบด้วย กาญจนบุรี กำแพงเพชร ขอนแก่น ตรัง นครศรีธรรมราช บุรีรัมย์ แพร่ มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ราชบุรี สกลนคร สตูล สระบุรี สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง ปรับขึ้น 3 บาท มี 20 จังหวัด ประกอบด้วย กทม. จันทบุรี ชลบุรี ชัยนาท นครนายก นครปฐม นครราชสีมา นครสวรรค์ นนทบุรี ปทุมธานี ปราจีนบุรี พังงา พัทลุง เพชรบูรณ์ ระนอง ลพบุรี ลำพูน สมุทรปราการ สมุทรสาคร สุราษฎร์ธานี ปรับขึ้น 4 บาท มี 5 จังหวัด ประกอบด้วย กระบี่ เพชรบุรี ระยอง เลย สิงห์บุรี, ปรับขึ้น 5 บาท มี 2 จังหวัด ประกอบด้วย ฉะเชิงเทรา พระนครศรีอยุธยา, ปรับขึ้น 7 บาท มี 1 จังหวัด คือ ภูเก็ต สนช. ผ่านความเห็นชอบ พ.ร.บ.ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีการพิจารณาและผ่านความเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.จราจรทางบก ด้วยคะแนนเอกฉันท์ 57 เสียง ซึ่งสาระสำคัญ คือ ห้ามใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในขณะขับรถ เว้นแต่มีอุปกรณ์เสริมสำหรับการสนทนา โดยผู้ขับขี่ไม่ต้องถือหรือจับโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อลดอุบัติเหตุบนท้องถนน และมีบทกำหนดโทษผู้ที่ฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 400 บาทถึง 1,000 บาท ทั้งนี้กฎหมายดังกล่าวให้มีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 90 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา 'สนช.' ผ่านร่าง พ.ร.บ.ป่าชุมชน ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ป่าชุมชน พ.ศ. .... ที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว โดยพบกันครึ่งทาง ให้เฉพาะชุมชนที่จะขอตั้งป่าชุมชนได้จะต้องตั้งอยู่ในถิ่นฐานเขตอนุรักษ์ไม่น้อยกว่า 10 ปี โดยดำเนินการร้องขอได้ภายใน 5 ปีนับตั้งแต่กฎหมายออกบังคับใช้ ทั้งนี้ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวถือเป็นกฎหมายฉบับแรกที่ประชาชนที่เข้าชื่อกันกว่า 1 แสนคน ตามรัฐธรรมนูญปี 40 เสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่ปี 2544 แต่มีเหตุรัฐบาลต้องยุบสภาจึงทำให้ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวตกไป จน สนช. ได้หยิบยกขึ้นมาพิจารณาใหม่และรัฐบาลได้เสนอร่างของตัวเองเข้ามาประกบ ซึ่งในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯ ได้ใช้ร่างของรัฐบาลเป็นหลัก โดยมีสาระสำคัญคือ มาตรา 25 ที่ให้ประชาชนขอจัดตั้งป่าชุมชนในเขตอนุรักษ์ได้ และมีหลักการสำคัญสนับสนุนให้ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกับป่าได้ อนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ สภาวะแวดล้อม รวมทั้งฟื้นฟูพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมโดยปลูกป่าทดแทน ซึ่งการที่ประชาชนจะขอจัดตั้งป่าชุมชนได้ต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายป่าชุมชน ที่มี รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธาน สำหรับการขอจัดตั้งป่าชุมชนในพื้นที่อนุรักษ์นั้น สามารถทำได้เฉพาะกรณีที่ชุมชนนั้นตั้งถิ่นฐานมาก่อนประกาศเป็นพื้นที่เขตอนุรักษ์ และรักษาพื้นที่ดังกล่าวมาไม่น้อยกว่า 10 ปี ก่อนวันขอจัดตั้งป่าชุมชน และยังคงดูแลเกื้อกูลระบบนิเวศน์อย่างต่อเนื่อง โดยให้ดำเนินการร้องขอนับแต่ 5 ปีนับตั้งแต่ พ.ร.บ.ฉบับนี้ประกาศใช้ และให้ดำเนินการตามที่คณะกรรมการนโยบายป่าชุมชนกำหนดไว้ในพระราชกิจานุเบกษา โดยสมาชิกได้อภิปรายกันอย่างกว้างขวางในมาตรา 25 การขอจัดตั้งป่าชุมชนในเขตอนุรักษ์ ซึ่งกรรมาธิการเสียงข้างมากได้แก้ไขให้พื้นที่ที่สามารถเป็นป่าชุมชนได้ต้องมีชุมชนตั้งถิ่นฐานไม่น้อยกว่า 10 ปี ก่อนวันที่ขอจัดตั้งป่าชุมชน ขณะที่กรรมาธิการเสียงข้างน้อยขอสงวนความเห็นให้การจัดตั้งป่าชุมชนให้กระทำได้เฉพาะกรณีที่ชุมชนนั้นตั้งถิ่นฐานมาก่อนการประกาศให้พื้นที่นั้นเป็นเขตอนุรักษ์ไม่น้อยกว่า 10 ปี ก่อนวันที่ พ.ร.บ.ฉบับนี้บังคับใช้ นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา กมธ.เสียงข้างน้อย กล่าวว่า ข้อเท็จจริงเป็นที่ยอมรับหลักการแนวคิดของป่าและคนอยู่ร่วมกันเป็นหลักคิดที่ถูกต้อง เพียงแต่ว่าต่อไปจะพิจารณาความเป็นธรรมอย่างไร ว่าพื้นที่ไหนจะพิจารณาอย่างไร เพราะมีทั้งชุมชนที่ถูกให้ออกจากพื้นที่อนุรักษ์หลังประกาศเป็นเขตอนุรักษ์ มีชุมชนที่ใกล้เคียง และยังมีชุมชนที่ยังอยู่ อย่างนี้จะให้สิทธิแก่บุคคลอย่างไร จึงจะรักษาหลักของความเป็นธรรมได้ เพราะว่าไปแล้วแนวคิดป่าชุมชนก็เหมือนกับแนวคิดการกระจายอำนาจที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้รัฐต้องจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ อปท. แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด “เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องสำคัญ ผมคิดว่าในหลักการไม่มีใครขัดแย้งว่าคนอยู่ร่วมกับป่าไม่ได้ อย่างพวกพื้นที่ป่าอนุรักษ์บางพื้นที่ที่ควรจะสำรวจและประกาศยกเลิกแล้วนำพื้นที่มาฟื้นฟูก็มี แต่ในเขตอนุรักษ์ที่สมบูรณ์อยู่แล้ว เราจะทำอย่างไร หลักการพวกนี้เป็นเรื่องสำคัญ ผมคิดว่าเราควรค่อยเป็นค่อยไป จำเป็นหรือไม่ต้องรีบร้อนขนาดนี้ ควรจะพิจารณาหลักการและผลกระทบทั้งหมดให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง ไม่ใช่ให้สิทธิ์กับคนกลุ่มหนึ่ง แต่ตอบไม่ได้ว่าคนอีกกลุ่มหนึ่งจะทำอย่างไร” นายปีติพงศ์ กล่าว นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิก สนช. กมธ.เสียงข้างน้อย กล่าวว่า ข้อเสนอของ กมธ.เสียงข้างน้อย ถือเป็นตรงกลางระหว่างแนวคิดสุดโต่ง 2 ด้านที่เสนอให้ตัดหมวด 5 ทิ้งทั้งหมวด และ อีกด้านที่เปิดให้ประชาชนนอกพื้นที่เข้าไปขอใช้สิทธิได้เทียบเท่ากับคนในพื้นที่ จึงได้เสนอให้เฉพาะคนในพื้นที่ดังกล่าวเข้าไปมีส่วนในการดูแลป่าชุมชน นอกจากนี้ ในมาตรา 34 ยังเปิดให้ตัดไม้ในพื้นที่ได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องอันตราย ดังนั้นเป็นเรื่องที่ต้องตัดสินใจโดยมีไม้จำนวนมากแบกไว้เต็มบ่า นายอำพล จินดาวัฒนะ กมธ. เสียงข้างมาก กล่าวว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่ได้เป็นการเปิดโอกาสให้มีการทำลายป่าได้ง่ายขึ้น แต่เปิดให้ชุมชนเป็นผู้เข้ามาดูแลพื้นที่ป่า เพราะที่ผ่านมาการทำลายป่ามาจากนายทุนนอกพื้นที่เป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งยังมีขั้นตอน หลักเกณฑ์ การพิจารณาจัดตั้งป่าชุมชนในเขตอนุรักษ์อย่างรัดกุม ดังนั้นจึงไม่ใช่ให้อำนาจประชาชนในพื้นที่เข้าไปทำอะไรก็ได้ . ด้านนางเตือนใจ ดีเทศน์ กมธ. เสียงข้างมาก อภิปรายสนับสนุนว่า การเปิดให้คนรอบพื้นที่ ซึ่งไม่ได้อยู่ในเขตอนุรักษ์เข้ามามีส่วนขอจัดการดูแลรักษาพื้นที่ด้วย เนื่องจากที่ผ่านมาชุมชนดังกล่าวมีผลงานเป็นที่ชัดเจนว่ามีส่วนร่วมในการดูแลรักษาป่าอย่างเป็นที่ประจักษ์ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่เมื่อถึงเวลาแบ่งเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ชุมชนเหล่านี้กลับไม่ได้อยู่ในเขต ทั้งที่เป็นต้นแบบการทำป่าชุมชน จนได้รับรางวัลจากหน่วยงานเป็นจำนวนมาก และชุมชนเหล่านี้ก็มีจำนวนไม่มากนัก จึงควรเปิดให้ชุมชนเหล่านี้เข้ามามีส่วนร่วมด้วย หลังจากใช้เวลาอภิปรายมาตรา 25 นานกว่า 3 ชั่วโมง และได้ลงมติคงหมวด 5 ไว้ด้วยคะแนนเสียง 49 เสียงต่อ 37 เสียง จากนั้นจึงได้ลงมติในมาตรา 25 โดยที่ประชุมลงมติเห็นตามกรรมาธิการฯ เสียงข้างน้อยด้วยคะแนนเสียง 58 เสียง ต่อ 33 เสียง นอกจากนี้ที่ประชุมยังเห็นชอบตามที่ กมธ.เสียงข้างน้อยแปรญัตติในมาตรา 34 ด้วยคะแนน 37-23 เสียง คือห้ามทำไม้ในป่าชุมชนที่ตั้งอยู่ในเขตอนุรักษ์ และในบริเวณเพื่อการอนุรักษ์ในป่าชุมชนที่ตั้งอยู่นอกเขตอนุรักษ์ การทำไม้หรือการทำไม้ที่สมาชิกป่าชุมชนปลูกขึ้นเองในบริเวณเพื่อการใช้สอยในป่าชุมชนที่ตั้งอยู่นอกเขตอนุรักษ์ ให้ทำได้ตามความจำเป็นเพียงเฉพาะเพื่อใช้สอยในครัวเรือนของสมาชิกป่าชุมชน หรือใช้ในกิจการสาธารณะภายในชุมชนนั้น ทั้งนี้ให้เป็นไปตามระเบียบของคณะกรรมการนโยบายป่าชุมชน และการเก็บหาของป่าในป่าชุมชนให้เป็นไปตามระเบียบของคณะกรรมการนโยบายป่าชุมชน ซึ่งแตกต่างจากของ กมธ.เสียงข้างมาก ที่ห้ามทำไม้ในบริเวณเพื่อการอนุรักษ์ในเขตป่าชุมชนเท่านั้น เมื่อพิจารณาครบทุกมาตราแล้วที่ประชุมมีมติให้ผ่านร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าวในวาระ 3 ด้วยคะแนน 57 ต่อ 2 โดยใช้เวลาพิจารณาเกือบ 4 ชั่วโมง สนช. เอกฉันท์ผ่านร่าง กม.ค้ามนุษย์ ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน มีมติเอกฉันท์ผ่านร่าง พ.ร.บ.มาตรการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ วาระ 2-3 ด้วยคะแนนเอกฉันท์ 77 เสียง โดยมีสาระสำคัญคือ กำหนดการกระทำในลักษณะต่างๆ เพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากบุคคลที่ไม่ได้จำกัดแต่เด็กและผู้หญิง การนำบุคคลเข้ามาค้าประเวณีในหรือส่งไปค้านอกราชอาณาจักร การบังคับแรงงาน หรือขอทาน บังคับตัดอวัยวะเพื่อการค้า มีความผิดฐานค้ามนุษย์ และครอบคลุมเรื่องการ "ตกเขียว" ที่ให้เงินหรือผลประโยชน์อย่างอื่นแก่ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลบุคคลนั้น เพื่อให้ยินยอมแก่ผู้แสวงหาประโยชน์ โดยกำหนดโทษที่ค่อนข้างรุนแรงคือจำคุกตั้งแต่ 4-12 ปี และปรับตั้งแต่ 80,000-200,000 บาท หากเป็นการกระทำต่อบุคคลอายุเกิน 15 ปี แต่ไม่ถึง 18 ปี มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6-12 ปี และปรับตั้งแต่ 120,000-200,000 บาท กรณีที่อายุไม่เกิน 15 ปี มีโทษจำคุกตั้งแต่ 8-15 ปี และปรับตั้งแต่ 160,000-300,000 บาท หากเป็น ส.ส. สว. นักการเมืองท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น ข้าราชการ พนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พนักงานหน่วยงานของรัฐ กรรมการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ กระทำผิด ให้มีโทษเป็นสองเท่า ส่วนผู้ที่อยู่ในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ มีโทษเป็น 3 เท่า ทั้งนี้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ยังมีบทบัญญัติคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายด้วยการกำหนดโทษผู้ที่เผยแพร่ภาพ หรือเสียงผ่านสื่อใดๆ ให้รู้ถึงชื่อ สกุล ประวัติ ที่อยู่ ที่ทำงาน สถานศึกษา ของเหยื่อโดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ยกเว้นผู้เสียหายยินยอมเพื่อประโยชน์ของผู้เสียหายเอง ทั้งนี้ กฎหมายมีผลบังคับใช้หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว 120 วัน ถอนร่าง พ.ร.บ.เหล้า ไปแก้ใหม่ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องนำร่างกลับไปพิจารณาใหม่ หลังจากที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน มีมติให้นำกลับไปแก้ไขตามการสงวนคำแปรญัตติของนายสมเกียรติ อ่อนวิมล สมาชิก สนช. ซึ่งจะทำให้สามารถโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเมื่อเริ่มการพิจารณา ที่ประชุมได้ลงมติให้แก้ไขด้วยคะแนน 73-42 คะแนน ทำให้ต้องลงมติว่าจะแก้ไขตามคำแปรญัตติของใคร ระหว่าง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง สมาชิก สนช. และคณะ ที่เสนอให้คงไว้ตามร่างเดิมที่รัฐบาลเสนอ คือห้ามมิให้โฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เว้นแต่การโฆษณาในการถ่ายทอดสดจากต่างประเทศทางโทรทัศน์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์และสิ่งพิมพ์ กับคำแปรญัตติของนายสมเกียรติ ที่เสนอว่า การโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ใดๆ โดยผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภทให้ทำได้เฉพาะการให้ข้อมูลข่าวสารและความรู้เชิงสร้างสรรค์สังคม โดยไม่ปรากฏภาพสินค้าหรือบรรจุภัณฑ์นั้น เว้นแต่ปรากฏภาพสัญลักษณ์ของเครื่องดื่มหรือบริษัทเท่านั้น ในการลงมติครั้งแรก ที่ประชุมเห็นด้วยกับการแก้ไขของ พล.ต.จำลอง ด้วยคะแนน 56-54 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง นายสมเกียรติ ขอให้นับคะแนนใหม่ ปรากฏว่า ที่ประชุมกลับเห็นด้วยกับการแปรญัตติของนายสมเกียรติ ด้วยคะแนน 66-44 เสียง หลังการลงคะแนน นพ.มงคล ขอถอนร่างกลับไปปรับปรุงใหม่ตามคำแปรฯ ของนายสมเกียรติ และนำเสนอก่อนวันที่ 23 ธันวาคมนี้ ครม. ผ่านร่าง พ.ร.บ.ปรมาณู ชี้รองรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ครม. มีมติเห็นชอบแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พลังงานปรมาณู พ.ศ. 2504 ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอเพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัย และเพิ่มเติมคำว่า "วัสดุกัมมันตรังสี วัสดุนิวเคลียร์ เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ความเสียหายสาธารณะ และกากกัมมันตรังสี" กำหนดให้มีคณะกรรมการพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ (พ.ป.ส.) มีนายกรัฐมนตรี หรือมอบหมายให้รองนายกฯ เป็นประธาน สามารถกำหนดหลักเกณฑ์ผู้ได้รับอนุญาต และเพิกถอนใบอนุญาตได้ ครม. เห็นชอบ 1.6 หมื่นล้าน แผนพัฒนาการศึกษา 3 จังหวัดใต้ ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ครม. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนใต้ ของกระทรวงศึกษาธิการ มีเป้าหมายดำเนินการ 4 ปี คือ 2551-2554 วงเงิน 16,000 กว่าล้านบาท โดยเห็นชอบอนุมัติในหลักการที่เป็นเพียงกรอบแนวทางเท่านั้น เพราะมีข้อสังเกตจากสำนักงบประมาณและกระทรวงการคลัง เกรงว่าในเมื่อเป็นงบประมาณผูกพันถึง 4 ปี จนถึงปี 2554 จำนวน 16,000 ล้านบาท น่าจะไปผูกพันรัฐบาลหน้า และให้มีการศึกษาพิจารณาเพิ่มเติมต่อไป "สำหรับแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวมีการกำหนดยุทธศาสตร์ 6 ด้าน คือ 1. จัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคง 2. พัฒนาคุณภาพการศึกษา 3. ส่งเสริมศาสนศึกษา 4. เสริมสร้างโอกาสการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต 5. ส่งเสริมการศึกษาเพื่ออาชีพและมีงานทำ 6. พัฒนาการบริหารจัดการศึกษา" ครม. งดภาษีผู้หนุนการศึกษา-วิจัย ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2550 ที่ประชุมมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร เรื่องการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ให้การสนับสนุนทางการศึกษา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สาระสำคัญ คือ ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ผู้สนับสนุนการศึกษา ในกรณีการให้ทุนการศึกษา ทุนวิจัยค้นคว้า พัฒนา ประดิษฐ์ หรือทุนจัดหาบุคลากรทางการศึกษา ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศ เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการศึกษามากขึ้น ขณะเดียวกันก็จะมีผลกระทบต่อการจัดเก็บภาษีเล็กน้อย ไฟเขียว กม.ตั้งสภาพัฒนาการเมือง ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน มีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สภาพัฒนาการเมือง พ.ศ. .... ด้วยคะแนน 65 ต่อ 3 เสียง และตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณา จำนวน 23 คน แปรญัตติภายใน 7 วัน โดยร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวมีเนื้อหาให้จัดตั้งสภาพัฒนาการเมืองจากองค์กรภาคประชาสังคม และผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ และให้ตั้งกองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมือง ครม. ไฟเขียวตั้ง กก.ปฏิรูปกฎหมาย ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน มีมติอนุมัติตามที่คณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ตามนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม เป็นประธานเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย มีนายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด เป็นประธาน กรรมการประกอบด้วย นายชูชัย ศุภวงศ์ นายปรีดา เตียสุวรรณ์ น.ส.รสนา โตสิตระกูล นายวิทิต มันตาภรณ์ นายวิษณุ เครืองาม นายสมชาย หอมละออ นายสมหมาย ปาริจฉัตต์ นายสิทธิโชค ศรีเจริญ นายสุรพล นิติไกรพจน์ และนางอมรา พงศ์ศาพิชญ์ โดยคณะกรรมการการมีอำนาจหน้าที่ศึกษาและเสนอแนะการจัดทำกฎหมายที่จะเป็นต้องตราขึ้นเพื่ออนุมัติตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญต่อ ครม. จัดทำกฎหมายเพื่อจัดตั้งองค์กรเพื่อการปฏิรูปกฎหมายตามมาตรา 81(3) ของรัฐธรรมนูญ ให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ และเสนอ ครม. พิจารณาต่อไป" ครม. ไฟเขียว กม.เท่าเทียมทางเพศ ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ครม. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยความเสมอภาคและความเท่าเทียมกันของเพศ สาระสำคัญ คือ 1. การห้ามไม่ให้เลือกปฏิบัติ เพราะบุคคลทุกคนย่อมมีความสามารถ โอกาสและสิทธิเท่าเทียมกัน 2. การจัดตั้งคณะกรรมการส่งเสริมความเสมอภาคและความเท่าเทียมกันของเพศ 3. การจัดตั้งสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว 4. การเปิดโอกาสให้ประชาชนหรือผู้เสียหายที่ได้รับความเดือดร้อนยื่นคำร้อง เมื่อเห็นว่ามีการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมทางเพศ 5. จัดตั้งกองทุนส่งเสริมความเสมอภาคและความเท่าเทียมกันของเพศ บอร์ด สปส. เพิ่มค่าหัวรักษา 44 บาท ผลการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด)สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ที่ประชุมมีมติเพิ่มค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลต่อหัวที่จ่ายให้กับโรงพยาบาล (รพ.) ในสังกัด เพิ่มให้ 44 บาทต่อหัว จากเดิมเหมาจ่าย 1,495 บาทต่อหัว (รวมค่าโรคเสี่ยง 211 บาท) เพิ่มเป็น 1,539 บาทต่อหัว หลังจากนี้จะส่งให้คณะกรรมการแพทย์พิจารณาอีกครั้งก่อนนำกลับมาให้บอร์ดพิจารณาขั้นสุดท้าย แต่หากยังไม่ได้ข้อสรุปคงต้องใช้อัตราเก่าไปก่อน สนช. รับร่างกฎหมาย ปปง. ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน มีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่...) พ.ศ. .... ที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ด้วยคะแนน 66 ต่อ 3 เสียง และตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณา จำนวน 22 คน แปรญัตติภายใน 7 วัน และให้งดเว้นการใช้ข้อบังคับการประชุม ข้อ 115 เพื่อให้ กมธ. แก้ไขเพิ่มเติมร่างได้เกินหลักการ ที่ ครม. เสนอมา ตามที่นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ สมาชิก สนช. เสนอ ทั้งนี้ ร่างดังกล่าวมีเนื้อหาเพิ่มความผิดมูลฐานอีก 7 ข้อ เช่น ความผิดเกี่ยวกับการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยน ความผิดเกี่ยวกับการพนันตามกฎหมายว่าด้วยการพนัน ความผิดเกี่ยวกับภาษีสรรพสามิต