ตุลาคม 2550 : เตรียมพร้อมเลือกตั้ง 23 ธันวาคม กำหนดวันเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 กกต. วางมาตรการควบคุม กกต. ลงมติ กำหนดวันในการสรรหา ส.ว. ในวันที่ 2 มกราคม 2551 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน เป็นรองนายกรัฐมนตรี ยกเลิกกฎอัยการศึกใน 11 จว. แต่ประกาศเพิ่มอีก 3 จ.ว. ก.การคลังแถลง ปี 50 รัฐขาดดุลเงินสด 1.58 แสนล้าน ครม. อนุมัติแก้ไข กม.คนเข้าเมือง ให้ ผบ.ตร. เป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง ครม. อนุมัติตั้ง “คณะกรรมการสร้างความสมานฉันท์แห่งชาติ” อนุมัติงบฯ 1.8 พันล้านบาท จัดตั้งสำนักพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ มติ สนช. 134 ต่อ 6 เสียง แปรสภาพ TITV เป็นทีวีสาธารณะ มติ สนช. 114 ต่อ 36 รับหลักการฟื้นหวย 2-3 ตัว ครม. ผ่านร่าง กม.มั่นคงฯ นรม. นั่งผู้อำนวยการ กอ.รมน. ครม. อนุมัติร่าง กม.ค้าปลีกฯ ให้อำนาจ กก.กลางเบ็ดเสร็จ ครม. ไฟเขียว 37 จว.นำร่องตั้งงบฯ เอง เริ่มปีงบประมาณ 2552 ไฟเขียวขึ้นเงินรัฐวิสาหกิจ 4% ตามข้าราชการ คาดว่ามีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 3,638.93 ล้านบาท ครม. อนุมัติรถไฟฟ้าสีม่วง 5.6 หมื่นล้าน รัฐจัดสรรงบฯ อุดหนุน 25% ครม. อนุมัติร่าง กม.อุ้มบุญ ตามที่ พม. เสนอ คมนาคมไฟเขียวขึ้นค่าโดยสาร ขสมก. อั้นถึงมกราคม 2551 ครม. เอาใจกำนัน-ผญบ. เรียนฟรีถึง ป.ตรี พ.ร.ฎ. เลือกตั้ง ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งทั่วไปสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา รัฐธรรมนูญกำหนดให้มี ส.ส. 480 คน แบ่งเป็น ส.ส. ที่มาจากเขตเลือกตั้ง 400 คน และ ส.ส. แบบสัดส่วนอีก 80 คน ในการเลือกตั้งครั้งนี้ กกต. กำหนดให้มีจำนวนเขตเลือกตั้งทั้งหมด 188 เขต ในจำนวนนี้มี 31 เขตที่มี ส.ส. เพียงคนเดียว ส่วนอีก 157 เขต มีจำนวน ส.ส. 2-3 คน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถลงคะแนนเลือกผู้สมัครได้เท่าจำนวน ส.ส. ที่มีได้ในเขตนั้น และสำหรับ ส.ส. แบบสัดส่วนนั้น กกต. ได้แบ่งพื้นที่ทั้งประเทศออกเป็น 8 กลุ่มจังหวัด แต่ละกลุ่มมีประชากรเฉลี่ย 7.8 ล้านคน มี ส.ส. ได้ 10 คน โดยพรรคการเมืองจะส่งบัญชีรายชื่อผู้สมัครแบบสัดส่วนลงทุกเขตเลือกตั้งหรือจะส่งเพียงบางเขตก็ได้ แต่ในบัญชีรายชื่อต้องมีรายชื่อผู้สมัครครบตามจำนวน ส.ส. แบบสัดส่วนที่จะมีได้ในแต่ละเขต และผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งลงคะแนนเลือกพรรคการเมืองได้เพียงหนึ่งเสียง สำหรับหลักเกณฑ์และวิธีการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส. ในเบื้องต้น กกต. ได้กำหนดวงเงินหาเสียงคนละ 1.5 ล้านบาท และเมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่ประชุม กกต. มีมติให้แก้ไขระเบียบปฏิบัติในการหาเสียงเลือกตั้งของ ส.ส. ตามที่สื่อมวลชนและพรรคการเมืองเสนอ โดยยอมให้พรรคการเมืองสามารถจัดเวทีปราศรัยหาเสียงได้อย่างอิสระ แต่ให้นำมาคิดรวมเป็นค่าใช้จ่ายของพรรค ส่วนรถหาเสียงสามารถนำมาดัดแปลงเป็นเวทีปราศรัยได้ ขณะที่การออกรายการโทรทัศน์นั้น ให้ขึ้นอยู่ที่ดุลยพินิจของผู้บริหารสถานีเลือกเองตามความเหมาะสม รวมทั้งสามารถใช้กลองยาวประกอบการหาเสียง เพื่อให้เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติเดิม ซึ่งประธาน กกต. ได้ลงนามในระเบียบปฏิบัติของประกาศฉบับใหม่ และลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว อย่างไรก็ตาม ในการประชุม กกต. มีการลงมติเพียง 4 คนเท่านั้น โดยขาดนางสดศรี สัตยธรรม กกต. เผยสรรหา ส.ว. 2 ม.ค. 51 นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต. ด้านบริหารการเลือกตั้ง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ที่ประชุม กกต. ได้ลงมติให้มีการกำหนดวันในการสรรหา ส.ว. ในวันที่ 2 มกราคม 2551 โดยเชื่อว่าการดำเนินการจะไม่ยุ่งยาก เพราะ กกต. จะจัดการเลือกตั้ง ส.ส. เสร็จในวันที่ 23 ธันวาคม คาดว่าส่วนใหญ่จะสามารถประกาศผลภายในสิ้นปี 2550 ส่วนคนที่ได้ใบเหลือง-ใบแดงจะเป็นอีกกรณีหนึ่ง หลังจากนั้น ก็จะเริ่มกระบวนการสรรหา ส.ว. ได้ คิดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 รัฐธรรมนูญกำหนดให้มี ส.ว. 150 คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัดๆ ละ 1 คน ส่วนที่เหลือมาจากการสรรหา การเลือกตั้ง ส.ว. ในแต่ละจังหวัดให้ใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง โดยผู้มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกผู้สมัครได้ 1 เสียง ส.ว. ที่มาจากการสรรหา ได้จากการสรรหาโดยคณะกรรมการสรรหาที่ประกอบด้วยบุคคลต่างๆ ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยให้ดำเนินการสรรหาบุคคลที่มีความเหมาะสมจากผู้ได้รับการเสนอชื่อจากองค์กรต่างๆ ในภาควิชาการ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาชีพ และภาคอื่นที่เป็นประโยชน์ เงื่อนไขในการสรรหาคือให้คำนึงถึงความรู้ ความเชี่ยวชาญ หรือประสบการณ์ที่จะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติงานของ ส.ว. เป็นสำคัญ และให้คำนึงถึงองค์ประกอบจากบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่างๆ ที่แตกต่างกัน โอกาสและความเท่าเทียมกันทางเพศ สัดส่วนของบุคคลในแต่ละภาค รวมทั้งการให้โอกาสแก่ผู้ด้อยโอกาสทางสังคมด้วย ทั้งนี้ กกต. ได้ประกาศกำหนดวันสรรหาสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าว ในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 124 ตอนที่ 65 ก ลงวันที่ 10 ตุลาคม 2550 ประกาศแต่งตั้งรัฐมนตรี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี ตามความในมาตรา 171 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ให้ พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นรองนายกรัฐมนตรี โดยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2550 เป็นต้นไป ครม. อนุมัติในหลักการประกาศยกเลิกกฎอัยการศึกในพื้นที่ 11 จังหวัด คณะรัฐมนตรีอนุมัติเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2550 ให้ยกเลิกการประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ 11 จังหวัด ประกอบด้วย ประจวบคีรีขันธ์ ขอนแก่น เพชรบุรี ราชบุรี ชัยภูมิ นครราชสีมา มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กำแพงเพชร หนองบัวลำภู และอุดรธานี ตามที่สภาความมั่นคงแห่งชาติหรือ สมช. เสนอ และประกาศเพิ่มอีก 3 จังหวัด ประกอบด้วย นครพนม หนองคาย และมุกดาหาร ขณะนี้มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกไว้ในพื้นที่ทั้งหมด 179 อำเภอทั่วประเทศ (จากเดิม 400 อำเภอ) แบ่งเป็นอำเภอที่ติดชายแดน 115 อำเภอ อำเภอที่อยู่ในจังหวัดชายแดน 26 อำเภอ และอีก 38 อำเภออยู่ใน 4 ชายแดนใต้ ด้วยเหตุผลมาจากปัญหาเรื่องยาเสพติด การค้าสิ่งผิดกฎหมายข้ามประเทศ และพวกลักลอบเข้าเมือง ปี 50 รัฐขาดดุลเงินสด 1.58 แสนล้าน โฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่า รัฐบาลมีดุลเงินสดเกินดุล 72,046 ล้านบาท เป็นการเกินดุลงบประมาณ 41,097 ล้านบาท และเกินดุลเงินนอกงบประมาณ 30,949 ล้านบาท ขณะที่ตลอดปีงบประมาณ 2550 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 1,444,993 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 7.9% รัฐบาลมีรายจ่ายทั้งสิ้น 1,574,967 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 12.9% ส่งผลให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดรวม 158,731 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของรัฐบาลที่จะใช้นโยบายการคลังเป็นเครื่องมือหลักในการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจไม่ให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 4% ทั้งนี้ รัฐบาลได้ชดเชยการขาดดุลโดยการออกพันธบัตรรัฐบาลและตั๋วสัญญาใช้เงินรวม 146,200 ล้านบาท และใช้เงินคงคลังไปทั้งสิ้น 12,531 ล้านบาท ครม. ไฟเขียวแก้กฎหมายคนเข้าเมือง ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา ครม. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง ที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการ และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่และออกกฎกระทรวง ตามกฎหมายนี้ นอกจากนั้นยังมีการแก้ไขคำนิยาม เช่น คำว่า รัฐมนตรี อธิบดี ผู้บังคับกองตำรวจเข้าเมืองให้สอดคล้องกับปัจจุบัน และแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง โดยให้ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปลัดกระทรวงแรงงาน ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา อัยการสูงสุด เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นกรรมการ และผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเป็นกรรมการและเลขานุการ สำหรับ พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 นั้น กำหนดให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง และมีกรรมการประกอบด้วยบุคคลต่างๆ รวมทั้งอธิบดีกรมตำรวจด้วย ครม. อนุมัติ ตั้ง “คณะกรรมการสร้างความสมานฉันท์แห่งชาติ” ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา ครม. อนุมัติหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเสริมสร้างความสมานฉันท์แห่งชาติ ตามที่นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสนอ โดยมีสาระสำคัญให้ตั้งคณะกรรมการเสริมสร้างความสมานฉันท์แห่งชาติ (คสส.) โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นรองประธาน โดยคณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ในการเสนอแนะ กำหนดนโยบาย แผนงานและแนวทางการสร้างความสมานฉันท์แห่งชาติ เสนอแนะให้มีการแก้ไขกฎหมายระเบียบข้อบังคับ เพื่อให้เอื้อต่อการสมานฉันท์แห่งชาติ ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในการเสริมสร้างความสมานฉันท์แห่งชาติ ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในการเสริมสร้างความสมานฉันท์การมีส่วนร่วมของประชาชนและแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธี โดยให้มีสำนักงานเสริมสร้างความสมานฉันท์แห่งชาติ เป็นหน่วยงานภายในกระทรวงยุติธรรมทำหน้าที่เลขานุการของคณะกรรมการและบริหารจัดการดำเนินงานตามภารกิจที่คณะกรรมการมอบหมาย จัดตั้งสำนักพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม อนุมัติงบประมาณ 1,800 ล้านบาท เพื่อดำเนินการจัดตั้งสำนักงานพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงพลังงาน ทั้งนี้ แผนช่วง 3 ปีแรก ตั้งแต่ปี 2551-2553 จะเป็นการศึกษาและวางแผนโครงสร้างองค์กรเพื่อรองรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ด้านเทคนิคโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ศึกษาความเหมาะสม การคัดเลือกสถานที่ตั้ง การประมาณการค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ ได้ให้ความเห็นชอบการดำเนินโครงการสร้างความรู้ ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยจัดประชุมสัมมนาอย่างน้อย 8 ครั้งใน 6 เดือน ส่วนงานด้านกฎหมายและอื่น ๆ ในช่วงแรกให้ใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่หลายฉบับไปก่อน สนช. แปรสภาพ TITV เป็นทีวีสาธารณะ สภานิติบัญญัติแห่งชาติผ่านร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้มีเนื้อหาจัดตั้งองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย หรือ ส.ส.ท. ทำหน้าที่เป็นองค์การสื่อสาธารณะด้านวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ ที่ไม่ใช่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ แต่ดำเนินการภายใต้ทุนและทรัพย์สิน และรายได้ขององค์การ ทั้งนี้กฎหมายดังกล่าวยังกำหนดให้โอนทีไอทีวีเป็นโทรทัศน์สาธารณะของ ส.ส.ท. แม้จะมีสมาชิกบางคนไม่เห็นด้วย แต่ในที่สุดที่ประชุมมีมติเห็นชอบกฎหมายดังกล่าว ด้วยคะแนน 134 ต่อ 6 เสียง พร้อมเห็นชอบกับข้อเสนอให้ทบทวนที่มาของรายได้และสัดส่วนเงินบำรุง ส.ส.ท. อย่างน้อยทุกๆ 10 ปี มติ 114 ต่อ 36 รับหลักการฟื้นหวย 2-3 ตัว เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (ฉบับที่...) พ.ศ. .... ที่มีนายสังศิต พิริยะรังสรรค์ สมาชิก สนช. และคณะ เป็นผู้เสนอ โดยเริ่มพิจารณาวาระแรก ปรากฏว่ามีคะแนน 114 ต่อ 36 เสียง ให้รับหลักการร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว นายอัมมาร สยามวาลา สมาชิก สนช. กล่าวว่า ตนสนับสนุนในหลักการให้มีร่างกฎหมายนี้ เพราะหวยก็มีลักษณะเช่นเดียวกับสุราและบุหรี่ที่เข้าข่ายเป็นอบายมุข แต่รัฐก็ออกเป็นกฎหมายมาบังคับใช้และเก็บภาษีเพื่อนำรายได้เหล่านั้นมาพัฒนาประเทศ แต่อยากฝากคณะกรรมาธิการพิจารณามาตราต่างๆ ให้มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการแบ่งกำไรจากการขายหวยบนดินให้มีความเหมาะสม เพื่อนำเงินมาพัฒนาประเทศต่อไป ผ่านร่าง กม.มั่นคงฯ คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. .... ที่ก่อนหน้านี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์และคัดค้านอย่างหนัก โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. .... ที่ผ่านการตรวจร่างจากกฤษฎีกาเพื่อส่งไปยัง สนช. ทั้งนี้ได้ปรับปรุงสาระบางส่วน เช่น กำหนดให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) จัดตั้งเป็นองค์กรถาวร มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อำนวยการ ซึ่ง กอ.รมน. จะเป็นหน่วยงานที่ดูแลเรื่องความมั่นคงโดยเฉพาะ หากมีสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องตั้งหน่วยงานอื่นขึ้นมาอีก ส่วนการทำงานของ กอ.รมน. เป็นไปตามมติของ ครม. โดยไม่ได้ให้อำนาจอะไรเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม จะไม่มีการยกเลิกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 แต่อย่างใด เนื่องจากเห็นว่าเป็นกฎหมายที่ดีอยู่แล้วไม่ควรที่จะไปยุ่ง แต่จะเป็นการใช้ควบคู่กับ พ.ร.บ.ฉบับนี้ต่อไป สำหรับบทกำหนดโทษเกี่ยวกับการฝ่าฝืนตาม พ.ร.บ. ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ครม. อนุมัติร่าง กม. ค้าปลีกฯ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2550 มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ หลังจากที่ร่างดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว สำหรับสาระสำคัญของกฎหมายดังกล่าว ได้กำหนดให้ผู้ประกอบการค้าปลีก 3 ประเภทต้องขออนุญาตประกอบธุรกิจค้าปลีก ค้าส่งจากกระทรวงพาณิชย์ ประกอบด้วย 1. ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ 1 พันตารางเมตรขึ้นไป 2. ห้างค้าปลีกที่มียอดขาย 1 พันล้านบาทขึ้นไป 3.ร้านค้าปลีกประเภทเครือข่ายที่มียอดขาย 1 พันล้านบาทขึ้นไป พร้อมทั้งกำหนดให้มีคณะกรรมการกลางกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง (กกค.) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ทำหน้าที่กำกับดูแลและกำหนดหลักเกณฑ์การดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ทั้งนี้ ร่างกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบดังกล่าว ได้ตัดคณะกรรมการกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่งในระดับจังหวัดออกไป จากร่างเดิมกระทรวงพาณิชย์เสนอให้มีคณะกรรมการระดับจังหวัดทำหน้าที่ อนุมัติ อนุญาต กำหนดหลักเกณฑ์ในระดับท้องถิ่น เพื่อให้การกำกับดูแลเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไฟเขียว 37 จว. นำร่องตั้งงบฯ เอง ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม มีมติอนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำแผนพัฒนาและงบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เสนอมา โดยสาระสำคัญของร่าง พ.ร.ฎ. ดังกล่าวคือ การกำหนดแนวทางในการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัดและงบประมาณจังหวัดตั้งแต่ระดับประเทศ จังหวัด อำเภอ ลงไปถึงชุมชน โดย ครม. ได้ข้อสรุปร่วมกันว่า ให้นำร่องกึ่งหนึ่ง หรือประมาณ 37 จังหวัด ในปีงบประมาณ 2552 เพราะการกำหนดนำร่องเพียง 4 จังหวัด อาจทำให้มองไม่เห็นภาพการจัดสรรงบประมาณลงกลุ่มจังหวัด จากนั้นจึงนำมาใช้กับทั้ง 75 จังหวัด ในปีงบประมาณ 2553 ไฟเขียวขึ้นเงินรัฐวิสาหกิจ 4% ตามข้าราชการ ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 2 ตุลาคม ที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอให้รัฐวิสาหกิจทั้ง 66 แห่ง สามารถปรับอัตราค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจเพิ่มได้ในอัตราไม่เกิน 4% โดยรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งจะต้องไปพิจารณาผลการดำเนินงาน ประสิทธิภาพการทำงาน และความจำเป็นด้วยตัวเองว่าจะปรับขึ้นในอัตราเท่าใด โดยให้คำนึงถึงผลกระทบต้นทุนการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจและภาระของผู้บริโภค เช่น การไฟฟ้าที่หากปรับเพิ่มเงินเดือนพนักงานแล้วอาจทำให้ต้นทุนเพิ่ม ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ทั้งนี้การปรับเพิ่มดังกล่าวจะทำให้รัฐวิสาหกิจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 3,638.93 ล้านบาท สำหรับรัฐวิสาหกิจทั้ง 66 แห่ง แบ่งเป็น 1. รัฐวิสาหกิจที่ ครม. มีมติให้สามารถกำหนดอัตราเงินเดือนค่าจ้าง ค่าตอบแทน และสวัสดิการต่างๆ ได้เอง ตามมาตรา 13 (2) แห่ง พ.ร.บ.แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 จำนวน 13 แห่ง 2. รัฐวิสาหกิจที่ใช้บัญชีโครงสร้างอัตราเงินเดือนค่าจ้าง 58 ขั้น ตามประกาศคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ จำนวน 39 แห่ง ให้ปรับค่าจ้างของลูกจ้างทุกตำแหน่งในอัตรา 4% ของอัตราค่าจ้างที่ได้รับ ยกเว้นตำแหน่งผู้บริหารที่ใช้สัญญาจ้างตาม พ.ร.บ.คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2543 3. รัฐวิสาหกิจที่ใช้บัญชีโครงสร้างอัตราเงินเดือนค่าจ้างเป็นของตนเอง ให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจพิจารณาปรับค่าจ้างทุกตำแหน่งในอัตราไม่เกิน 4% ของอัตราค่าจ้างที่ได้รับ ครม. อนุมัติรถไฟฟ้าสีม่วง 5.6 หมื่นล้าน ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2550 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ระยะทาง 23 กิโลเมตร ให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดำเนินการในส่วนของงานโยธาก่อสร้าง 31,217 ล้านบาท และงานที่ปรึกษาระหว่างก่อสร้าง 1,248 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่า 32,465 ล้านบาท จากวงเงินลงทุนรวม 55,997 ล้านบาท โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังไปพิจารณาแหล่งเงินลงทุนโครงการที่เหมาะสมต่อไป โดยเบื้องต้นแบ่งเป็น รัฐบาลจัดสรรงบประมาณอุดหนุน 25% ที่เหลือจะใช้เงินกู้ที่อาจจะมาจากทั้งในประเทศและต่างประเทศอีก 75% แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าจะกู้เงินจากที่ใด คงต้องรอให้กระทรวงการคลังสรุปเรื่องก่อน นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดเงื่อนไขการประกวดราคา (ทีโออาร์) ว่าบริษัทก่อสร้างจะต้องใช้แรงงานไทยให้มากที่สุด รวมทั้งใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาโดยคนไทยในส่วนงานใดก็ได้ สำหรับโครงการรถไฟฟ้าเส้นทางอื่นๆ รัฐบาลจะพยายามผลักดันให้ที่ประชุม ครม. อนุมัติกรอบการลงทุนอีก 1 สาย คือ สายสีแดง ระยะที่ 2 (บางซื่อ-รังสิต) โดยกระทรวงคมนาคมจะดำเนินการสรุปแผนและนำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ให้ได้ภายในปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ครม. อนุมัติร่าง กม.อุ้มบุญ ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ได้มีข้อสังเกตของกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) และสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องความขัดแย้งระหว่างหญิงที่เป็นผู้ตั้งครรภ์และสามีภรรยาที่ขอให้ตั้งครรภ์แทน ซึ่ง ยธ. แนะนำให้มีการร่างกฎหมายเฉพาะขึ้นมาเพื่อรองรับสถานะทางกฎหมายของบิดามารดาและเด็กที่เกิดจากเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ และป้องกันไม่ให้แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากหญิงที่รับตั้งครรภ์แทนและจากเด็กที่เกิดจากการตั้งครรภ์แทน คมนาคมไฟเขียวขึ้นค่าโดยสาร คณะกรรมการขนส่งกลาง อนุมัติปรับขึ้นค่าโดยสารในส่วนของรถหมวด 1 และ 4 หรือรถวิ่งให้บริการในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งเป็นรถร่วมบริการ ขสมก. โดยในส่วนของรถโดยสารธรรมดา ปรับขึ้นอีก 50 สตางค์ ตลอดสาย ได้แก่ รถขาว-น้ำเงิน จะปรับขึ้นเป็น 8.50 บาท จากเดิม 8 บาท รถร่วมบริการครีม-แดง เป็น 7.50 บาท จาก 7 บาท รถมินิบัสไม่เกิน 7 บาท จาก 6.50 บาท และรถสองแถวไม่เกิน 6.50 บาท จาก 6 บาท ส่วนรถปรับอากาศร่วมบริการ ให้ขึ้นอีกระยะละ 1 บาท ส่วนรถโดยสารของ ขสมก. จะตรึงราคาต่อไปอีก 3 เดือน ระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2550-15 มกราคม 2551 เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน แต่ผลจากการไม่ปรับขึ้นค่าโดยสารดังกล่าวทำให้ ขสมก. ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเดือนละประมาณ 35 ล้านบาท สำหรับรถร่วมบริการของ บขส. คณะกรรมการฯ อนุมัติปรับขึ้นค่าโดยสารอีก 3 สตางค์/กิโลเมตร โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2550 เป็นต้นไป ทั้งนี้ได้มีการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางเพื่อยื่นคำขอให้ศาลกำหนดมาตราการคุ้มครองชั่วคราว ระงับการขึ้นค่ารถโดยสาร ขสมก. แต่ศาลปกครองกลางได้ยกคำร้องดังกล่าวเพราะหากมีคำสั่งทุเลา จะเป็นอุปสรรคต่อการบริหารภาครัฐ กำนัน-ผญบ. เรียนฟรีถึง ป.ตรี ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ครม. อนุมัติหลักการการเพิ่มพูนคุณวุฒิแก่กำนัน-ผู้ใหญ่บ้านตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอมา โดยมีระยะเวลาในการดำเนินการ 6 ปี ใช้งบประมาณ 590 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ครม. กำหนดให้มีการนำร่อง 3 รุ่น รุ่นละ 1,000 คน รวม 3,000 คน ใช้งบประมาณ 198 ล้านบาท ทั้งนี้ ยืนยันว่าโครงการนี้ไม่มีวาระซ่อนเร้นในเรื่องการเมือง อย่างไรก็ตาม พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ตั้งข้อสังเกตว่า ควรให้วิทยาลัยชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการเพิ่มพูนความรู้ดังกล่าว และควรจะขยายหลักสูตรระยะสั้น ไม่ใช่เน้นแต่ระดับปริญญาตรีเท่านั้น