กันยายน 2550 : 1 ปีรัฐประหาร คนไทยยังยิ้มได้ไม่เต็มหน้า ครบรอบ 1 ปี รัฐประหาร ชัดเจนเรื่องตรวจสอบทุจริตเรื่องอื่นยังไม่คืบเท่าที่ควร 3 รัฐมนตรีลาออก กรณีถือหุ้นเกิน 5% มติ สนช. ผ่านกฎหมายลูก ได้แก่ พ.ร.บ. กกต. พรรคการเมือง และการลือกตั้ง สนช. ผ่านฉลุยงบประมาณปี 51 วงเงิน 1.66 ล้านล้านบาท มติ กกต. ไม่เซ็นเอ็มโอยู “อียู” ให้มาดูเลือกตั้งภายใต้กฎหมายไทย ผลสำรวจเผยคนไทย 48% เร่งให้รัฐดำเนินการเกี่ยวกับปัญหาค่าครองชีพ อุบัติเหตุสายการบินวันทูโก ที่ จ.ภูเก็ต มีผู้เสียชีวิต รวม 90 ราย บาดเจ็บ 41ราย ครม. อนุมัติหลักการรื้อใหม่ กม.ฟอกเงิน 8 อาชีพต้องแจ้งธุรกรรมเกิน 1 ล้าน มติ สนช. ตั้งกรรมการศึกษาร่างกฎหมายหวย มติ ครม. ไฟเขียวสลับเวลาเริ่มงานแก้ปัญหาจราจร 3 ช่วงเวลา ปรับขึ้นค่าจ้างใน กทม. 191 บาท เป็น 193 บาท มติ ครม. อนุมัติ 174 ล้านบาทแก้ปัญหาเสียงสุวรรณภูมิ ครม. อนุมัติ "สัญชาติไทย" ให้กับมอแกน ครบรอบ 1 ปีรัฐประหาร ผ่านพ้น 1 ปีหลังการปฏิวัติรับประหารล้มระบอบปกครองทักษิณ มีเพียงข้ออ้าง 1 ใน 4 คือเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นเท่านั้นที่มีการดำเนินการแล้วอย่างเป็นรูปธรรม ภายหลัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ทำ "รัฐประหาร" ยึดอำนาจการปกครองจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ในนามคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) โดยใช้ 4 ข้ออ้างในการ "ยึดอำนาจ" ก่อนจะแปรสภาพเป็น คมช. หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ประกอบด้วย 1. การทุจริตคอร์รัปชั่น 2. หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ 3. การบริหารราชการแผ่นดินแทรกแซงองค์กรอิสระ และ 4. การสร้างความแตกแยกในสังคมอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ปรากฏว่ามีเพียงเรื่องของการทุจริตคอร์รัปชั่นเท่านั้นที่เห็นผลชัดเจน นั่นคือ การตรวจสอบทุจริตคอร์รัปชั่น ภายใต้ "หน่วยงานเฉพาะกิจ" คือ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่งที่ผ่านมามีผลดำเนินการที่ค่อนข้างเป็นรูปธรรม อาทิ การอายัดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ขณะที่อีก 3 เงื่อนไข ต้องยอมรับว่าแทบจะล้มเหลว อาทิ การขยายผลคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งที่ผ่านมาอัยการได้สั่งยกฟ้องไปหลายคดี เหลือเพียง 3 คดี คือ 1. พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวปราศรัยในที่ประชุมข้าราชการระดับสูงที่ทำเนียบรัฐบาล 2. การโบกธงต้อนรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ระหว่างปฏิบัติภารกิจที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา และ 3. แกนนำกลุ่มพีทีวีกล่าวหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติควบคุมดูแลตรวจสอบ ส่วนการแทรกแซงการทำงานขององค์กรอิสระทุกอย่างก็นับหนึ่งใหม่ เพราะกรรมการในองค์กรอิสระต่างๆ ก็ถูกตั้งขึ้นโดย คมช. แทบทั้งสิ้น เท่ากับตัดวงจรของอำนาจเก่าทิ้งไป ส่วนเงื่อนไขการ "ลดความแตกแยก" ในสังคม ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ปัญหานี้ยังดำรงอยู่ มีการแบ่งขั้ว เลือกข้างเหมือนเดิม ผลคะแนนการลงประชามติที่ผ่านมาย่อมแสดงว่า "ความเห็นต่าง" ของสังคมยังมีอยู่มาก ยิ่ง คมช. ยังคงกฎอัยการศึกในพื้นที่สีแดง ซึ่งเป็นฐานเสียง "อำนาจเก่า" เป็นสัญญาณสะท้อนว่า "ความแตกต่าง" ทางความคิดที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ยากที่จะแก้ไขได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ นี่คือผลงาน 4 ข้ออ้างของ คมช. ที่ดำเนินการมาตลอด 1 ปี อย่างไรก็ดี จากมุมมองของนายธีรยุทธ บุญมี นักวิชาการชื่อดัง ที่ออกมาวิจารณ์การทำงาน 1 ปีของ คมช. เป็นสิ่งที่สะท้อนการทำงานได้อย่างดี โดยเฉพาะการทำงานของ คตส. ที่ระบุว่า "คตส. ควรขยายผลตรวจสอบทุจริตไปถึงนักการเมืองรายอื่นไม่เฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ" ถือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างเป็นระบบและเท่าเทียม แต่ที่ผ่านมา คตส. ยังไม่สามารถขยายผล "เอาผิด" ต่อ "จำเลยสังคม" พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว รวมถึงบรรดาอดีตรัฐมนตรีที่ร่วมคณะได้ 3 รัฐมนตรีลาออก กรณีถือหุ้นเกิน 5 % ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แจ้งกรณีรัฐมนตรีถือหุ้นในบริษัทเกินกว่า 5% มีผลทำให้รัฐมนตรีลาออกจำนวน 3 ราย ได้แก่ นายสิทธิชัย โภไคยอุดม รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) นางอรนุช โอสถานนท์ รมช.พาณิชย์ และนายอารีย์ วงศ์อารยะ รมว.มหาดไทย ทั้งนี้กฎหมายว่าด้วยการห้ามรัฐมนตรีถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท ต้องมีหุ้นไม่เกิน 5% หรือหากมีต้องแจ้งให้ประธาน ป.ป.ช.ทราบภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี และแจ้งแล้วต้องรีบโอนให้นิติบุคคลภายใน 90 วันและแจ้งให้ ป.ป.ช.ทราบ โดยกรณีนี้แม้ว่าความผิดจะไม่เป็นเหตุให้ถึงกับพ้นจากตำแหน่งเพราะรัฐธรรมนูญ 2550 มีบทเฉพาะกาลยกเว้นไว้ แต่ถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ขัดต่อหลักการเรื่องการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม ผ่าน 3 กม.ลูกประกอบรัฐธรรมนูญ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานการประชุมเมื่อวันที่ 26 กันยายนที่ผ่านมา ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง 3 ฉบับ ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พ.ศ. .... ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. .... และร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ. .... ที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว ภายหลังจากที่ประชุมได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 3 ฉบับ จึงได้ลงมติเห็นชอบในวาระ 3 ทีละฉบับคือ ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ด้วยคะแนนเสียง 165-1 เสียง ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ด้วยคะแนนเอกฉันท์ 167 เสียง และร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. ด้วยคะแนน 165-1 เสียง อย่างไรก็ตาม กฎหมายลูกทั้ง 3 ฉบับนี้ได้รับคำวิจารณ์จากหลายฝ่ายโดยเฉพาะนักการเมืองว่ามีความเข้มงวดในการปฎิบัติเป็นอย่างมาก อาทิเช่น ในการลงมติเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง) ให้ใช้มติ 4 ใน 5 ของจำนวนกรรมการที่มาประชุม แตกต่างไปจากของเดิมที่ต้องใช้มติเอกฉันท์ หรือเรื่องที่พรรคการเมืองจะถูกยุบ ถ้ากระทำการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย รวมถึงการประทำผิดกฎหมายเลือกตั้งซึ่งมีผลทำให้การเลือกตั้งไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม ทั้งนี้ หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี โดยบุคคลดังกล่าวจะไปจดทะเบียนจัดตั้งพรรคใหม่หรือไปเป็นหัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรค หรือมีส่วนร่วมในการจดแจ้งจัดตั้งพรรคไม่ได้ ภายในกำหนด 5 ปีหลังจากที่พรรคนั้นถูกยุบไป เป็นต้น สนช. ผ่านฉลุยงบประมาณปี 51 เมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา ที่ประชุมสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติรับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2551 วงเงิน 1.66 ล้านล้านบาท กรรมาธิการปรับลดทั้งสิ้น 9,736 ล้านบาทเศษ และนำมาจัดสรรให้กับส่วนราชการต่างๆ ด้วยคะแนนเสียง 108 ต่อ 0 โดยพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีได้แถลงต่อ สนช. ไว้แล้วว่า งบประมาณปี 2551 ได้ตั้งไว้ในแบบขาดดุล 160,000 ล้านบาท แต่จะไม่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากมีการขยายตัวประมาณร้อยละ 5 มีอัตราเงินเฟ้อร้อยละ 3 ภาพรวม การจัดทำงบประมาณนำแนวเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ เน้นให้เกิดการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยกระทรวงที่ได้รับงบประมาณสูงสุดคือกระทรวงศึกษาธิการซึ่งได้รับงบประมาณทั้งสิ้น 3 แสนล้านบาท ในการประชุมพิจารณาวาระ 2 และ 3 สมาชิก สนช. ได้อภิปรายตั้งข้อสังเกตหลายรายการ โดยเฉพาะการจัดสรรงบกลางในลักษณะที่มีความคล้ายคลึงกับรัฐบาลที่ผ่านมา ที่มีการนำไปใช้ภายใต้ชื่อโครงการที่แตกต่างกันแต่ไม่มีประสิทธิภาพ กกต. มีมติไม่เซ็นเอ็มโอยู “อียู” เมื่อวันที่ 11 กันยายน คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเป็นเอกฉันท์ไม่เซ็นบันทึกความเข้าใจ หรือเอ็มโอยูกับกลุ่มสหภาพยุโรป หรือ อียู ที่จะเข้ามาสังเกตการณ์การเลือกตั้งของประเทศไทย เพราะตลอด 9 ปีที่ผ่านมา กกต. ไม่เคยมีธรรมเนียมการเซ็นเอ็มโอยูกับประเทศใด แต่ก็เปิดโอกาสให้ทุกประเทศเข้าร่วมสังเกตการณ์การเลือกตั้งได้อย่างไม่มีเงื่อนไข ทั้งยังเคยเชิญประเทศที่ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับไทยเข้ามาสังเกตการณ์การเลือกตั้งด้วย ทั้งนี้นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ยืนยันว่าสามารถจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมได้ โดยมตินี้ไม่ใช่การแข็งข้อหรือการปิดประเทศ แต่เป็นการเชื่อมั่นว่า กกต.ไทยสามารถจัดการเลือกตั้งได้อย่างมีมาตรฐานสากล และเชื่อว่ามติดังกล่าวจะไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยอียูชี้แจงว่า การเข้ามาสังเกตการณ์การเลือกตั้งในเมืองไทยครั้งนี้ มาจากขณะนี้ประเทศไทยมีสถานการณ์ที่น่าสนใจเนื่องจากกำลังเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารเป็นประชาธิปไตย โดยอียูยืนยันว่าเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยของไทย ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อรัฐบาลขิงแก่ สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้สำรวจความคิดเห็นประชาชนที่ต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่เร่งดำเนินการ โดยการสำรวจครั้งนี้เป็นการสำรวจความเห็นของประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวนทั้งสิ้น 5,800 คน ระหว่างวันที่ 9-12 สิงหาคม 2550 ซึ่งด้านเศรษฐกิจประชาชนต้องการให้แก้ปัญหาเรื่องค่าครองชีพ และราคาสินค้าแพงมากสุด 48% ด้านการเมืองต้องการให้ปราบปรามการทุจริตมากที่สุด 6.7% ส่วนนโยบายสังคมอยากให้สนับสนุนเงินกู้เพื่อการศึกษามากที่สุด 10.1% เพราะยังมีชาวบ้านอีกจำนวนมากที่ประสบปัญหากับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าเล่าเรียนของบุตรหลานที่มีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี และนโยบายด้านความมั่นคง ต้องเร่งแก้ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อุบัติเหตุสายการบินวันทูโก ที่ภูเก็ต จากโศกนาฏกรรมสยองขวัญเครื่องบินโดยสารรุ่น MD-82 สายการบินวันทูโก เที่ยวบินที่ OG 269 ประสบอุบัติเหตุลื่นไถลพุ่งชนเนินดินข้างรันเวย์ขณะร่อนลงจอดที่ท่าอากาศยานภูเก็ต เมื่อวันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 90 ศพ และบาดเจ็บ 41 คน โดยศพผู้เสียชีวิตถูกส่งมอบให้ญาตินำกลับไปบำเพ็ญกุศลทั้งหมดแล้ว ส่วนผู้บาดเจ็บที่รักษาตัวตามโรงพยาบาลต่างๆ ทั้งในภูเก็ตและที่กรุงเทพฯ หลายคนเริ่มทยอยกลับบ้านได้ ทั้งนี้สายการบินวันทูโกได้เจรจากับตัวแทนของบริษัทประกันภัย เพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้ที่เสียชีวิตจากรายละ 1.3 แสนเหรียญสหรัฐ เป็น 1.5 แสนเหรียญสหรัฐ ซึ่งก่อนหน้านี้วันทูโกได้จ่ายค่าชดเชยแล้วรายละ 1 แสนบาท ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ เบื้องต้นวันทูโกจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด จากเหตุการณ์ดังกล่าวหลายฝ่ายได้ออกมาแสดงทัศนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและตื่นตัวกับสายการบินโลว์คอสต์มากขึ้น ครม. ไฟเขียวรื้อใหม่ กม.ฟอกเงิน ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 กันยายน มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตามการเสนอของกระทรวงยุติธรรม โดยจะส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาและส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาต่อไป เนื่องจากปัจจุบันผู้ประกอบการเกี่ยวกับความผิดมูลฐานใช้ช่องทางผ่านกลุ่มธุรกิจบางประเภท ซึ่งไม่ใช่การดำเนินการของสถาบันการเงิน จึงอาจเป็นช่องทางให้ผู้ประกอบอาชญากรรม รวมถึงเครือข่ายก่อการร้ายนำไปใช้เป็นประโยชน์ในการฟอกเงินได้ง่าย จึงต้องปรับปรุงร่างกฎหมายใหม่ การแก้ไขกฎหมายในครั้งนี้จะเพิ่มเติมให้ผู้ประกอบอาชีพ 9 ประเภท ได้แก่ 1. อาชีพเกี่ยวกับการให้คำแนะนำหรือที่ปรึกษาเกี่ยวกับการทำธุรกรรม การลงทุน หรือการเคลื่อนย้ายการลงทุน 2. อาชีพค้าอัญมณีหรือโลหะมีค่า เครื่องประดับ 3. อาชีพให้เช่าซื้อรถยนต์ จักรยานยนต์ 4. อาชีพเกี่ยวกับตัวแทน นายหน้าขายอสังหาริมทรัพย์ 5. อาชีพเกี่ยวกับสินเชื่อส่วนบุคคล 6. อาชีพเกี่ยวกับบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์ 7. อาชีพเกี่ยวกับบัตรเครดิต 8. อาชีพค้าขายของเก่า 9. ผู้ประกอบอาชีพอื่นตามกฎกระทรวงกำหนด มีหน้าที่ต้องรายงานการทำธุรกรรมต่อสำนักงาน ปปง. ในกรณีที่เป็นธุรกรรมที่ใช้เงินสดเกินกว่า 1 ล้านบาท หรือเป็นธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลในการป้องกันการฟอกเงินและการป้องกันการทุจริต อีกทั้งเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นในสายตาต่างประเทศ เพิ่มขีดความสามารถในการลงทุนและการแข่งขันทั้งปวง สนช. ตั้ง กก. ศึกษาร่าง กม.หวย ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 19 กันยายน มีมติตั้งคณะกรรมการศึกษาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... ที่มีนายวิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ สมาชิก สนช. กับคณะ เป็นผู้เสนอ เพื่อแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. 2517 เพื่อให้สำนักงานสลากกินแบ่งฯ สามารถจำหน่ายสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว หรือหวยบนดินได้ถูกต้องตามกฎหมาย ต่อมา สนช. ได้รับร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวไว้พิจารณา และหากเห็นชอบก็จะตั้งคณะกรรมการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง คาดว่าอาจจะมีผลใช้ได้ภายในเดือนตุลาคมนี้ ครม.ไฟเขียวสลับเวลาทำงานแก้จราจร ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 กันยายน มีมติเห็นชอบมาตรการสลับเวลาทำงานของหน่วยงานรัฐ เพื่อแก้ไขปัญหาจราจร ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอให้ปรับปรุงมติ ครม. ยกเลิกมติที่เกี่ยวกับการสลับเวลาทำงานเดิม 8 มติ โดยให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐในกรุงเทพมหานคร (กทม.) และปริมณฑล ถือปฏิบัติตามมาตรการสลับเวลาทำงานตามความเหมาะสม ให้เจ้าหน้าที่ในสังกัดเลือกเวลาทำงานได้ตามความสมัครใจใน 3 ช่วงเวลา ดังนี้ 1. เวลา 07.30-15.30 น. 2. เวลา 08.30-16.30 น. หรือ 3. เวลา 09.30-17.30 น. ทั้งนี้ ให้มีการส่งเสริม ชักชวน ให้มีการเลือกเวลาทำงานทั้ง 3 ช่วงเวลา ให้มีสัดส่วนใกล้เคียงกันมากที่สุด ให้กระจายการจราจรอย่างมีประสิทธิภาพ หากหน่วยงานใดไม่สามารถปฏิบัติตามได้ ให้ชี้แจงต่อคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) พิจารณายกเว้นแทน ครม. ทั้งนี้ ไม่รวมถึงหน่วยงานที่ คจร.ได้พิจารณายกเว้นการไม่สามารถปฏิบัติไว้ก่อนแล้ว ขึ้นค่าจ้างใน กทม. อีก 2 บาท เป็น 193 บาท เมื่อวันที่ 18 กันยายน ที่ประชุมคณะอนุกรรมการค่าจ้างกรุงเทพมหานคร ที่มีนายชัยยุทธ ชวลิตนิธิกุล ที่ปรึกษาวิชาการแรงงาน เป็นประธานคณะอนุกรรมการค่าจ้างกรุงเทพมหานคร มีมติปรับค่าจ้างขั้นต่ำให้ในกรุงเทพฯอีก 2 บาท ด้วยคะแนนโหวต 8 ต่อ 5 โดยเพิ่มจากวันละ 191 บาท เป็น 193 บาท โดยพิจารณาจากดัชนีผู้บริโภคอยู่ที่ร้อยละ 1.9 โดยคณะอนุกรรมการค่าจ้างฝ่ายลูกจ้างยังเห็นว่า ยังเป็นตัวเลขที่ต่ำเมื่อเทียบกับราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก และไม่สอดคล้องกับการปรับขึ้นเงินเดือนของรัฐวิสาหกิจที่ปรับขึ้น 4% ทั้งนี้จะมีการประชุมพิจารณารวบรวมตัวเลขทั้ง 76 จังหวัดในวันที่ 19 กันยายนนี้ หลังจากนั้นก็จะส่งเข้าที่ประชุมของคณะกรรมการค่าจ้างกลางในวันที่ 21 กันยายน เพื่อสรุปตัวเลขการปรับขึ้นทั้งประเทศ อนุมัติ174ล้านบาทแก้ปัญหาเสียงสุวรรณภูมิ ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 11 กันยายน ที่ประชุมมีมติอนุมัติงบประมาณลงทุนประจำปี 50 เพิ่มเติมครั้งที่ 6 ของ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) หรือ ทอท. ในการขยายกรอบวงเงินลงทุนก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่เกี่ยวกับการลดผลกระทบด้านเสียง จำนวน 174 ล้านบาท เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากปัญหาเสียงรบกวนของเครื่องบินที่ขึ้นลงในสนามบินสุวรรณภูมิ และให้จัดทำรายละเอียดวงเงินก่อสร้างสนามบินเพิ่มเติม 3.6 พันล้านบาท ครม. อนุมัติ "สัญชาติไทย" มอแกน ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 กันยายน มีมติเห็นชอบแนวทางและหลักเกณฑ์การกำหนดสถานะให้แก่ชาวมอแกนหรือบุคคลไร้สัญชาติที่เร่ร่อนตามเกาะต่างๆ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอ ซึ่งเป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและอำนวยการจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล (นอส.) เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2550 โดยกำหนดหลักเกณฑ์สถานะใน 2 กรณี คือ 1. กรณีชาวมอแกนที่ไม่ได้เกิดในประเทศไทย ดำเนินการให้สถานะเป็นบุคคลต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายประเภทไร้สัญชาตินอกกำหนดคนต่างด้าว มีหลักเกณฑ์คือ มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยหรืออาศัยอยู่ในเขตควบคุมหรือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน (ทร.13) หรือเอกสารอื่นๆ ของทางราชการ และอาศัยอยู่ในประเทศไทยติดต่อกันอย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป นับถึงวันที่ ครม.อนุมัติยุทธศาสตร์ฯ (อพยพเข้ามาอยู่อาศัยก่อน 18 มกราคม 2538) มีทะเบียนประวัติและบัตรประจำตัวที่ทางราชการกำหนด และมีความประพฤติดีและประกอบอาชีพสุจริต 2. กรณีบุตรชาวมอแกนที่เกิดในประเทศไทย โดยต้องเป็นบุตรที่สืบสายโลหิตจากบิดาและมารดาที่เป็นคนต่างด้าวที่มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย หรืออาศัยอยู่ในเขตควบคุม หรือมีชื่ออยู่ใน ทร.13 และเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสั่งเฉพาะรายให้บุคคลที่มีคุณสมบัติตามข้อ 2 ได้สัญชาติไทยแล้ว หากมีข้อเท็จจริงปรากฏภายหลังว่ามีพฤติการณ์ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ให้หน่วยงานรับผิดชอบถอนสัญชาติไทยตามกฎหมาย