กรกฎาคม 2550 : 19 ส.ค. ลงประชามติ ร่าง รธน. สนช. ผ่าน พ.ร.บ. ประชามติ หลัง สสร. เห็นชอบร่าง รธน. เตรียมพร้อมลงประชามติ 19 ส.ค. นี้ ครม. ขานรับอนุมัติงบ 576 ล้าน ศาลให้ฝากขัง 9 แกนนำ นปก. ข้อหามั่วสุมก่อความวุ่นวาย งบประมาณปี 51 ขาดดุล 1.6 ล้านล้าน สนช. ต่ออายุ คตส. ไปเป็น 30 มิ.ย. 51 ครม. เห็นชอบปรับโครงสร้าง ตร. แต่มีบางกลุ่มออกมาคัดค้าน ยกเลิกประกาศ คปค. ฉบับที่ 5 ให้ใช้ กม.คอมพ์ คุมสื่อเน็ตแทน ครม. ผ่านร่าง กม.กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ปรับเงื่อนไขการจ่ายเงินสมทบ และเพิ่มเติมมาตรการรองรับการโอนย้ายเงินระหว่างกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ครม. ผ่าน กม.วัตถุยั่วยุ เพิ่มโทษหนัก ครม. ไฟเขียว กม.ขับห้ามโทร ให้ใช้อุปกรณ์เสริม เช่น แฮนด์ฟรี ในขณะขับรถได้ ครม. อนุมัติปรับฐานคำนวณภาษีสุรา ยาสูบ และเครื่องปรับอากาศใหม่ ป้องกันการหลีกเลี่ยง เพิ่ม ผรส. ดูความสงบภาคใต้ จำนวน 1,750 หมู่บ้าน รวม 7,000 อัตรา ร่าง รธน. ผ่านพร้อมลงประชามติ ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 25 ก.ค. ได้พิจารณาผ่านร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติในวาระ 3 ด้วยคะแนนเสียง 133 ต่อ 2 และหลังจากนั้นกฎหมายฉบับนี้ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ทำให้วันที่ 19 สิงหาคม 2550 เป็นวันลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 สำหรับร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยการออกเสียงประชามติได้มีการแก้ไขชื่อ เป็นร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความเรียบร้อยในการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ และมีการลดโทษให้เบาลง พร้อมแก้ไขให้มีการเผยแพร่ผลโพลได้ก่อนการลงประชามติ 3 วัน ส่วนร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 นั้น ที่ประชุมสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) เมื่อวันที่ 6 ก.ค. 2550 ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 98 จาก 100 คน ก็มีมติเป็นเอกฉันท์เห็นชอบร่างทั้ง 309 ให้นำไปเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบ เพื่อจัดให้มีการลงประชามติในวันที่ 19 ส.ค. นี้ ซึ่ง คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่าย จำนวน 576,982,550 บาท ไว้แล้วตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ ฝากขัง 8 แกนนำ นปก. 8 แกนนำกลุ่มแนวรวมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ซึ่งประกอบด้วย นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายจักรภพ เพ็ญแข นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นพ.เหวง โตจิราการ นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย และ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ได้ถูกนำตัวไปฝากขังไว้ชั่งคราวที่เรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพมหานครโดยหมายศาลตามคำขอของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ตั้งข้อกล่าวหาว่าในวันที่ 22 ก.ค. บุคคลทั้ง 8 ได้ชักนำให้มีการใช้กำลังประทุษร้ายและฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าหน้าที่ และก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ในขณะที่ประชาชนประมาณ 3,000 คน เคลื่อนขบวนจากท้องสนามหลวงไปยังบริเวณหน้าบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เพื่อเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่ง จากสถานการณ์ดังกล่าวตำรวจได้ขออนุญาตศาลออกหมายขังชั่วคราว 9 แกนนำ นปก. แต่นายจรัล ดิษฐาอภิชัย 1 ในผู้ต้องหา ได้ใช้ตำแหน่งเจ้าหน้าที่สำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ยื่นขอประกันตัว เนื่องจากอ้างว่าเป็นประธานคณะอนุกรรมการของกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จึงต้องกลับไปปฏิบัติหน้าที่ หากขาดการประชุมจะเกิดปัญหาได้ ในขณะที่ผู้ต้องหาอีก 8 คน ยืนยันจะไม่ยื่นขอประกันตัว จึงถูกควบคุมตัวไปฝากขังไว้ที่เรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพมหานคร งบปี 51 ขาดดุล 1.65 แสนล้าน ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 4 ก.ค. ได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.รายจ่ายประจำปี 2551 ในวาระแรก ที่นำเสนอโดย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ว่า รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 เป็นจำนวนไม่เกิน 1,660,000,000,000 บาท (หนึ่งล้านหกแสนหกหมื่นล้านบาท) โดยส่วนหนึ่งตั้งไว้ถึง 35,289,372,689.72 บาท เพื่อชดใช้เงินคงคลัง และในการตั้งงบประมาณ 1.6 ล้านล้านบาทนี้คิดเป็นวงเงินขาดดุล 165,000 ล้านบาท หลังจากที่ประชุม สนช. ได้อภิปรายแล้วได้มีการลงมติรับหลักการด้วยคะแนนเสียง 137ต่อ 0 และงดออกเสียง 1 เสียง แล้วให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 จำนวน 45 คน เป็นตัวแทนจากรัฐบาล 8 คนและจาก สนช. 37 คน ให้แปรญัตติภายใน 15 วัน เริ่มประชุมตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคม เป็นต้นไป มติ สนช. ต่ออายุให้ คตส. ถึง มิ.ย. 51 ที่ประชุม สนช. ได้มีมติด้วยคะแนนเสียง 112 ต่อ 28 ให้ความเห็นชอบในร่างกฎหมายที่ให้ต่ออายุการทำงานของคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คตส.) ออกไปจนถึงวันที่ 30 มิ.ย. 51 พร้อมทั้งเพิ่มข้อความในมาตรา 2 ว่าให้นำ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มาใช้โดยอนุโลมกับกรณีที่มีพฤติการณ์อันควรสงสัยหรือในกรณีที่ผู้เสียหายกล่าวหาว่ากรรมการตรวจสอบหรืออนุกรรมการผู้ใดร่ำรวยผิดปกติ ปฏิบัติหน้าที่โดยขาดความเที่ยงธรรมหรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ครม. เห็นชอบปรับโครงสร้าง ตร. คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ปรับปรุงโครงสร้างตำรวจ 2 ฉบับ ตามที่คณะกรรมการศึกษาชุดที่มี พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร เป็นประธานเสนอ โดยกฎหมายฉบับแรกคือการแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ตำรวจ พ.ศ. 2547 ให้มีการกระจายอำนาจจากส่วนกลางไปสู่ภูมิภาคและนครบาล และร่างกฎหมายฉบับที่สองคือการตั้งหน่วยงานอิสระขึ้นมาทำหน้าที่รับเรื่องราวร้องทุกข์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้กระทำความผิด ภายใต้การปรับโครงสร้างใหม่ นายกรัฐมนตรียังคงเป็นประธานคณะกรรมการตำรวจแห่งชาติเหมือนเดิม และให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเช่นเดิม แต่จะไปขึ้นตรงกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมหรือไม่นั้นยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่นอน ส่วนกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1-9 และกองบัญชาการตำรวจนครบาลจะมีอำนาจคล่องตัวมากขึ้น ซึ่งต่อไปอาจมีการแต่งตั้งเป็นอธิบดีอีกหลายตำแหน่ง ส่วนตำรวจอื่น ๆ เช่น ตำรวจน้ำ ตำรวจรถไฟ ให้ย้ายไปสังกัดกระทรวงคมนาคม ตามภารกิจที่เกี่ยวข้อง โดยคาดว่ากฎหมายจะแล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคมนี้ และส่งผลให้มีการพัฒนางานของตำรวจได้เพิ่มขึ้นอีกถึงร้อยละ 50 อย่างไรก็ตาม มีตำรวจจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับการปรับโครงสร้างใหม่และได้ออกมาแสดงความเห็นคัดค้าน เลิกประกาศ คปค. ฉบับ 5 ไอซีทีใช้ กม.คอมพ์คุมสื่อเน็ตแทน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ได้มีมติยกเลิกประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 5 เรื่องให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ควบคุมการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เนื่องจากในขณะนี้กระทรวงไอซีที ได้มี พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ซึ่งกำหนดให้กระทรวงไอซีทีเป็นผู้ควบคุม กำกับดูแลเกี่ยวกับมาตรการเพื่อการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เมื่อมีกฎหมายฉบับดังกล่าวแล้ว จึงเห็นควรให้ยกเลิกคำสั่ง คปค. ฉบับที่ 5 ซึ่งไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป ตามกฎหมายฉบับใหม่ที่มีการประกาศใช้ กระทรวงไอซีทีมีอำนาจในการควบคุม ยับยั้ง สกัดกั้น ทำลายการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในระบบสารสนเทศผ่านระบบเครือข่ายการสื่อสารทั้งปวง ที่มีบทความ ข้อความ คำพูด หรืออื่นใด อันอาจจะส่งผลกระทบต่อการปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามที่ คปค. ได้ประกาศไว้ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย. ปีที่แล้ว ครม. ผ่านร่าง กม.กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ฉบับที่...) พ.ศ. .... และให้ส่งไปยังคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาต่อไป ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้ถูกนำเข้าเสนอต่อที่ประชุม ครม. มาครั้งหนึ่งแล้ว และกระทรวงการคลังได้ตั้งข้อสังเกตในเรื่องการกำหนดเหตุในการตัดสิทธิของลูกจ้าง แต่ที่ประชุมมีมติให้ส่งต่อให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา แต่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบแล้วมีมติให้ไปแปรญัตติในชั้นการพิจารณาของกรรมาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงการคลังไม่ขัดข้องในหลักการ แต่เห็นควรแก้ไขในประเด็นการกำหนดเงื่อนไขและเงื่อนเวลาในการจ่ายเงินสมทบ และเห็นควรเพิ่มเติมมาตรการเพื่อรองรับการโอนย้ายเงินระหว่างกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สำหรับสาระสำคัญอื่นๆ ประกอบด้วย กำหนดเกี่ยวกับเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาในการจ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่นายทะเบียนประกาศซึ่งกำหนดโดยความเห็นชอบจากรัฐมนตรี และลูกจ้างที่สิ้นสมาชิกภาพเพราะลาออกจากงาน มีสิทธิคงเงินทั้งหมดที่มีสิทธิจะได้รับไว้ในกองทุนและขอต่ออายุการเป็นสมาชิกต่อไปได้ตามระยะเวลาที่กำหนดในข้อบังคับของกองทุน ครม. อนุมัติปรับฐานคำนวณภาษี ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ได้เห็นชอบให้กรมสรรพสามิตปรับปรุงกฎหมาย 4 ฉบับด้วยกัน คือ พ.ร.บ.สุรา, พ.ร.บ.ยาสูบ, พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต และ พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต เพื่อปรับฐานในการคำนวณภาษีสรรพสามิตของสินค้า 3 รายการใหม่ ได้แก่ สุรา ยาสูบ และเครื่องปรับอากาศ เนื่องจากฐานในการคำนวณภาษีปัจจุบันมีช่องทางให้หลีกเลี่ยงภาษีโดยการแจ้งราคาขาย ณ โรงงาน ที่ต่ำกว่าควรจะเป็น จนก่อให้เกิด ความไม่เป็นธรรมระหว่างผู้ประกอบการในประเทศกับต่างประเทศ ในกรณีที่สินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศที่ใช้ราคา ซี.ไอ.เอฟ. เป็นฐานการคำนวณภาษีไม่ได้แจ้งราคาที่เป็นจริงตามกลไกตลาด ทำให้กรมศุลกากรไม่สามารถจะพิจารณาราคาที่สมควรได้ นอกจากนั้น ยังจะเพิ่มบทนิยามราคาขาย ณ โรงงาน ที่ใช้เป็นฐานคำนวณภาษีให้ชัดเจน และให้อำนาจอธิบดีประกาศมูลค่าสุรา มูลค่ายาเส้น หรือยาสูบเพื่อถือเป็นเกณฑ์การคำนวณภาษีจากมูลค่าต้นทุนหรือหักทอนจากราคาขายส่งช่วงสุดท้าย หรือหักทอนจากราคาขายปลีกในตลาดปกติ โดยอธิบดีจะใช้อำนาจนี้เมื่อราคาไม่เป็นไปตามกลไกตลาด หรือไม่สามารถหาราคาที่แท้จริงได้ เพิ่ม ผรส. ดูความสงบภาคใต้ มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม เห็นชอบในข้อเสนอของกระทรวงมหาดไทยที่จะให้เพิ่มตำแหน่งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ (ผรส.) ใน 1,750 หมู่บ้าน ๆ ละ 5 คน ในพื้นที่ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ได้แก่ อำเภอจะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย โดยมีการเพิ่มกรอบแบบค่อยเป็นค่อยไป ภายใน 3 ปี (พ.ศ. 2550-พ.ศ. 2552) จนครบทุกหมู่บ้าน รวมทั้งสิ้น 7,000 อัตรา ทั้งนี้ งบประมาณที่จะต้องใช้จ่าย ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ผ่าน กม.วัตถุยั่วยุโทษหนัก ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม เห็นชอบในหลักการร่าง พ.ร.บ.ปราบปรามวัตถุยั่วยุพฤติกรรมอันตราย ที่กำหนดคำนิยามของ “วัตถุยั่วยุ” ตาม พ.ร.บ. เช่น ภาพ ภาพเขียน หนังสือ สิ่งพิมพ์ เอกสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ ว่าเป็นสิ่งที่ยั่วยุให้เกิดพฤติกรรมที่มีอันตรายร้ายแรงอย่างมากในสังคม อาทิ การละเมิดทางเพศ การทารุณกรรมทางเพศ โดยเฉพาะต่อเด็ก สัตว์ การฆ่าตัวตาย การกระทำผิดทางอาญา การก่อการร้าย การใช้ยาเสพติด ฯลฯ และกำหนดโทษจำคุก 1-5 ปี ซึ่งอาจจะเพิ่มได้มากเป็น 3 เท่าตามความรุนแรงของพฤติกรรมต่อผู้กระทำความผิด คือ ผู้ผลิต ผู้ค้า และผู้ครอบครอง เช่น หากทำเพื่อการค้า ทำการทารุณกรรมทางเพศต่อเด็ก หรือทำทั้งสองอย่าง ต้องได้รับโทษเป็น 3 เท่า เป็นต้น นอกจากนี้ ยังกำหนดให้เป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สามารถอายัดยึดทรัพย์ผู้ผลิตได้อีกด้วย ไฟเขียวกม.ขับห้ามโทร ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ได้อนุมัติร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จราจรทางบก พ.ศ. .... ที่มีสาระสำคัญคือห้ามผู้ขับขี่ใช้โทรศัพท์หรือเครื่องมือสื่อสารอื่นใดในขณะที่รถเคลื่อนที่ แต่อนุญาตให้ใช้อุปกรณ์เสริม เช่น แฮนด์ฟรี ในขณะขับรถได้ แต่ที่ประชุม ครม. ได้พูดถึงข้อยกเว้น ว่าควรผ่อนผันให้ใช้โทรศัพท์มือถือในขณะขับขี่รถยนต์บางประเภท อาทิ รถยนต์ที่ใช้ในราชการ นายตำรวจ นายทหาร รถโรงพยาบาล รถปอเต็กตึ๊ง ดังนั้นจึงให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไปพิจารณาออกกฎว่า รถยนต์ประเภทใดบ้างที่สามารถได้รับการยกเว้นต่อไป