มิถุนายน 2550 : บทเรียนแห่งชาติกรณีทุจริต คตส. อายัดทรัพย์ “ทักษิณ” 5.28 หมื่นล้าน กมธ. ยกร่างรัฐธรรมนูญแปรญัตติเรียบร้อยแล้ว รอ สสร. รับ ไม่รับ มติ สสร.ให้เพิ่มจำนวน ส.ส. 400+80 ครม. เห็นชอบแนวทางการทำประชามติ ให้ราชการเป็นกลางไม่ชี้นำ ครม. เปลี่ยนแปลงประกาศ คปค.ฉบับที่ 15 มีมติให้พรรคการเมืองสามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ ครม. เห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติความมั่นคงให้ฟื้น กอ.รมน. ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี และมี ผบ.ทบ. เป็น ผอ.กอ.รมน. พม.ยอมถอยร่าง กม.สภาองค์กรชุมชน ครม. เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ยกเลิกระบบซี ป้องกันปัญหาวิ่งเต้น เพิ่มเงินเดือนราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ 4% เริ่ม 1 ต.ค. 50 สภาพัฒน์ชี้เยาวชนไทยมีการศึกษาทั่วถึง ครม. เห็นชอบ พ.ร.บ.แปรรูปรัฐวิสาหกิจ เน้นโปร่งใส งดแปรรูปบริการพื้นฐานที่จำเป็น และผูกขาด รอนานกว่า 10 ปี สนช. ผ่านร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวแล้ว สนช.ผ่านกฎหมายเพิ่มโทษการข่มขืน ทั้งจำและปรับ ครม.มีมติให้ศาลมีอำนาจเพิกถอน หรือห้ามผู้นั้นขับขี่รถในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี กรณีเมาแล้วขับ อายัดทรัพย์ “ทักษิณ” 5.28 หมื่นล้าน คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) มีคำสั่งเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ให้อายัดทรัพย์ในบัญชีเงินฝาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ทุกบัญชี รวมทั้งอายัดทรัพย์สินบัญชีเงินฝากของนายพานทองแท้ ชินวัตร น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้งบัญชีของนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรมคุณหญิงพจมาน และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ รวม 21 บัญชี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินจากการขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ป กว่า 5.2 หมื่นล้านบาท (จากเงินที่ได้จากการขายหุ้นทั้งหมด 7.3 หมื่นล้านบาท) เป็นการชั่วคราว โดยให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงที่มาของทรัพย์สินดังกล่าวภายใน 60 วัน เหตุผลของการอายัดทรัพย์ดังกล่าวเนื่องจากขณะนี้มีหลักฐานที่ปรากฏชัดเจนและเชื่อได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีพฤติการณ์ทุจริตประพฤติมิชอบ ซึ่งขณะนี้มีคดีที่เกี่ยวข้องและมีพยานหลักฐานชัดเจน จนถึงขั้นถูกกล่าวหา 5 คดี ได้แก่ 1. โครงการจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก 2. คดีกล้ายาง 3. คดีซีทีเอ็กซ์ 4. คดีหวย 2 ตัว 3 ตัว และ 5. คดีการปล่อยเงินกู้ของกรุงไทย ให้ ปชช. 5 หมื่นคนเสนอแก้ไข รธน. ความคืบหน้าการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญในขั้นการแปรขณะนี้ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว อยู่ระหว่างการเรียบเรียงถ้อยคำ ขั้นตอนต่อไป สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.)จะลงมติให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับที่แปรญัตติดังกล่าว และนำส่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป สำหรับมาตราที่น่าสนใจ เช่น มาตรา 282 (1) ระบุว่า ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องมาจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 1 แสนคน ซึ่งทางคณะกรรมาธิการฯ ยอมลดจำนวนประชาชนเหลือ 5 หมื่นคน พร้อมรับข้อเสนอของ สสร.ไปปรับต่อไป ถือเป็นการเปิดช่องให้ประชาชนมีสิทธิเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญได้เป็นครั้งแรก เพราะที่ผ่านมารัฐธรรมนูญ 2540 กำหนดให้ ครม. ส.ส.หรือ ส.ว. เท่านั้น ที่มีสิทธิเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในที่สุดที่ประชุมก็เห็นชอบมาตรานี้ สสร. ให้เพิ่มจำนวน ส.ส. เป็น 480 คน ที่ประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญได้มีมติให้เพิ่มจำนวน ส.ส. เป็น 480 โดยแบ่งออกเป็น ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง 400 คน และส.ส. ในระบบบัญชีรายชื่อ 80 คน โดยให้แต่ละเขตเลือกตั้งมี ส.ส. ได้ 1 คน และ ส.ส. บัญชีรายชื่อใช้ระบบสัดส่วน โดยแบ่งพื้นที่ประเทศออกเป็น 8 กลุ่มจังหวัด แต่ละจังหวัดมี ส.ส. 10 คน ก่อนหน้านี้ คณะกรรมาธิการยกร่างฯ ได้เสนอให้มี ส.ส. ทั้งหมด 400 คน โดยมาจากการเลือกตั้ง 320 และจากระบบบัญชี่รายชื่อ 80 คน ที่ประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญยังได้มีมติให้ตัดมาตรา 68 วรรคสอง เรื่ององค์กรแก้วิกฤต ออกไปตามที่ กมธ. มีมติ คือจะไม่มีองค์กรแก้วิกฤต ซึ่งประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี ผู้นำฝ่ายค้าน ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครอง ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานรัฐสภา ที่จะมาหารือกันเพื่อหาทางออกให้กับประเทศในกรณีที่เกิดวิกฤตทางการเมืองขึ้น ครม. เห็นชอบแนวทางการทำประชามติ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน เห็นชอบแนวทางปฏิบัติในการออกเสียงประชามติ ให้กระทรวง ทบวง กรมและส่วนราชการ ให้ความร่วมมือกับ กกต.ในการทำประชามติ โดยให้ถือเป็นงานในหน้าที่ราชการด้วย ให้วางตัวเป็นกลางอย่างเคร่งครัด ไม่ชี้นำให้ผู้มีสิทธิออกเสียง ให้การสนับสนุนสถานที่เพื่อใช้เป็นสถานที่จัดการออกเสียงประชามติ ขอความร่วมมือภาคเอกชน อนุญาตให้ผู้ใช้แรงงาน ลูกจ้างที่มีสิทธิออกเสียงประชามติ ไปใช้สิทธิออกเสียงอย่างทั่วถึง โดยไม่ถือเป็นวันลาหรือวันหยุด ครม.ไฟเขียวทำกิจกรรม “การเมือง” ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน มีมติให้พรรคการเมืองสามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดย ครม. ได้เปลี่ยนแปลงประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 15 ที่ห้ามดำเนินกิจกรรมทางการเมือง นอกจากนี้ ครม. ยังมีมติให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ไปยกร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขประกาศ คปค.ฉบับที่ 15 เพื่อให้สามารถจดทะเบียนจัดตั้งพรรคใหม่ได้ และในวันที่ 12 นี้ สคก. จะนำร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวมาเสนอ ครม. อีกครั้ง ก่อนส่งไปให้ สนช.พิจารณา 3 วาระรวดเพราะถือเป็นเรื่องเร่งด่วน ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวด้วยคะแนน 139 ต่อ 4 เสียง แต่มีมติไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของรัฐบาลที่ขอให้พิจารณา 3 วาระรวดด้วยคะแนน 112 ต่อ 31 เสียง งดออกเสียง 2 โดยที่ประชุมได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ 15 คน กำหนดแปรญัตติภายใน 7 วัน ร่าง กม. ความมั่นคงภายใน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2550 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. .... ที่มีเนื้อหาสาระสำคัญ อาทิเช่น ให้จัดตั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน หรือ กอ.รมน. เป็นหน่วยงานภายในสำนักนายกรัฐมนตรี ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการรักษาความมั่นคง ทำหน้าที่ควบคุมด้านนโยบาย และมี ผบ.ทบ. เป็น ผอ.กอ.รมน. ผอ.กอ.รมน. มีอำนาจในการออกข้อกำหนด เช่น ห้ามใช้เส้นทางคมนาคม ห้ามมิให้มีการชุมนุม ห้ามบุคคลออกนอกเคหสถานภายในระยะเวลาที่กำหนด (เคอร์ฟิว) ออกคำสั่งให้ใช้ทหารเป็นเจ้าพนักงานแทนตำรวจและฝ่ายปกครอง มีอำนาจอนุมัติจับกุม ปราบปราม ตรวจค้นยานพาหนะและเคหสถาน ยึดอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคง ฯลฯ คำสั่งหรือการกระทำใดๆ ที่ใช้อำนาจตามกฎหมายฉบับนี้ไม่สามารถจะนำขึ้นฟ้องศาลได้ หมายความว่าเมื่อ กม. ฉบับนี้มีผลใช้บังคับ จะเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจรัฐจากนักการเมือง (รัฐบาล) ไปรวมศูนย์อยู่ที่ ผบ.ทบ. กม.ฉบับนี้มีต้นแบบมาจาก กม.โฮมแลนด์ชีเคียวริตี้ของอเมริกา และในประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ก็มี กม. ในทำนองนี้ใช้เช่นกัน ขั้นตอนต่อไป คือการนำเสนอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา ก่อนนำเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ทันที่ที่มีข่าวการเห็นชอบของ ครม. คณะอนุกรรมการกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ก็จัดการสัมมนาชำแหละ กม.ฉบับนี้ในวันที่ 25 มิถุนายน โดยมีนายเสน่ห์ จามริก ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ร่วมอภิปราย ซึ่งนายเสน่ห์ได้กล่าวว่า ไม่สมควรอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะเห็นชอบผ่านร่างดังกล่าว เพราะจะกระทบสิทธิการแสดงความคิดเห็นการเคลื่อนไหวต่างๆ ของประชาชน ในขณะที่นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า เมื่อร่างกฎหมายนี้ใช้บังคับ ผอ.กอ.รมน. จะมีอำนาจครอบคลุมทั่วประเทศโดยไม่ต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือกฎอัยการศึกล่วงหน้า แม้ว่าต่อไปจะมีการเลือกตั้งและมีรัฐบาลชุดใหม่ กองทัพก็สามารถจะอาศัยกฎหมายฉบับนี้ในการควบคุมการทำงานของรัฐบาล วิธีการนี้ไม่ใช่นำพาบ้านเมืองไปสู่ประชาธิปไตย พม. ยอมถอยร่าง กม.สภาองค์กรชุมชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ล้มเลิกความคิดที่จะผลักดันให้มีการออกกฎหมายก่อตั้งสภาองค์กรชุมชนแล้ว โดยให้เหตุผลเมื่อวันที่ 18 มิถุนายนว่า ได้ทำหน้าที่มาสุดทางแล้ว และมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีแทน ในที่ประชุม ครม. กระทรวงมหาดไทยได้คัดค้านโดยเหตุผลว่าการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนจะสร้างความแตกแยกในท้องถิ่น ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจึงสั่งให้ พม. ถอนร่างออกไปก่อนเพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา ครม. เห็นชอบร่างระเบียบข้าราชการยกเลิกระบบซี ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 26 มิถุนายน มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน ซึ่งเป็นการยกเลิกระบบซีของข้าราชการโดยจะมีการแบ่งลักษณะตำแหน่งอื่นๆ ให้สอดคล้องกับวิชาชีพเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แบ่งออกเป็น 4 ระดับ 1. ระดับทั่วไป 2. ระดับวิชาการ 3. ระดับอำนวยการ และ 4. ระดับบริหาร ขึ้นเงินเดือน 4% เอาใจข้าราชการ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินเดือนข้าราชการทุกประเภท ลูกจ้างประจำ พนักงานข้าราชการ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐอื่น ๆ ในอัตราร้อยละ 4 เท่ากันทุกตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2550 และให้ปรับอัตราเงินเดือนขั้นสูงและขั้นต่ำของผู้มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว ซึ่งจะมีผลให้รายได้ขั้นสูงของผู้มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวปรับเพิ่มเป็น 11,000 บาท และรายได้ขั้นต่ำปรับเป็น 7,700 บาท รวมทั้งให้ปรับเงินช่วยเหลือการครองชีพข้าราชการบำนาญ ในอัตราร้อยละ 4 เช่นเดียวกัน ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าวต้องใช้งบประมาณ 17,000 ล้านบาท สภาพัฒน์ชี้เยาวชนไทยมีการศึกษาทั่วถึง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงภาวะสังคมไตรมาส 1 (ม.ค.-มี.ค.) ปี 50 ว่า เด็กและเยาวชนไทยได้รับการศึกษาภาคบังคับทั่วถึง แต่คุณภาพการศึกษายังไม่ดีขึ้น ขณะเดียวกัน การดื่มสุราและเบียร์ของครัวเรือนไทยมีเพิ่มขึ้น ครม.ไฟเขียว พ.ร.บ.แปรรูปรัฐวิสาหกิจ ที่ประชุม ครม. 19 มิถุนายน เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.กำหนดกิจการ หลักเกณฑ์ และขั้นตอนการแปรรูป รัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการแปรรูป เพราะจะควบคุมดูแลทุกขั้นตอนในการกระจายหุ้น และกำหนดเงื่อนไขอย่างชัดเจนว่า รัฐวิสาหกิจที่เข้าข่ายดำเนินการด้านสุขภาพ หรือสร้างปัญหาต่อสังคม, บริการพื้นฐานที่จำเป็น และผูกขาด เช่น ธุรกิจประปา ไฟฟ้า โรงงานยาสูบ และสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จะไม่แปรรูป เนื่องจากจะกระทบต่อค่าบริการของประชาชนโดยเฉพาะบริการพื้นฐาน สนช. ผ่าน กม.คุ้มครองผู้ถูกกระทำรุนแรงฯ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ผ่านร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว ตามที่คณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการและความมั่นคงของมนุษย์ สนช.ได้พิจารณาเสร็จแล้ว โดยให้บังคับใช้เป็นกฎหมายเมื่อพ้นกำหนด 90 วัน นับแต่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา สำหรับสาระสำคัญคือเป็นกฎหมายฉบับแรก ที่ให้ความคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว หากผู้ใดมีการกระทำความผิดฐานดังกล่าว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว หรือผู้ที่พบเห็นหรือทราบการกระทำความรุนแรงในครอบครัว มีหน้าที่จะต้องแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วยวาจา โดยเป็นหนังสือ โดยทางโทรศัพท์ โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือโดยวิธีอื่นการอื่นใด เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย ทั้งนี้กฎหมายฉบับดังกล่าวได้รอมาเป็นเวลา 10 ปี โดยประเด็นสำคัญคือ มาตรา 9 ซึ่งบัญญัติว่าเมื่อมีการแจ้งความว่ามีการกระทำความรุนแรงในครอบครัวแล้ว ห้ามมิให้ผู้ใดลงพิมพ์โฆษณา เผยแพร่ต่อสาธารณชนด้วยวิธีใดๆ ซึ่งภาพ เรื่องราว หรือข้อมูลใดๆ อันอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวหรือผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งหากผู้ใดฝ่าฝืนต้องมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ สนช. ผ่านกฎหมายเพิ่มโทษการข่มขืน เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ในวาระ 2 และ 3 คณะกรรมาธิการได้ยกเลิกความในมาตรา 276 แห่งกฎหมายอาญาฉบับเก่าและให้ใช้ข้อความดังต่อไปนี้แทน คือ “มาตรา 276 ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่แปดพันบาทถึงสี่หมื่นบาท” โดยตัดคำว่า “ซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน” ออกทั้งหมด เพิ่มโทษกรณีเมาแล้วขับ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี 26 มิถุนายน เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก ที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่จราจร พนักงานสอบสวน มีอำนาจกักตัวผู้ขับขี่ที่ไม่ยอมให้ทดสอบตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ได้ และให้สันนิษฐานได้ว่าผู้นั้นหย่อนความสามารถในการขับรถ และให้เพิ่มโทษผู้ขับขี่กรณีที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งให้มีการทดสอบว่าหย่อนความสามารถในการขับขี่ และให้ศาลมีอำนาจเพิกถอน หรือ ห้ามผู้นั้นขับขี่รถในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี กรณีผู้ขับขี่ต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก ก่อให้เกิดอันตรายต่อบุคคล และทรัพย์สินของผู้อื่น ฐานขับรถขณะเมาสุรา