พฤษภาคม 2550 : ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบไทยรักไทย ศาล รธน. สั่งยุบ ทรท. พร้อมเพิกถอนสิทธิ์การเมืองกรรมการบริหารจำนวน 111 คน นรม. แถลงผลงานรัฐบาล 6 เดือน สนช. วิจารณ์การบริหารงานยังไม่มีประสิทธิภาพต้องปรับปรุง ครม. ไฟเขียว ร่าง พ.ร.บ.องค์กรกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... และให้นำเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อออกเป็นกฎหมายจัดตั้งทีวีสาธารณะ ครม. มีความเห็นให้สภาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขในประเด็นแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ การทำสนธิสัญญากับนานาประเทศ การบริหารราชการในกรณีหลัง ครม.พ้นจากตำแหน่ง เกี่ยวกับองค์กรอัยการ และสิทธิเสรีภาพของบุคคล รื้อ กม.ลงประชามติ รธน. เพิ่มบทลงโทษ 1-10 ปี ห้าม โพล-ทำให้เข้าใจผิด เพิ่มงบขาดดุลงบประมาณปี 50 ธปท. มั่นใจไม่กระทบต่อฐานะการคลัง คงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ต่ออีก 1 ปี เหตุยังไม่พร้อมปรับเพิ่ม 10% ตามประมวลรัษฎากร สนช. เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.เพิ่มโทษผู้กระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ครม. มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง กระจายอำนาจ กจค. ก.คลัง วางเกณฑ์ อปท. ออกตราสารหนี้ให้อำนาจในการกู้เงิน ไม่ผูกพันกับ รบ.กลาง ครม. อนุมัติ อาวัลตั๋ว 3.1 พันล้าน ปล่อยกู้ ดอกเบี้ยต่ำช่วย 3 จังหวัดใต้ ครม. อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เพิ่มอำนาจในการทำงาน ครม. มีมติตั้ง 81 อำเภอใหม่ ยุบพรรค-ตัดสิทธิ์การเมือง ไทยรักไทย คณะตุลาการรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 สั่งยุบพรรค พรรคไทยรักไทยพร้อมเพิกถอนสิทธิ์การเมืองกรรมการบริหารจำนวน 111 คน และสั่งยุบพรรคพัฒนาชาติไทยและพรรคแผ่นดินไทย พร้อมเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคทั้งสองจำนวน 19 คนและ 3 คน ตามลำดับ และในวันเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญได้ยกคำร้องทุกข้อกล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่สั่งยุบพรรค พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า พร้อมเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง กรรมการบริหารพรรค 9 คน เป็นเวลา 5 ปี ทั้งสองคดีอัยการสูงสุดได้พิจารณาจากข้อกล่าวหาของคณะกรรมการเลือกตั้ง และส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยมีข้อกล่าวหาว่าพรรคไทยรักไทยได้จ้างวานให้ผู้สมัครพรรคพัฒนาชาติไทยและพรรคแผ่นดินไทยลงสมัครเพื่อให้แข่งขันกับพรรคไทยรักไทย หลีกเลี่ยงเกณฑ์คะแนน 20 เปอร์เซ็นต์ หากมีผู้สมัครเพียงคนเดียว รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงฐานข้อมูลสมาชิกพรรทั้งสองในฐานข้อมูลของ กกต. เพื่อให้สมาชิกพรรคมีคุณสมบัติสังกัดพรรคการเมือง 90 วันตามหลักเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ตุลาการรัฐธรรมนูญจึงมีความเห็นว่า การกระทำของพรรคไทยรักไทยเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ขัดต่อหลักกฎหมาย ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี ตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองมาตรามาตรา 66 (1) ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ในส่วนของข้อกล่าวหาต่อพรรคประชาธิปัตย์นั้น ถูกกล่าวหาในความผิด 4 ประเด็น คือ 1. ร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยล้มล้างรัฐบาล 2. จ้างบุคคลไปสมัครเข้าพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าเพื่อให้ลงสมัครรับเลือกตั้งในเขตพื้นที่ จ.ตรัง เพื่อใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย 3. ขัดขวางการลงสมัครรับเลือกตั้งใน จ.สงขลา และ 4. จ้างพรรคชีวิตที่ดีกว่าใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย ซึ่งคณะตุลาการวินิจฉัยคณะตุลาการลงมติด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ว่าพรรคไม่ได้กระทำผิดดังกล่าว จึงไม่มีสาเหตุให้ถูกยุบ แต่ให้ยุบพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าด้วยมติ 6 ต่อ 3 สนช. วิพากษ์ รบ. 6 เดือน ต้องปรับปรุง เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2550 พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลงานของรัฐบาลต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยนายกรัฐมนตรีได้แถลงว่า ที่ผ่านมารัฐบาลแก้ปัญหาหนี้สินสะสมของกองทุนน้ำมันให้ลดลงอย่างรวดเร็ว จาก 50,407 ล้านบาท เหลือ 28,746 ล้านบาท และยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียม 30 บาท ในโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และจัดสรรค่าใช้จ่ายต่อหัวเพิ่มขึ้นจากเดิม 1,659 บาท เป็น 1,899 บาท/คน/ปี สำหรับนโยบายที่รัฐบาลต้องยกเลิก คือนโยบายที่เน้นเรื่องการอัดฉีดเม็ดเงินงบประมาณโดยตรงไปยังกลุ่มประชาชนระดับรากแก้ว ผ่านกองทุนหมู่บ้าน และชุมชนเมือง และการกระจายเม็ดเงินสู่ท้องถิ่น ผ่านคณะรัฐมนตรีสัญจร และการตรวจราชการ ทำให้เกิดรายจ่ายค้างจ่ายข้ามปีงบประมาณ ส่งผลให้การจัดทำงบประมาณประจำปี 2550 ต้องจัดงบประมาณเพื่อคืนให้รายการที่อนุมัติไปก่อนหน้านี้เกือบ 90,000 ล้านบาท ส่วนรายจ่ายดังกล่าวยังคงต้องผูกพันงบประมาณปี 2551 และ 2552 ซึ่งจะทำให้รัฐบาลมีข้อจำกัดด้านการคลังต่อไปในอนาคต สำหรับการดำเนินนโยบายของรัฐบาลประกอบด้วย 2 ส่วน คือ การแก้ไขและบรรเทาปัญหาเร่งด่วน และการวางรากฐานสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต โดยผลการดำเนินงานของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาสรุปได้ดังนี้ 1. ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ได้น้อมนำแนวทางพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา เป็นหลักสำคัญในการดำเนินงาน 2. การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และเตรียมป้องกันภัยแล้ง โดยประกาศให้น้ำเป็นวาระแห่งชาติ 3. การแก้ปัญหามลพิษทางน้ำในจังหวัดอ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา 4. การแก้ไขปัญหาสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ 5. การแก้ปัญหาท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ ได้แก้ปัญหาผิวทางวิ่ง และตรวจสอบปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างให้เกิดความโปร่งใส 6. จัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เร่งรัดการเบิกจ่ายภาครัฐ พร้อมทั้งนโยบายผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยในการสร้างความเชื่อมั่นทั้งภายในและต่างประเทศ ซึ่งทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 2 นอกจากนี้การวางรากฐานการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนาคตมี 5 ด้าน คือ 1. นโยบายปฏิรูปการเมืองการปกครองและการบริหาร เน้นเสริมสร้างการป้องกันการทุจริต 2. การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ ได้นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการดำเนินงาน 3. การดำเนินนโยบายทางสังคม เน้นสังคมอยู่เย็นเป็นสุขและอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์ 4. การดำเนินนโยบายด้านต่างประเทศ ส่งเสริมบทบาทเชิงรุกในกรอบทวิภาคีและพหุภาคีในการแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อโลกมุสลิม และ 5. การดำเนินนโยบายด้านการรักษาความมั่นคงของรัฐ ทำให้นานาประเทศเชื่อมั่นต่อกระบวนการประชาธิปไตย ทั้งนี้การดำเนินงานต่อไปของรัฐบาลในระยะ 6 เดือน คือ 1. สนับสนุนการจัดทำรัฐธรรมนูญและสนับสนุนการจัดการเลือกตั้ง 2. ส่งเสริมความสมานฉันท์ในสังคม เช่น การพัฒนาระบบการศึกษา 3. สร้างความเข้าใจกับมิตรประเทศมุสลิมสายกลาง 4. สนับสนุนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและพัฒนาคนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเร่งปฏิรูปการศึกษา พร้อมกับพัฒนามาตรฐานด้านสาธารณสุข รวมถึงการจัดทำแผนแม่บทวัฒนธรรมแห่งชาติ และแผนพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม 5. ผลักดันระบบเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพบนฐานความรู้และนวัตกรรม 6. สร้างความมั่นใจให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างต่อเนื่องและสมดุล ผ่านนโยบายการคลังกับนโยบายการเงิน และรัฐบาลจำเป็นต้องเตรียมร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2551 โดยหลักการและยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณจะยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบรายจ่ายงบประมาณในจำนวน 1,635 ล้านล้านบาท รายได้ 1,515 ล้านล้านบาท ขาดดุล 120,000 ล้านบาท หลังจากนั้น น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ สมาชิก สนช. นำอภิปรายว่า โดยภาพรวมแล้วรัฐบาลยังไม่มีผลงานอะไรเด่น ในภาคเศรษฐกิจนั้นการปฏิบัติยังไม่ดี รายได้ลด หนี้สินเพิ่ม ค่าเงินบาทแข็ง การค้าขายลำบาก การส่งออกดีเพียงบางตัวเท่านั้น ส่วนภาคสังคมเกิดความแตกแยกของประชาชนมากกว่าในสมัยรัฐบาลเก่า มีความวุ่นวายมากขึ้น เพราะขาดความเด็ดขาดในการรักษากฏหมายและการตัดสินใจ และปัญหาด้าความมั่นคงโดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ความรุนแรงขยายมากขึ้น จึงขอให้รัฐบาลปรับปรุงวิธีการทำงาน ครม. ไฟเขียว ทีวีสาธารณะ คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.องค์กรกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... และให้นำเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อออกเป็นกฎหมาย ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ มีทั้งสิ้น 60 มาตรา และมีหลักว่าจะให้มีการจัดตั้งสถานีโทรทัศน์สาธารณะในรูปแบบขององค์กรมหาชนที่อยู่ใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการ 9 คน ที่จะประกอบด้วยตัวแทนจากสภาหนังสือพิพม์ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ และองค์กรอื่น ๆ โดยมีผู้บริหารคือผู้อำนวยการซึ่งจะมีวาระการทำงาน 4 ปี โดยเหตุที่ทีวีสาธารณะจะต้องไม่มีการโฆษณา ดังนั้นจึงให้รายได้จากภาษีสรรพสามิตเหล้าและบุหรี่ปีละไม่เกิน 2 พันล้านบาท มาเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ซึ่งจะเป็นรายการเกี่ยวกับข่าวสารที่มีผลกระทบต่อสาธารณะ รายการอภิปราย หรือวิพากษ์ปัญหาสาธารณะ รายการสำหรับเด็ก และรายการที่สร้างสรรค์ องค์กรมหาชนนี้จะรับโอนสถานีทีไอทีวีจากสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีมาสังกัด ครม.ชง 5 ประเด็นหลักแก้ รธน. ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ได้เห็นชอบให้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) สรุปและจัดทำข้อเสนอแนะของ ครม. ต่อร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.... เพื่อส่งมอบให้สภาร่างรัฐธรรมนูญใน 5 ประเด็น คือ 1.ร่างหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ เห็นว่ามีการกำหนดรายละเอียดค่อนข้างมาก สมควรปรับปรุงให้มีลักษณะเป็นหลักการกว้างๆ เพื่อให้มีการยืดหยุ่นในการนำไปปฏิบัติ 2.ร่างมาตรา 186 วรรค 2, 3, 4 ในประเด็นเกี่ยวกับการทำสนธิสัญญากับนานาประเทศ ยังไม่มีความเหมาะสมและจะมีผลกระทบและเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติราชการของกระทรวงการต่างประเทศ 3.ร่างมาตรา 177(2) จะเป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการ ในการใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นของ ครม. ที่พ้นจากตำแหน่งและต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป 4.ร่างมาตรา 246 เกี่ยวกับองค์กรอัยการ เห็นควรให้สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นองค์กรที่อยู่ในฝ่ายบริหารเช่นปัจจุบันซึ่งมีความเหมาะสมอยู่แล้ว 5.ร่างหมวด 3 สิทธิเสรีภาพของบุคคล เห็นควรให้มีการกำกับสิทธิเสรีภาพได้ในบางเรื่องตามที่กฎหมายบัญญัติ ดังเช่นที่เป็นอยู่ในรัฐธรรมนูญปี 40 กำนัน-ผญบ. อยู่ถึงอายุ 60 คณะรัฐมนตรีอนุมัติในหลักการร่าง พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยมีหลักการสำคัญคือ การปรับเปลี่ยนการเข้าสู่ตำแหน่งของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน โดยปรับวิธีการเลือกให้มีกระบวนการกลั่นกรองผู้สมัครโดยเข้มงวด ก่อนให้ประชาชนเลือก แล้วให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้ง ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้คนที่มีความรู้ความสามารถมีความประพฤติเหมาะสมได้เข้ามาดำรงตำแหน่งมากขึ้น และจะปรับแก้ระยะเวลาการดำรงตำแหน่งจาก 45 ปี เป็น อยู่จนอายุ 60 ปี เนื่องจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้านถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ใช่นักการเมืองท้องถิ่น และให้มีการประเมินผลการปฏิบัติงานทุก 5 ปี ถ้าประเมินไม่ผ่าน ก็จะต้องถูกสั่งให้ออกจากตำแหน่ง รวมถึงราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง สามารถเข้าชื่อร้องขอให้ออกจากตำแหน่งได้ ส่วนการลงโทษทางวินัย ให้เป็นเช่นเดียวกับข้าราชการพลเรือน นอกจากนี้ยังจะมีการปรับแก้ไขอำนาจหน้าที่มิให้ซ้ำซ้อนกับองค์กรปกครองท้องถิ่น ด้วยการตัดอำนาจหน้าที่ให้เหลือเฉพาะในด้านที่รักษาความสงบเรียบร้อยและหน้าที่อื่นตามกฎหมายกำหนดเท่านั้น รื้อ กม. ลงประชามติ รธน. เพิ่มบทลงโทษ คณะกรรมการกฤษฎีกาคณะที่ 1 ที่มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน พิจารณาแก้ไขปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติ หรือร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. .... ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ส่งมาให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ด้วยการแก้ไขอย่างน้อย 3 ประเด็น ประกอบด้วย ชื่อร่าง พ.ร.บ. กำหนดลักษณะหรือฐานความผิดเพิ่มขึ้น และกำหนดบทลงโทษรุนแรงยิ่งขึ้น โดยขั้นตอนต่อไปจะส่งกลับให้ ครม. พิจารณา ก่อนนำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป การแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ประกอบด้วย การแก้ไขชื่อใหม่เป็นร่าง พ.ร.บ.กำหนดความผิดเกี่ยวกับการออกเสียงประชามติ พ.ศ. .... การปรับปรุงสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ. โดยกำหนดลักษณะความผิดเพิ่มขึ้นจากเดิมที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เสนอไป ด้วยการนำความผิดที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว. พ.ศ. 2542 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2541 มารวมไว้ พร้อมกับเพิ่มเติมลักษณะความผิดที่คิดว่าอาจจะเกิดขึ้นในการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมเข้าไปด้วย อาทิ ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการในลักษณะจงใจให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ผู้มีสิทธิออกเสียงออกเสียงไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ห้ามมิให้ผู้ใดขาย จำหน่าย จ่ายแจก หรือจัดเลี้ยงสุราทุกชนิดในระหว่างเวลา 18.00 น. ของวันก่อนวันออกเสียงประชามติ จนสิ้นสุดวันออกเสียงประชามติ และห้ามมิให้ผู้ใดประกาศ โฆษณา หรือกระทำการด้วยประการใดๆ ให้เป็นที่เข้าใจว่าร่างรัฐธรรมนูญได้รับคะแนนออกเสียงเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบเท่าใด ในการออกเสียงประชามติหรือการห้ามทำโพล นับแต่วันที่สภาร่างรัฐธรรมนูญประกาศกำหนดให้มีการออกเสียงประชามติจนถึงเวลาปิดการออกเสียง นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงในส่วนลักษณะความผิดเกี่ยวกับการทำลายบัตรและการฉีกบัตรออกเสียงประชามติ โดยกำหนดไว้ชัดเจนว่าห้ามทำลายบัตรหรือฉีกบัตรออกเสียงประชามติ ซึ่งบทลงโทษมีตั้งแต่ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท จากเดิมที่กำหนดไว้ว่าจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี เพิ่มขาดดุลงบประมาณปี 50 ฟื้นเศรษฐกิจ นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า มาตรการด้านการเงินและมาตรการด้านการคลังในปัจจุบันยังสามารถผ่อนคลายได้อีกเพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมาตรการการเงินยังมีช่องทางที่จะใช้อัตราดอกเบี้ยบริหารเศรษฐกิจเพิ่มเติมได้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อลดลงอย่างต่อเนื่องจนมาอยู่ในระดับ 1.8% ในเดือนเมษายน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับลดอัตรดอกเบี้ยไปแล้ว 0.5% ดังนั้นการขาดดุลงบประมาณปี 2550 อาจขาดดุลเพิ่มขึ้นจากที่กำหนดไว้ แต่จะไม่เป็นปัญหาต่อฐานะการคลัง เนื่องจากภาระหนี้ของรัฐไม่สูงมากนัก อีกทั้งยังเชื่อว่านโยบายการคลังที่ผ่อนคลายจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น โดยอาจจะมีการนำมาตรการภาษีมาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่เพียงเฉพาะเพื่อภาคอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่จะดูให้ครอบคลุมหลายส่วนของเศรษฐกิจ ครม.ไฟเขียวคงภาษีแวตที่ 7% อีก 1 ปี ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอไปให้คงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ที่ระดับ 7% ต่อไปอีก 1 ปี จากเดิมที่จะครบกำหนดการขยายเวลาในเดือนกันยายน 2550 เพราะมองว่าภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้ยังไม่เหมาะสมที่จะปรับเพิ่มขึ้นมาที่ 10% ตามประมวลรัษฎากร แม้การปรับขึ้นมาเพียง 1% จะได้เม็ดเงินเพิ่มถึง 4 หมื่นล้านบาทก็ตาม ส่วนที่ยืดเวลาออกไปเพียงปีเดียวจนถึงเดือนกันยายน 2551 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลนี้มีระยะเวลาการทำงานเพียง 1 ปีเท่านั้น ในปีหน้าจึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ที่จะตัดสินใจต่อไป อย่างไรก็ตาม การคงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่ระดับ 7% นั้น ไม่ได้มีผลต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล เพราะที่ผ่านมาได้ใช้อัตราดังกล่าวมานานถึง 6 ปีครึ่งแล้ว ตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ สนช. ผ่าน พรบ.ความผิดเกี่ยวกับคอมฯ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ที่มีสาระสำคัญเกี่ยวกับลักษณะความผิดที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และบทลงโทษผู้กระทำความผิด ในวาระ 3 ด้วยคะแนนเสียง 119 ต่อ 1 งดออกเสียง 1 เสียง จากนี้จะส่งให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อให้ทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ทั้งนี้ สมาชิก สนช. ส่วนใหญ่อภิปรายในมาตรา 6-10 เกี่ยวกับบทลงโทษที่กรรมาธิการได้แก้ไขเพิ่มโทษกับผู้กระทำความผิดว่า ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (อี-เมล) แก่บุคคลอื่นโดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา เพื่อรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่น ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท มีสมาชิกหลายคนตั้งข้อสังเกตถึงถ้อยคำ "ปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา" ว่า มีขอบเขตกว้างขวางเพียงใด เพราะปัจจุบันผู้ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อส่งอี-เมลนั้น ไม่ได้ใช้เฉพาะคอมพิวเตอร์หรือมือถือของตนเท่านั้น แต่ไปใช้ในร้านอินเตอร์เน็ต หรือสถานที่อื่นๆ ซึ่งบางครั้งผู้ใช้ไม่ได้มีเจตนาปกปิด ครม. อนุมัติร่าง พ.ร.บ. ค้าปลีกค้าส่ง ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2550 มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง พ.ศ. . ตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้นำกลับไปพิจารณาทบทวนและปรับปรุงแก้ไขตามข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2550 เกี่ยวกับคณะกรรมการกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง และมาตรการจัดระบบค้าปลีกค้าส่ง การลงโทษทางปกครอง และการกำหนดบทนิยามคำว่าธุรกิจให้ชัดเจนมากขึ้น กระทรวงพาณิชย์ได้แก้ไขบทเฉพาะกาลมาตรา 66 เป็นเมื่อมายื่นคำขออนุญาตให้ได้รับอนุญาตโดยอัตโนมัติ แต่ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด พร้อมทั้งให้คณะกรรมการกลางกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง (กกค.) ทำหน้าที่คณะกรรมการระดับจังหวัดกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง (กจค.) ใน 2 ปีแรก เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นระบบและให้ กกค.มีอำนาจกำหนดนโยบายในการจัดระบบดูแลธุรกิจ การแยกประเภทธุรกิจ การรับเรื่องร้องเรียนและการลงโทษทางการปกครอง อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายใหม่ได้ลดอำนาจในการพิจารณาอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ การสั่งให้หยุดการกระทำฝ่าฝืนกฎหมาย เพื่อกระจายอำนาจให้กับ กจค. ทั้งนี้สถานการณ์ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งในปัจจุบันมีการร้องเรียนอย่างมากจากผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งแบบดั้งเดิมในหลายจังหวัดว่าได้รับผลกระทบจากการขยายสาขาของผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่มากขึ้น โดยส่วนใหญ่เห็นว่ารัฐควรมีมาตรการเร่งด่วนมาชะลอ หรือยับยั้งการขยายสาขาของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ ระหว่างรอประกาศบังคับใช้ร่างพระราชบัญญัติ โดยจะให้กระทรวงมหาดไทยใช้กฎหมายว่าด้วยการผังเมือง และกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารดูแลไปก่อน "คลัง" วางเกณฑ์ อปท. ออกตราสารหนี้ กระทรวงการคลังกำลังร่างหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการกู้เงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และหลักเกณฑ์การออกและการจัดจำหน่ายตราสารหนี้ของ อปท. ซึ่งหลักเกณฑ์ดังกล่าวจะมีความชัดเจน และเข้มงวดเพื่อป้องกันปัญหาธรรมาภิบาล โดยคาดว่าจะสามารถจัดทำแล้วเสร็จภายในปีงบประมาณนี้ เพื่อรองรับให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์ได้ ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ดังกล่าวจะให้อำนาจในการกู้เงิน แต่ไม่ได้รับการค้ำประกันหรือผูกพันกับรัฐบาลกลางให้ต้องชำระหนี้แทน รวมถึงห้ามมิให้นำทรัพย์สินของแผ่นดินเป็นหลักประกันด้วย โดยจะอนุญาตให้ใช้เงินกู้ไปในโครงการลงทุน เงินทุนหมุนเวียน และการปรับโครงสร้างหนี้เท่านั้น โดยจะกู้ได้ไม่เกิน 20% ของบประมาณรายจ่ายประจำปีของ อปท. และวงเงินกู้เมื่อรวมกับยอดหนี้จะต้องไม่เกินร้อยละ 50 ของงบประมาณ ซึ่ง อปท.จะต้องจัดส่งข้อมูลการกู้และแผนการเงินประจำปีให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) พิจารณา ปัจจุบัน อปท. สามารถก่อหนี้ได้ตามกรอบรัฐธรรมนูญ โดยรัฐบาลมีหน้าที่ในการกำกับดูแล อปท. ให้กู้ได้เท่าที่จำเป็น โดยปัจจุบัน อปท. 731 แห่งทั่วประเทศ มีวงเงินกู้จากแหล่งต่างๆ รวมทั้งสิ้น 1,365.9 ล้านบาท โดยเป็นการกู้เงินจากสถาบันการเงิน 941.8 ล้านบาท และอื่นๆ 424.1 ล้านบาท ครม. อนุมัติ อาวัลตั๋ว 3.1 พันล้าน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม มีมติอนุมัติให้กระทรวงการคลังอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 3 แห่ง วงเงิน 3,128 ล้านบาท เพื่อเป็นหลักประกันการกู้เงินธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ภายใต้การสนับสนุนการเงินช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ดอกเบี้ยต่ำ 1.5% ต่อปี ทั้งนี้ แบ่งเป็น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) 1,800 ล้านบาท ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) 1,058 ล้านบาท และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) 270 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังคาดว่ามาตรการความปลอดภัย ภาษี และสาธารณูปโภค ที่ออกมาจะช่วยสร้างงานและรายได้แก่คนในพื้นที่ พร้อมทั้งสร้างความมั่นใจและช่วยเหลือผู้ประกอบการใน 3 จังหวัดดำเนินธุรกิจต่อไปได้ สำหรับตั๋วสัญญาใช้เงินที่สถาบันการเงินทั้ง 3 แห่งเป็นผู้ออก จะมีกระทรวงการคลังเป็นผู้อาวัล และมีกำหนดการชำระคืนไม่เกิน 31 กรกฎาคม 2551 คิดอัตราดอกเบี้ย 0.01% นอกจากนี้ จะให้สถาบันการเงินเรียกเงินดอกเบี้ยจากผู้ประกอบธุรกิจในอัตราไม่เกิน 1.5% ครม. ติดดาบ กม.ยาเสพติด คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สาระสำคัญ คือ 1. กำหนดให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีอำนาจสั่งปิดสถานประกอบการชั่วคราวหรือสั่งพักใช้ใบอนุญาตประกอบการได้ หากตรวจพบว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานประกอบการ รวมทั้งเพิ่มระยะเวลาสั่งปิดชั่วคราวหรือสั่งพักใช้ใบอนุญาตจากเดิมไม่เกินครั้งละ 15 วัน เป็นไม่เกินครั้งละ 30 วัน 2. ให้อำนาจการจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในกรณีจำเป็นเร่งด่วนต่อเนื่องจากการตรวจค้นเคหสถาน สถานที่ บุคคล หรือยานพาหนะ ฯลฯ โดยไม่ต้องมีหมายจับของศาล 3. ให้อำนาจควบคุมผู้ถูกจับเพื่อสอบสวนกรณีจำเป็นและขยายผลการจับกุมผู้กระทำผิดรายสำคัญก่อนส่งพนักงานสอบสวน และลดระยะเวลาการควบคุมตัวผู้ถูกจับจากเดิม 3 วัน เหลือ 48 ชั่วโมง ตั้งอำเภอใหม่ 81 แห่ง คณะรัฐมนตรีอนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกาตั้งอำเภอตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอรวม 81 อำเภอ ได้แก่ อำเภอบางเสาธง อำเภอสามร้อยยอด อำเภอนาตาล อำเภอเอราวัณ อำเภอกุดรัง อำเภอพระทองคำ อำเภอวังสมบูรณ์ อำเภอภูเพียง อำเภอเขวาสินรินทร์ อำเภอรัตนวาปี อำเภอเฝ้าไร่ อำเภอศรีรณรงค์ อำเภอพนมดงรัก อำเภอโนนนารายณ์ อำเภอเขาคิชฌกูฎ อำเภอเกาะช้าง อำเภอเกาะกูด อำเภอภูซาง อำเภอโคกสูง อำเภอนิคมพัฒนา อำเภอซำสูง อำเภอบ้านแฮด อำเภอลำทะเมนชัย อำเภอเวียงเชียงรุ้ง อำเภอวังเจ้า อำเภอสีดา อำเภอหนองหิน อำเภอเวียงหนองล่อง อำเภอดงเจริญ อำเภอภูกามยาว อำเภอสากเหล็ก อำเภอนาคู อำเภอแคนดง อำเภอโคกโพธิ์ไชย อำเภอโนนศิลา อำเภอบัวลาย อำเภอนาเยีย อำเภอเกาะจันทร์ อำเภอดอยหล่อ อำเภอบึงสามัคคี อำเภอวิภาวดี อำเภอเมืองยาง อำเภอศรีนครินทร์ อำเภอแม่ออน อำเภอสุขสำราญ อำเภอโกสัมพีนคร อำเภอกู่แก้ว อำเภอเขาชะเมา อำเภอบึงนาราง อำเภอบ้านด่าน อำเภอช้างกลาง อำเภอน้ำขุ่น อำเภอสว่างวีระสงค์ อำเภอนบพิตำ อำเภอเชียงขวัญ อำเภอฆ้องชัย อำเภอหนองฮี อำเภอเหล่าเสือโก้ก อำเภอสามชัย อำเภอดอนจาน อำเภอสระใคร อำเภอประจักษ์ศิลปาคม อำเภอทุ่งเขาหลวง อำเภอชื่นชม อำเภอโพธิ์ศรีสุวรรณ อำเภอหนองนาคำ อำเภอเทพารักษ์ อำเภอดอยหลวง อำเภอบ้านคา อำเภอศิลาลาด อำเภอหนองมะโมง อำเภอแม่เปิน อำเภอชุมตาบง อำเภอเนินขาม อำเภอหาดสำราญ อำเภอโพธิ์ตาก อำเภอวังยาง อำเภอมะนัง อำเภอคลองเขื่อน อำเภอซับใหญ่ และอำเภอเวียงเก่า พ.ศ. .... โดยให้ส่งร่างพระราชกฤษฎีกาตั้งอำเภอฯ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไป