เมษายน 2550 : เตรียมพร้อมประชามติ รธน. ปี 50 ครม. อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ตามที่ กกต. เสนอ 299 มาตรา รธน. ปี 50 ชู 4 ประเด็น เน้นย้ำคุณธรรม จริยธรรมนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี เพิ่ม 3 ราย ช่วยงานกระทรวงท่องเที่ยว สาธารณสุขและมหาดไทย ครม. ไฟเขียวอนาคตทีไอทีวี ให้เป็นสื่อสาธารณะ ไม่มีโฆษณา ดึงรายได้ภาษีพิเศษช่วย ครม. เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.การแพทย์ฉุกเฉิน ยกระดับระบบการแพทย์ไทยเทียบเท่าประเทศที่พัฒนาแล้ว ครม. อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจต่างด้าว เพิ่มโทษ ยกเว้นเลือกปฏิบัติ รัฐบาลเดินหน้ากองทุนหมู่บ้านต่อ อนุมัติปรับงบประมาณเพิ่มด้านบริการและการพัฒนากว่า 371 ล้านบาท กระทรวงยุติธรรมตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์ที่ยากจนให้สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม อัยการสั่งไม่ฟ้อง 3 คดี ทักษิณ หมิ่นเบื้องสูง เสนอร่าง พ.ร.บ.ประชามติ เข้า ครม. คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประงานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนนำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2549 ได้บัญญัติให้มีการออกเสียงประชามติว่าประชาชนจะให้ความเห็นชอบหรือไม่ ต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 แต่เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีกฎหมายรองรับในเรื่องการออกเสียงประชามติ โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งเกี่ยวกับการจัดและควบคุมการออกเสียงประชามติ ตลอดจนในความผิดและบทกำหนดโทษของผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการออกเสียงประชามติ ดังนั้น เพื่อให้การจัดการออกเสียงประชามติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย จึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมาเพื่อดำเนินการ 299 มาตรา รธน. ปี 50 คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญได้ยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับ พ.ศ. 2550 เสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 11 เมษายน โดยร่างที่ยกขึ้นมาใหม่นี้มีทั้งสิ้น 299 มาตรา น้อยกว่ารัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2540 ซึ่งมี 336 มาตรา โดยในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ จะมีประเด็นที่แตกต่างจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 อยู่ประมาณ 3-4 ประเด็น แต่เป็นข้อแตกต่างที่จะดีขึ้น คือ 1. สิทธิเสรีภาพและการมีส่วนร่วมของประชาชน รวมทั้งการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนจะได้รับการคุ้มครองและขยายมากขึ้น 2. ลดอำนาจผูกขาดของภาครัฐ ให้อำนาจรัฐน้อยลงตามหลักการกระจายอำนาจ โดยเฉพาะการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 3. ภาคการเมือง จะมีบทบัญญัติเพิ่มจากการบัญญัติเกี่ยวกับระบบเลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว. มีการบรรจุเรื่องคุณธรรม จริยธรรม เพื่อความโปร่งใสของนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐ 4. ระบบตรวจสอบขององค์กรอิสระต่างๆ เปลี่ยนแปลงให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ต่อจากนี้จะนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกไปจัดพิมพ์จำนวน 1 ล้านฉบับ ส่งให้ประชาชนใน 76 จังหวัด เพื่อจะได้มีการทำประชาพิจารณ์รับฟังความเห็นของประชาชน และส่งให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป นายกรัฐมนตรีนำรัฐมนตรีใหม่เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ฯ 8 พ.ค. นี้ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี จำนวน 3 ราย คือ นายณัฐ อินทรปาณ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พลตำรวจโท ธีรวุฒิ บุตรศรีภูมิ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายวัลลภ ไทยเหนือ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยรัฐมนตรีใหม่ทั้ง 3 รายจะเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่ ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2550 ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ครม. ไฟเขียวอนาคตทีไอทีวี ให้เป็นสื่อสาธารณะ ไม่มีโฆษณา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2550 เห็นชอบให้แนวทางการบริหารสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวีเป็นไปในรูปแบบโทรทัศน์สาธารณะ ไม่มีโฆษณา โดยมีรายได้มาจากการเก็บภาษีพิเศษ หรือภาษีบาป เช่น เหล้าหรือบุหรี่ การบริจาค และจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) รวมถึงกองทุนพัฒนาการศึกษา โดยจะมีการตั้งกรรมการอิสระขึ้นกำกับดูแลให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการตั้งสื่อสาธารณะไม่หวังผลกำไร โดยจะมีการดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในรัฐบาลชุดนี้ ทั้งนี้ทุนประเดิมขั้นต้นจะใช้จากรัฐ คาดว่าจะไม่มากนัก เนื่องจากทีไอทีวีมีโครงสร้างพื้นฐานอยู่แล้ว ส่วนการผลิตรายการ ผู้ผลิตเดิมสามารถดำเนินการต่อได้ และต้องปรับเปลี่ยนภายใต้รูปแบบสื่อสาธารณะ เช่น ไม่มีการโฆษณาสินค้า แต่ให้โฆษณาภาพลักษณ์องค์กร เป็นต้น โดยรัฐบาลเห็นความสำคัญของสื่อเสรี แต่หากดำเนินกับสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวีในช่วงนี้อาจไม่ทัน เพราะต้องมีคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์แห่งชาติ (กสช.) และมีการแก้ไขมาตรา 80 ก่อน ครม. ฉลุยร่าง พ.ร.บ.การแพทย์ฉุกเฉิน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉินตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ซึ่ง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เป็นกฎหมายฉบับแรกของประเทศไทย ที่จะทำให้ระบบการแพทย์ของไทยสมบูรณ์เทียบเท่าประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยประเด็นหลักของกฎหมายฉบับนี้ จะสร้างมาตรฐานและความเชื่อมั่นของระบบการช่วยเหลือประชาชนที่เจ็บป่วยฉุกเฉิน 4 เรื่องใหญ่ ได้แก่ 1. การมีบุคลากรทางการแพทย์มืออาชีพให้บริการโดยตรง เพราะที่ผ่านมาผู้บาดเจ็บตกอยู่ในภัยอันตราย เนื่องจากผู้ที่ให้การช่วยผู้ป่วย 85% คือญาติและผู้ประสบเหตุ มีไม่ถึงร้อยละ 1 ที่ได้รับการช่วยเหลือโดยบุคลากรทางการแพทย์ จึงทำให้เกิดความพิการและเสียชีวิตจากการเคลื่อนย้ายไม่ถูกวิธีมากถึง 10% 2. มีองค์กรรับผิดชอบบริการนี้โดยตรง คือ ศูนย์นเรนทร ที่มีความพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง มีหมายเลขโทรศัพท์แจ้งเหตุฉุกเฉินโดยตรง จากเดิมที่ใช้ 1669 ฟรี จะเหลือเลขแค่ 3 หลัก เหมือนสากล 3. ขจัดปัญหาโรงพยาบาลปฏิเสธคนป่วยฉุกเฉิน และ 4. จัดระบบอาสาสมัคร มูลนิธิที่ดำเนินการกู้ชีวิตต่างๆ เข้าสู่ระบบมาตรฐาน ให้บริการอย่างปลอดภัยเหมือนกันทั่วประเทศ ในระยะสั้นนี้ จะจัดตั้งกองทุนรองรับ ครอบคลุมทั้งเรื่องบริการและการฝึกอบรมบุคลากรภาคบริการก่อน โดยใช้เงินจาก 3 แหล่ง ได้แก่ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนประกันสังคม และกองทุนข้าราชการและครอบครัว คาดว่าภายใน 8-10 ปี จะสามารถให้บริการได้เต็มรูปแบบ โดยขั้นตอนจากนี้ไปจะนำร่าง พ.ร.บ.นี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อน ครม. ไฟเขียวร่าง กม. ธุรกิจต่างด้าว ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 เมษายน มีมติเห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. .... ตามที่คณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีการพิจารณาในรายละเอียดและส่งเรื่องกลับมา รวมถึงนำร่างพระราชบัญญัติฉบับที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เสนอ ตลอดจนความคิดเห็นจากภาคเอกชนทั้งไทยและต่างชาติมาร่วมพิจารณาในที่ประชุม ครม. ด้วย สั่งเพิ่มโทษจำคุกคนไทยช่วยเหลือต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต จาก 3 ปี เป็น 5 ปี ยกเว้นการเลือกปฏิบัติ กรณีนอมินีใครทำผิดโดนเล่นงานถ้วนหน้า จากการหารือร่วมกันที่ประชุมได้ข้อสรุปว่า 1. ครม. ยืนยันแก้ไขนิยาม "คนต่างด้าว" โดยให้เพิ่มสิทธิการออกเสียง (Voting Right) อยู่ในคำนิยามด้วย 2. สำหรับนิติบุคคลต่างด้าวที่ทำธุรกิจที่อยู่ในบัญชี 3 ซึ่งมีสิทธิการโหวตได้เกินกว่า 50% ครม. จะยังคงให้สิทธินั้นตลอดไปจนกว่าจะมีการเลิกกิจการ ขณะที่ธุรกิจที่อยู่ในบัญชี 1 และ 2 ครม. ได้เพิ่มระยะเวลาในการปรับตัวให้ถูกต้องตามกฎหมาย จากเดิม 2 ปี เป็น 3 ปี 3. เพิ่มโทษสำหรับผู้ที่ทำผิดกรณีการถือหุ้นแทนคนต่างด้าว (นอมินี) จากเดิมที่เพิ่มเฉพาะโทษปรับ 5 เท่า เปลี่ยนให้เพิ่มทั้งโทษอาญาและโทษปรับ เป็นจำคุก 5 ปี ปรับ 5 เท่า เพื่อป้องกันการเป็นนอมินี และเพื่อให้กฎหมายสามารถให้บังคับได้อย่างแท้จริง โดยผู้ที่ถูกดำเนินคดีให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย รวมทั้งผู้ที่จะถูกฟ้องในอนาคตก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เป็นการให้คุณให้โทษกับใคร ซึ่งถือเป็นการเลือกปฏิบัติ 4. ครม. เห็นชอบให้คงธุรกิจที่อยู่ในบัญชี 1 และบัญชี 2 ตามเดิม ส่วนบัญชี 3 ให้คงตามร่าง พ.ร.บ.เดิม โดยให้ตัดธุรกิจที่มีกฎหมายดูแลเฉพาะออกไป เช่น ธนาคารและประกันภัย และ 5.ให้มีการปรับปรุงจำนวนคณะกรรมการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวจากเดิมที่มี 25 คน ให้เหลือ 17 คน โดยเป็นคณะกรรมการโดยตำแหน่ง 12 คน และผู้ทรงคุณวุฒิตามที่ ครม.แต่งตั้ง 5 คน เนื่องจากเห็นว่าคณะกรรมการเดิมมากเกินไป และไม่คล่องตัวในการดำเนินการ ทั้งนี้ คาดว่าจะนำร่างไปเสนอต่อ สนช. เพื่อพิจารณาต่อไป รัฐบาลประกาศเดินหน้ากองทุนหมู่บ้านต่อ ผลการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองซึ่งเป็นการประชุมนัดแรกในรัฐบาลชุดนี้นั้น รัฐบาลจะเดินหน้าต่อในนโยบายกองทุนหมู่บ้าน โดยปี 2551 ได้มีการอนุมัติปรับงบประมาณเพิ่มขึ้นในด้านบริการและส่งเสริมการพัฒนาเป็นเงินกว่า 371 ล้านบาท ทั้งนี้เพราะเชื่อในตัวนโยบายนี้ ว่ามีหลักการดีเมื่อเทียบกับนโยบายประชานิยมอื่นๆ ที่เกิดขึ้นจากรัฐบาลที่แล้ว และน่าจะทำประโยชน์ให้ประชาชนได้ แม้ต้องปรับวิธีการทำงานให้มีการจัดการที่ดีขึ้น ส่วนทิศทางของกองทุนหมู่บ้านในยุคใหม่นั้น จะต้องสอดคล้องกับแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยใช้พื้นที่เป็นตัวตั้งของการพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน และกองทุนนี้จะเป็นองค์กรการเงินของชุมชนท้องถิ่นที่มีพลังและบทบาทมากกว่าการจัดการ ซึ่งความคืบหน้าจะจัดให้มีการสัมมนารับฟังความเห็นจากผู้แทนเครือข่ายระดับจังหวัดภาคีพันธมิตรในเดือนมิถุนายนนี้ ก.ยุติธรรมจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์ที่ยากจน กระทรวงยุติธรรมได้จัดตั้งกองทุนยุติธรรมขึ้น เพื่อช่วยเหลือประชาชนยากจนที่ได้รับความเดือดร้อนจากความไร้ประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรม ให้สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม โดยการให้คำแนะนำ ปรึกษาหรือนัดคู่ความมาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้คดีความยุติลงโดยไม่ต้องฟ้องร้องคดีกรณีที่ไม่สามารถยุติข้อพิพาทได้และต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ตลอดจนจัดหาทนายความ หลักทรัพย์ประกันตัว ค่าธรรมเนียมศาล และค่าใช้จ่ายในการตรวจพิสูจน์หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ผู้มีสิทธิได้รับความช่วยเหลือจะต้องเป็นผู้ที่มีแนวโน้มเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น หากคณะกรรมการฯ พิจารณาข้อมูลเบื้องต้นแล้วเห็นว่าอาจจะเป็นผู้กระทำความผิดจริงก็สามารถจะยกคำร้องไม่ช่วยเหลือ ทั้งนี้จะมีการนำเงินของรัฐมาจัดตั้งเป็นกองทุนยุติธรรมในลำดับต่อไป อัยการสั่งไม่ฟ้อง 3 คดี ทักษิณ หมิ่นเบื้องสูง คณะทำงานอัยการมีความเห็นตรงกับพนักงานสอบสวนว่า ไม่ส่งฟ้อง 3 คดีตามที่มีผู้ร้องต่อกองปราบปรามในกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตกเป็นผู้ต้องหาฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ดังนี้ คือ คดีที่ 1 พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถ้อยคำที่ไม่สมควรกับคนขับรถแท็กซี่ ที่อาคารอินดอร์สเตเดี้ยมหัวหมาก เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2548 คดีที่ 2 พ.ต.ท.ทักษิณ พูดในรายการนายกฯ พบประชาชนผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2549 และคดีที่ 3 พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางเข้า กทม. แล้วมีกลุ่มคาราวานคนจนคอยต้อนรับ โดยใช้ธงเฉลิมพระเกียรติ และมีกระดาษข้อความว่า “เรารักทักษิณ” คาดศีรษะ ขั้นตอนต่อไปอัยการจะส่งสำนวนพร้อมความเห็นสั่งให้ไม่ฟ้องให้รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ว่าเห็นด้วยกับอัยการหรือไม่ ซึ่งหากมีความเห็นแย้งก็จะต้องส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดชี้ขาดว่าจะฟ้องหรือไม่ต่อไป