มีนาคม 2550 : สถานการณ์รัฐบาลขิงแก่ เริ่มชัด 9 ประเด็น รัฐธรรมนูญ 2550 โปรดเกล้าฯ รัฐมนตรีใหม่ ฉลองภพ คุมกระทรวงการคลัง เพิร์กจัดอันดับภาพลักษณ์ด้านคอร์รัปชั่นของไทยอยู่รองสุดท้าย จาก 13 ประเทศ เอเชีย ศาลปกครองกลางให้ความคุ้มครองไอทีวี ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็นทีไอทีวี พีทีวีไม่ได้รับเชื่อมต่อสัญญาณดาวเทียม หวั่นม็อบบานปลาย พม.ใช้งบ 517 ล้านช่วยดับไฟใต้ อาทิ ขยายโครงการบ้านมั่นคง ป่วนไม่เลิกโจรใต้ถล่มรถตู้ ตาย 9 ศพ ครม. อนุมัติร่าง พ.ร.บ. ควบคุมเหล้าป้องกันวัยรุ่นเข้าสู่กระบวนการน้ำเมา วิป สนช. ชงแก้ร่าง กม.ธุรกิจต่างด้าวผ่อนปรนเพื่อสร้างบรรยากาศการลงทุน ครม.อนุมัติร่าง กม.การทางพิเศษกำหนดให้ผู้ว่าการอยู่ในตำแหน่งคราวละไม่เกิน 4 ปี โครงสร้างตำรวจใหม่ดูแลสวัสดิภาพของประชาชนและปราบปรามอาชญากรรม ความคืบหน้าการร่างรัฐธรรมนูญ ภายใต้กรอบเรื่องของสิทธิเสรีภาพและการปกครอง ท้องถิ่น กรอบเรื่อง สถาบันการเมือง และกรอบ เรื่ององค์กรอิสระ ที่คล้าย กับรัฐธรรมนูญปี 2540 ขณะนี้ขั้นตอนการร่างรัฐธรรมนูญผ่านมากว่า 2 เดือนใกล้จะครบ 180 วัน แล้ว มีประเด็นสำคัญ ที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชน 9 ประเด็นด้วยกัน คือ 1.นายกฯจะต้องมาจากการเลือกตั้งหรือไม่ 2.ที่มาของ วุฒิสภา 3.ขนาดเขตเลือกตั้ง 4.ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 5.ที่มาของกรรมการองค์กรอิสระ 6.การตรวจสอบภาคประชาชน 7.สิทธิเสรีภาพ 8.คุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส. ต้องจบปริญญาตรีหรือไม่ และ 9.ผู้สมัคร ส.ส.ต้องสังกัดพรรคการเมืองต่อเนื่อง 90 วันก่อนลงสมัครหรือไม่ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องสำคัญต่ออนาคตประชาธิปไตยของประเทศ นอกจากนี้ยังมีเรื่องนิรโทษกรรม การปฏิวัติ หรือรัฐประหาร ที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 29 มี.ค. นายนรนิติ เศรษฐบุตร ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) รายงานต่อนายกรัฐมนตรีว่าร่างแรกจะเสร็จวันที่ 19 เม.ย. และถ้าเสร็จก็ต้องมีกฎหมายลูกอีก 3 ฉบับที่จะต้องออกตามมา โดยจะพยายามให้ร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จ และผ่าน ส.ส.ร.ก่อนวันที่ 6 ก.ค. หลังจากนั้นเรามีเวลาไม่เกิน 30 วัน เพื่อจัดวันประชามติ โปรดเกล้าฯ รัฐมนตรีใหม่ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี ได้แก่นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นรองนายกรัฐมนตรี อีกตำแหน่งหนึ่ง นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายพลเดช ปิ่นประทีป เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายมรกต กรเกษม เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ไทยรองบ๊วย ปท.เอเซียที่มีคอร์รัปชั่นมาก เมื่อวันที่ 13 มีนาคม บริษัทที่ปรึกษาความเสี่ยงด้านการเมืองและเศรษฐกิจ (เพิร์ก) ซึ่งให้บริการการปรึกษาแก่บริษัทเอกชนและรัฐบาลของหลายประเทศได้เผยแพร่ผลสำรวจความคิดเห็นเพื่อจัดอันดับภาพลักษณ์การคอรัปชั่นของประเทศในภูมิภาคเอเชีย 13 ประเทศ ผลปรากฏว่าภาพลักษณ์ด้านคอร์รัปชั่นของไทยร่วงลงไปอยู่ในอันดับรองสุดท้าย โดยฟิลิปปินส์อยู่รั้งท้ายสุด ในขณะที่สิงคโปร์ยังคงเป็นประเทศที่มีภาพลักษณ์ด้านนี้สะอาดที่สุด ทั้งนี้ เพิร์กสำรวจความคิดเห็นจากนักธุรกิจระดับบริหารใน 13 ประเทศ จำนวน 1,475 คน โดยให้คะแนน 0-10 จากการคอร์รัปชั่นน้อยไปสู่มาก แล้วมาหาค่าเฉลี่ย ซึ่งผลสำรวจมีดังนี้ (ตัวเลขในวงเล็บคือ ค่าเฉลี่ยเมื่อปี 2549) 1.สิงคโปร์ 1.20 (1.30) 2.ฮ่องกง 1.87 (3.13) 3.ญี่ปุ่น 2.10 (3.01) 4.มาเก๊า 5.11 (4.78) 5.ไต้หวัน 6.25 (5.91) 6. มาเลเซีย 6.25 (6.13) 7. จีน 6.29 (7.58) 8. เกาหลีใต้ 6.30 (5.44) 9.อินเดีย 6.67 (6.76) 10.เวียดนาม 7.54 (7.91) 11.ไทย 8.03 (7.64) 12.อินโดนีเซีย 8.03 (8.16) 13. ฟิลิปปินส์ 9.40 (7.80) เพิร์กระบุว่าค่าเฉลี่ยของไทยที่ 8.03 คะแนน สูงกว่าเดิมจากปีที่แล้วอยู่ 7364 คะแนน ทำให้ตกลงมาเป็นอันดับที่ 11 เท่ากับอินโดนีเซียแต่แตกกต่างกันตรงที่อินโดนีเซียทำค่าเฉลี่ยได้ดีขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่ไทยค่าเฉลี่ยกลับแย่ลง ทั้งนี้ภาพลักษณ์ของไทยในแง่ของการคอร์รัปชั่นแย่ลง โดยรัฐบาลที่ได้รับการแต่งตั้งจากคณะทหารที่ยึดอำนาจเมื่อปีที่ผ่านมาถูกมองว่าดีกว่ารัฐบาลที่ตนเองโค่นล้มไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และแม้ว่ารัฐบาลชุดนี้ประกาศจะปราบปรามการคอร์รัปชั่น แต่ไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่จะสร้างความมั่นใจได้ว่าพฤติกรรมของคณะผู้ปกครองชุดปัจจุบันจะสะอาดกว่ารัฐบาลชุดที่ผ่านมา ทีไอทีวี สถานีโทรทัศน์ไอทีวี ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ทีไอทีวี” หลังจากที่ศาลปกครองกลางมีมติให้ความคุ้มครอง การออกอากาศเพื่อให้มีความต่อเนื่องหลังจากที่ สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้ยึดคลื่นความถี่มาเป็นของรัฐบาลตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคมก่อนหน้านี้ในวันที่ 6 มีนาคม ไอทีวีไม่ได้ชำระค่าปรับและค่าสัมปทานกว่า1 แสนล้านบาท ตามที่ศาลปกครองได้ตัดสินว่าคำสั่งของอนุญาโตตุลาการเป็นโมฆะ ทั้งนี้บริษัทไอทีวีได้ยื่นขอลดค่าสัมปทานรายปีและปรับสัดส่วนผังรายการ และคณะอนุญาโตตุลาการได้มีคำสั่งตามที่ขอร้อง ม็อบพีทีวี ที่ท้องสนามหลวงเมื่อวันที่ 23 มีนาคม ได้เกิดการปะทะกันระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่เทศกิจ ที่ลุยรื้อถอนเวทีปราศรัยของบรรดาผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม พีทีวี ที่ตั้งขึ้นภายในบริเวณท้องสนามหลวง เพื่อต่อต้านคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) รวมถึงรัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ก่อนหน้านี้กลุ่มแกนนำผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ อาทิ นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายจักรภพ เพ็ญแข นายวีระ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ ได้ยื่นขอเชื่อมต่อสัญญาณดาวเทียมระหว่างบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) กับสถานีโทรทัศน์พีทีวี เพื่อที่จะออกอากาศรายการของพีทีวีผ่านช่องเอ็มวี-1 แต่ไม่ได้รับอนุญาต จึงได้เปิดเวทีเพื่อจัดรายการสดและปราศรัยทางการเมือง ที่ท้องสนามหลวง ทั้งนี้ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม พีทีวี (People's Television ) ยืนยันว่า ได้ดำเนินการทุกอย่างถูกต้อง โปร่งใส และเนื้อหาของรายการไม่มีการสนับสนุนใครทั้งสิ้น พม.ใช้งบ 517 ล้านช่วยดับไฟใต้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เดินหน้าจัดทำ 3 โครงการงบประมาณฯ 517 ล้านบาท สามารถดำเนินการได้ทันทีและคาดว่าทั้ง 3 โครงการจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ 1.ขยายโครงการบ้านมั่นคงในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้เพิ่มเป็น 40 ชุมชน จากเดิมที่มีเพียง 4 ชุมชน ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัย 5,500 ครอบครัว 2.โครงการเครือข่ายประมง โดยจะสนับสนุนและให้ความรู้กับชาวประมงให้ทำประมงอย่างอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อจะสามารถทำประมงได้อย่างยั่งยืน และ 3. แก้ปัญหาที่ดินทำกิน เนื่องจากพื้นที่ทำกินของชาวบ้านหลายครอบครัวยังไม่มีเอกสารสิทธิที่ชัดเจนและบางส่วนยังเป็นพื้นที่ของกรมอุทยานป่าไม้ นอกจากนี้ยังได้เตรียมจัดเวทีสมานฉันท์ 926 เวทีในทุกอำเภอทั่วประเทศ โดยมอบให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด หรือ พมจ. ดำเนินการประสานกับหัวหน้ากลุ่มที่มีปัญหาขัดแย้งแตกแยกทางความคิดในแต่ละพื้นที่ มาร่วมพูดคุยกับวิทยากรผู้เชี่ยวชาญในการสร้างสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในประเทศ โดยการจัดเวทีสมานฉันท์จะช่วยระงับการเข้ามาชุมนุมเคลื่อนไหวของกลุ่มรากหญ้าต่างๆ ไม่ให้เดินทางมายังส่วนกลาง โดยจะเริ่มจัดเวทีสมานฉันท์ตั้งแต่เดือน เมษายน ถึงกรกฎาคมนี้ คาดว่าภายใน 4 เดือน จะช่วยให้เกิดความสมานฉันท์ในสังคมไทยได้ ด้วยมาตรการที่เข้มข้น โจรป่วนใต้ถล่มรถตู้ ตาย 9 ศพ เมื่อวันที่ 14 มีนาคม เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวน ใช้อาวุธสงคราม ยิงถล่มรถตู้โดยสารสายเบตง-หาดใหญ่ บนถนนหมู่ที่ 4 ต.ปะแต อ.ยะหา จ.ยะลา เป็นเหตุให้รถตกจากถนนและคนร้ายได้จ่อยิงศีรษะผู้โยสารทีละคน ทำให้มีผู้เสียชีวิตทันที 8 คน บาดเจ็บ 1 คน แต่ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมา ขณะเดียวกันยังลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ทหารพราน ที่กำลังเข้าไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุ ครม.ผ่าน พ.ร.บ. ควบคุมเหล้า คณะรัฐมนตรี (ค.ร.ม.) มีมติเมื่อวันที่ 13 มีนาคม อนุมัติร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. ..... ซึ่งจะมีสาระสำคัญห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท ทุกสถานที่ตลอดเวลา และห้ามจำหน่ายสุราให้แก่เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี ทั้งนี้ภายหลังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฏีกา (สคก.) ได้ตรวจพิจารณาร่างมาแล้ว จากนี้จะส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ส.น.ช.) พิจารณาต่อไป วัตถุประสงค์การออก พ.ร.บ. ฉบับนี้นั้นจะพยายามป้องกันไม่ให้วัยรุ่นถูกดึงเข้าไปสู่กระบวนการน้ำเมา โดยห้ามจำหน่ายสุราให้แก่เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี และยังครอบคลุมเรื่องอื่น อาทิ การกำหนดสถานที่จัดจำหน่าย การห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท ทุกเวลา ทุกสถานที่ ห้ามลดแลกแจกแถมใด ๆ ทั้งสิ้น รวมถึงห้ามใช้เครื่องหมายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ลานเบียร์ด้วย ยกเว้นการถ่ายทอดสดจากต่างประเทศ เช่น การแข่งขันกอล์ฟ ฟุตบอล วิป สนช. ชงแก้ร่าง กม.ธุรกิจต่างด้าว การประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิป สนช.) ได้เตรียมเสนอวาระให้ที่ประชุม สนช. เห็นชอบแนวทางแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. การประกอบธุกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 เพื่อสร้างบรรยากาศการลงทุนให้กลับมาเหมือนเดิม โดยผ่อนปรนให้แก่บริษัทที่ต่างด้าวถือหุ้นไม่ถึง 50 % แต่โหวตเสียงได้เกินกึ่งหนึ่งสามารถดำเนินธุกรกิจได้ถูกต้องตามกฎหมายไทย ทั้งนี้ต้องมีเงื่อนไขว่าการดำเนินการจะต้องมีเจตนาที่สุจริต หรือไม่กระทำลักษณะการเป็นผู้ถือหุ้นแทนต่างชาติ (นอมินี) และยังจะเสนอเพิ่มโทษให้การถือหุ้นแทนต่างชาติ จากจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท เป็นจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือไม่ปรับไม่เกิน 500,000 บาท ครม.อนุมัติร่าง กม.การทางพิเศษ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2550 เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) พ.ศ. ... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้ยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 290 วันที่ 27 พฤศจิกายน 2515 และแก้ไขเพิ่มเติม 2530 สาระสำคัญของร่างกฎหมายดังกล่าว คือการเพิ่มวงเงินในการกู้ยืมสำหรับกิจการที่ กทพ. จะต้องได้รับความเห็นชอบจาก ครม.ก่อนจึงจะดำเนินการได้ จากเดิม 10 ล้านบาท เป็น 100 ล้านบาท และปรับเพิ่มวงเงินในการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 5 แสนบาท เป็นเกินกว่า 10 ล้านบาท นอกจากนี้ยังเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของ กทพ. ให้สามารถจัดตั้งหรือถือหุ้นในบริษัทจำกัด หรือมหาชน จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจเกี่ยวกับกิจการของ กทพ. ตลอดจนสามารถลงทุนหรือเข้าร่วมกิจการกับบุคลอื่น และสามารถให้สัมปทานในการสร้างหรือขยายทางพิเศษ ต่ออายุสัมปทาน โอนสัมปทาน หรือเพิกถอนสัมปทานรวมถึงสามารถพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของ กทพ. ตามความจำเป็น และยังสามารถทำการค้าและให้บริการต่าง ๆ เกี่ยวกับอุปกรณ์และเครื่องใช้เกี่ยวกับทางพิเศษและกำหนดให้ทรัพย์สินของ กทพ. ไม่อยู่ในความรับผิดชอบแห่งการบังคับคดี นอกจากนี้ยังกำหนดให้ผู้ว่าการอยู่ในตำแหน่งตามสัญญาจ้างคราวละไม่เกิน 4 ปี และไม่เกินสองวาระ จากเดิมที่ผู้ว่าการเป็นพนักงานและไม่มีวาระการดำรงตำแหน่ง ชงโครงสร้างตำรวจส่งนายกฯ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจ จะนำเสนอรายงานปรับโครงสร้างตำรวจต่อนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 31 มีนาคม โดยในรายงานจะแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงการให้บริการประชาชนของสถานีตำรวจทั่วประเทศ โดยจะปรับบทบาทมาเป็นหน่วยงานเพื่อการดูแลสวัสดิภาพของประชาชนและปราบปรามอาชญากรรม และจะตัดโอนภารกิจที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป ทั้งนี้ที่ประชุมอนุกรรมการด้านการปรับปรุงและพัฒนากฎหมายได้เสนอให้เพิ่มค่าตอบแทนพิเศษให้พนักงานสอบสวน 7,700 คน ให้เทียบเท่าพนักงานสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษระดับรองสารวัตร (สว.) ทำงานเกิน 2 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินเพิ่ม 10,000 บาท/เดือน ระดับ สว.ได้เงินเพิ่ม 20,000 บาท รอง ผกก. เพิ่ม 30,000 บาท/เดือน ผกก.เพิ่ม 35,000 บาท/เดือน ในส่วนตำรวจชั้นประทวนจะเปิดเพดานเงินเดือนให้สูงขึ้น จากเดิมเงินเดือนที่จะหยุดที่อายุ 48 ปี ขยายอายุเป็น 59 ปี หรืออาจจะขอให้ปรับเงินเดือนเพิ่ม 15 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้อนุกรรมการด้านพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลแลวิชาชีพตำรวจ มีแนวคิดเพิ่มกำลังพลแต่ไม่เพิ่มอัตรากำลัง จะเสนอให้มีกฎหมายคุ้มครองและรองรับการทำงานของตำรวจบ้านและอาสาสมัครชุมชนกว่า 8,000 คน จะให้ตำรวจชั้นประทวนที่จบระดับปริญญาตรีแข่งขันเป็นหัวหน้าชุดตำรวจชุมชน