มกราคม 2550 : ประเด็นร้อนรัฐธรรมนูญ 2550 ไม่นานเกินรอ รธน. ปี 2550 ขณะนี้ตั้ง กรรมาธิการร่าง แล้ว ครม. อนุมัติร่าง พ.ร.บ. ป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนบัญญัติความผิดไว้ 5 ประการมีโทษทั้งจำทั้งปรับ พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ชู 2 ประเด็น การใช้สิทธิออกเสียงของผู้ถือหุ้นต่างชาติ และการถือหุ้นโดยชาวต่างชาติ ครม. สุรยุทธ์ ยกเลิกมติ ครม. ทักษิณ เรื่องภาษีสรรพสามิต นรม. ตั้งคณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจ เน้น 7 เรื่องเร่งแก้ ร่างกฎหมายส่งเสริม ม.ออกนอกระบบ เสนอให้อธิการบดีและรองฯ ยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. ตรวจสอบก่อนและหลังรับตำแหน่ง แก้ พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยเอกชน เพิ่ม ตั้งกองทุนคงที่ ครม. ตั้งคณะกรรมการสางหนี้เกษตรกร พร้อมตัดหนี้ 10 -50 % ขยายเวลา พ.ร.ก. ฉุกเฉินภาคใต้ 3 เดือนตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม – 19 เมษายน 2550 ครม. อนุมัติเพิ่มสัดส่วนการจ้างงานคนพิการของสถานประกอบการของเอกชน คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพิ่มงบเหมาจ่ายรายหัว 1,899.69 บาท ต่อประชากร กกถ. แบ่งเงินอุดหนุนทั่วไปให้ อปท. จำนวน 62,995.05 ล้านบาท แก้ไข พ.ร.บ. บำเหน็จบำนาญข้าราชการ เน้นสิทธิ์การกู้ ความคืบหน้าการร่าง รธน. เป็นที่จับตามองของทุกฝ่ายว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 จะมีหน้าตาอย่างไร หลังจากที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติได้ทำการคัดเลือกจนได้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) จำนวน 100 คนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีนายนรนิติ เศรษฐบุตร เป็นประธาน ทั้งนี้สภาร่างรัฐธรรมนูญได้ทำการคัดกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน โดยมาจาก ส.ส.ร. จำนวน 25 คน และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เลือกจากผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นหรือไม่ได้เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ มาอีก 10 คน ซึ่งนาวาอากาศตรีประสงค์ สุ่นศิริ ได้รับเลือกให้เป็นประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการ 3 ชุด คือ 1. คณะอนุกรรมาธิการด้านสิทธิเสรีภาพ การมีส่วนร่วมของประชาชนและการกระจายอำนาจ ทำหน้าที่พิจารณาประเด็นเรื่องสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทย หน้าที่ของปวงชนชาวไทยแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐและการกระจายอำนาจ 2. คณะอนุกรรมาธิการด้านสถาบันการเมือง พิจารณาประเด็นที่เกี่ยวกับรัฐสภาคณะรัฐมนตรีความสัมพันธ์ระหว่างข้าราชการกับนักการเมือง คุณธรรม จริยธรรมข้าราชการและนักการเมือง 3. คณะอนุกรรมาธิการด้านองค์กร ตรวจสอบอิสระและศาล พิจารณาประเด็นที่เกี่ยวกับศาลการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ การตรวจเงินแผ่นดินและผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ซึ่งขณะนี้มีผู้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ 2550 กันอย่างกว้างขวาง โดยกรอบเวลายกร่างรอบแรกเสร็จใน 19 เมษายน 2550 เสร็จแล้วส่งให่องค์กรต่าง ๆ และประชาชนดูในเบื้องต้นว่าพอใจหรือไม่ จะต้องแก้ไขในเรื่องใด ครม.ไฟเขียว พ.ร.บ. ป้องกันประโยชน์ทับซ้อน ครม. มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับผลประโยชน์ส่วนรวม พ.ศ. ... ซึ่งบัญญัติความผิดไว้ 5 ประการดังนี้ 1. ความผิดตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 100,101,103 2. การใช้ข้อมูลวงในที่รับรู้จากการปฏิบัติราชการในตำแหน่งหน้าที่เพื่อแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือบุคคลอื่น 3.การใช้ทรัพย์สินของทางราชการหรือหน่วยงานของรัฐเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของตนหรือบุคคลอื่นซึ่งไม่มีสิทธิโดยชอบตามกฎหมาย 4. การริเริ่ม เสนอ หรือจัดทำโครงการของรัฐที่มีเจตนาไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมเพื่อเอื้อประโยชน์แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยมิชอบ 5. การใช้อำนาจหน้าที่ที่ตนมีอยู่ไปมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจโดยอิสระในการใช้อำนาจตามตำแหน่งหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยสุจริต เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นการเฉพาะ โดยร่างกฎหมายฉบับนี้ กำหนดบทลงโทษอาญาผู้กระทำความผิดโดยให้ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 – 10 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 – 400,000 บาท แต่ถ้าผู้กระทำผิดเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะมีบทลงโทษหนักขึ้นโดยให้ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 – 15 ปี และปรับไม่เกิน 80,000 – 600,000 บาท ทั้งนี้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ให้หมายรวมถึงคู่สมรสและญาติของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ นอกจากนี้ยังกำหนดให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 5,000 คน ส.ส. , ส.ว. , หรือสมาชิกของสองสภารวมกันไม่น้อยกว่า 50 คนมีสิทธิเข้าชื่อต่อ ป.ป.ช. ให้มีการไต่สวนเพื่อระงับการดำเนินงานโครงการที่มีพฤติการณ์เชื่อได้ว่ามีการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ด้วย กฎหมายธุรกิจต่างด้าว คณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ความเห็นชอบ พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 โดยแก้ไขใน 2 ประเด็นหลัก คือ กรณีการใช้สิทธิออกเสียงของผู้ถือหุ้นต่างชาติเกิน 50% และการถือหุ้นโดยชาวต่างชาติ รวมทั้งการถือหุ้นแทนโดยคนไทยเกิน 50% กรณีที่ผู้ถือหุ้นต่างชาติมีสิทธิออกเสียงเกิน 50 % นั้น ธุรกิจที่มีบัญชีรายชื่อตามบัญชีแนบท้ายบัญชีที่ 1 คือธุรกิจสงวนสำหรับคนไทย และบัญชีที่ 2 ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติซึ่งรวมถึงธุรกิจสื่อสารและโทรคมนาคมจะต้องแจ้งแก่กรมธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ภายใน 1 ปี และดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องตามกฎหมายภายในเวลา 2 ปี ส่วนธุรกิจตามบัญชีที่ 3 ธุรกิจบริการทั่วไป ให้แจ้งภายใน 90 วัน แล้วสามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติต่อไป ส่วนกรณีต่างชาติรวมทั้งการถือหุ้นแทนโดยคนไทยถือเกิน 50 % นั้น ในบัญชีที่ 1 และ 2 จะต้องแจ้งภายใน 90 วัน และดำเนินการแก้ไขภายใน 1 ปี ส่วนธุรกิจตามบัญชีที่ 3 ธุรกิจบริการทั่วไปให้แจ้งภายใน 90 วัน แล้วสามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติต่อไป ทั้งนี้การแก้ไขกฎหมายที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลจากการร้องเรียนหลังจากเกิดกรณีของบริษัทกุหลาบแก้วและซีดาร์ โฮลดิ้งซึ่งถือหุ้นชินคอร์ปแทนเทมาเส็กทำให้นักธุรกิจชาวต่างชาติที่ทำธุรกิจในไทยมานานเกิดความไม่มั่นใจ และต้องการความชัดเจนจากรัฐบาล เนื่องจากกฎหมายยังขาดความชัดเจน ครม. สุรยุทธ์ ยกเลิกมติ ครม. ทักษิณ เรื่องภาษีสรรพสามิต ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2550 ยกเลิกมติ ครม. พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 28 มกราคม และวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2546 เรื่องการเก็บภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคม ด้วยเหตุผลว่าบริการโทรคมนาคมไม่ใช่สิ่งฟุ่มเฟือยอีกต่อไปจึงไม่เข้าข่ายการเสียภาษีสรรสามิต ดังนั้นจึงทำให้อัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับโทรศัพท์ทั้งสองประเภทเหลือเพียงร้อยละ 0 คือไม่มีการเก็บภาษี แต่ในขณะเดียวกันได้มอบให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฏีกาไปตรวจสอบข้อสัญญาสัมปทานของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทศท จำกัด (มหาชน) ว่ามีความไม่ถูกต้องหรือไม่ เป็นไปตาม พ.ร.บ. ร่วมทุน พ.ศ. 2535หรือไม่ หากเห็นว่าไม่ถูกต้องให้นำเสนอแนะแนวทางที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการ รวมทั้งให้ปรับแก้สัญญาสัมปทานมาให้ด้วย ล่าสุดคณะอนุกรรมการตรวจสอบกรณีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในกรณีกิจการโทรคมนาคมที่มีนายบรรเจิด สิงคนติ และนายแก้วสรร อติโพธิ เป็นผู้รับผิดชอบ ได้เรียกนายสถิต ลิ่มพงษ์พันธุ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง อดีตอธิบดีกรมสรรพสามิต เข้าชี้แจงเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2550 และนายบรรเจิดกล่าวว่านายสถิตได้บอกว่าการเก็บภาษีสรรพสามิตมีฐานความคิดมากจากการแปรสัญญาสัมปทาน โดยมีแนวทางการดำเนินการ 2 แนวทางคือ การหักส่วนแบ่งรายได้เข้าคลัง และการเรียกเก็บภาษีแต่หลังจากคณะกรรมการกฤษฏีกาพิจารณาแล้วปรากฏว่าการดำเนินการภายใต้กฎหมายดังกล่าวระบุถึงการเรียกเก็บภาษีจากเงินค่าสัมปทานเพียงอย่างเดียว ซึ่งเรื่องนี้ได้ถูกซ่อนเอาไว้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา รัฐบาลเร่งพัฒนาระบบงานตำรวจ สืบเนื่องจากการให้ความสำคัญต่อการพัฒนาระบบงานตำรวจ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจ โดยมี พลตำรวจเอก วสิษฐ์ เดชกุญชร เป็นประธานกรรมการ มีหน้าที่ในการดำเนินการปรับปรุงองค์กรตำรวจให้สอดรับกับ สภาพการณ์ในปัจจุบันและแก้ไขปัญหาที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงแนวทางในการพิจารณาเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวว่ามี 7 ประการคือ 1) การเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานของตำรวจ 2) การทำให้องค์กรตำรวจปลอดจากการเมือง 3) การทำให้องค์กรตำรวจมีการกระจายอำนาจการบริหารส่วนกลางให้มากขึ้น 4) การทำให้มีการตรวจสอบถ่วงดุลการดำเนินงาน 5) การทำให้ตำรวจเป็นองค์กรที่มีความเป็นสถาบันและวิชาชีพมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน 6) การทำให้ตำรวจสามารถสัมผัสใกล้ชิดกับประชาชน และเป็นที่ยอมรับของประชาชน และ 7) การทำให้ตำรวจชั้นผู้น้อยซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก ได้รับการดูแลที่ดีพอสมควร จนสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เป้าหมายของการพัฒนาระบบงานตำรวจในครั้งนี้ว่า เพื่อต้องการให้สถาบันตำรวจเป็นองค์กรที่ประชาชนสามารถพึ่งพาได้ เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นภายในองค์กรตำรวจ สรุปร่างกฎหมายส่งเสริม ม.ออกนอกระบบ ความคืบหน้าของร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ซึ่งเป็นร่างกฎหมายกลางของมหาวิทยาลัยนอกระบบราชการ ที่สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) นำเสนอ เพื่อเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. นั้นได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม 2-3 ประเด็น เช่น การกำหนดให้สภามหาวิทยาลัยมีอำนาจในการประเมินการดำเนินงานของผู้บริหารมหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยโดยแจ้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการทราบ และให้อธิการบดีและรองอธิการบดีของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐถือเป็นผู้บริหารระดับสูงตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินให้กับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตรวจสอบก่อนและหลังรับตำแหน่ง ในกรณีของนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ให้มหาวิทยาลัยจัดสรรทุนการศึกษาที่เพียงพอให้ในสัดส่วนต่อค่าธรรมเนียมการศึกษาหรือค่าหน่วยกิตที่มหาวิทยาลัยจัดเก็บได้ในแต่ละปีให้แก่นิสิตนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ แก้ พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยเอกชน ที่ประชุมสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) มีมติเสนอให้ดำเนินการพิจารณาแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ. สถาบันอุดมศึกษาเอกชนในบางประเด็น อาทิ มีมติให้อาจารย์ผู้สอนต้องมีวุฒิปริญญาโท และมีการเสนอให้ผู้ที่จะตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชนต้องตั้งกองทุนคงที่ (Endowment) โดยผู้ที่จะตั้งวิทยาลัยเอกชนต้องใช้เงินจัดตั้งกองทุนดังกล่าว 200-300 ล้านบาท แต่ถ้าตั้งมหาวิทยาลัยต้องใช้เงินตั้งกองทุนประมาณ 1 พันล้านบาท ซึ่งเงินในกองทุนนี้ไม่สามารถนำออกไปใช้ได้ยกเว้นผลกำไร นอกจากนี้รัฐบาลต้องสมทบเงินเข้ากองทุนดังกล่าวเท่ากับจำนวนที่ผู้ก่อตั้งสนับสนุนด้วย ซึ่งรัฐบาลจะได้คืนหากสถาบันดังกล่าวเลิกกิจการ โดยเรื่องดังกล่าวจะนำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ต่อไป ปัดฝุ่นกฎหมายที่ดิน- สิ่งปลูกสร้าง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สคศ.) เตรียมประชุม สรุปร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ... โดยจะขอความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและนำเสนอ ครม. เพื่อผลักดันออกมาบังคับใช้ ทั้งนี้แม้กระทรวงการคลังได้มีการศึกษามานานและมีการผลักดันต่อเนื่องในกฎหมายฉบับดังกล่าว แต่ถึงปัจจุบันก็ยังไม่สามารถประกาศบังคับใช้ได้ ซึ่งร่างกฎหมายฉบับนี้มีความจำเป็นที่จะต้องผลักดันให้มีผลบังคับใช้ เนื่องจากในการแก้ไข พ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ ได้กำหนดว่า รัฐบาลกลางจะต้องหารายได้และงบประมาณอุดหนุนโอนไปให้ท้องถิ่นใช้ในแต่ละปีไม่น้อยกว่า 25% ของรายได้รัฐบาลกลาง โดยไม่จำเป็นที่จะต้องจัดสรรให้ถึง 35 % ของรายได้รัฐแล้ว ดังนั้นท้องถิ่นก็ควรเร่งหารายได้ขึ้นมาทดแทนการจัดสรรส่วนที่ลดลงไป ทั้งนี้ที่ผ่านมาได้มีการศึกษาว่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมจะไม่มีการจัดเก็บภาษีแต่จะจัดเก็บภาษีเฉพาะที่ดินที่ใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชยกรรม ที่อยู่อาศัยเท่านั้นและถ้าเป็นกรณีของที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ปล่อยรกร้างว่างเหล่าจะเก็บภาษีในอัตราหนึ่ง ทั้งนี้จะต้องขึ้นอยู่กับราคาประเมินของที่ดินที่ใช้เป็นฐานราคาที่ใช้ในการคำนวณภาษี โดยขณะนี้จะต้องมีการพิจารณาเพิ่มเติมในเรื่องภาษีว่าจะกำหนดให้จัดเก็บในอัตราเท่าใด และจำเป็นที่จะต้องให้แต่ละองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นผู้กำหนด หรือให้มีอัตราภาษีเดียวทั่วประเทศ ขยายเวลา พ.ร.ก. ฉุกเฉินภาคใต้ 3 เดือน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 มกราคม เห็นชอบให้ขยายเวลาใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 แก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในพื้นที่ จ.ยะลา นราธิวาสและปัตตานี อีก 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม – 19 เมษายน 2550 ทั้งนี้ ครม.ยังอนุมัติเพิ่มอัตรากำลังผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ (ผรส.) ในพื้นที่ จ.ยะลา นราธิวาส ปัตตานี และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ อ.จะนะ อ.เทพา อ.นาทวี และ อ.สะบ้าย้อย จำนวน 1,200 อัตรา ใน 300 หมู่บ้าน โดยให้มี ผรส. หมู่บ้านละ 5 คน จากเดิมหมู่บ้านละ 1 คน เพิ่มสัดส่วนการจ้างงานคนพิการ ครม. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดสัดส่วนการจ้างงานคนพิการของสถาน ประกอบการของเอกชน พ.ศ. ... ตามที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยกฎกระทรวงฉบับใหม่นี้ มีสาระสำคัญคือให้สถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 200 คนขึ้นไปให้รับคนพิการที่ทำงานได้ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใด ในอัตราส่วนลูกจ้างทุก 200 คน ต่อคนพิการ 1 คน เศษของทุก 200 คน ถ้าเกิน 100 คนต้องรับเพิ่มอีก 1 คน โดยต้องรับคนพิการเข้าทำงานภายในวันที่ 30 มกราคม ของแต่ละปี ทั้งนี้คนพิการที่ต้องการทำงานสามารถแจ้งความจำนงได้ที่ สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส คนพิการละผู้สูงอายุ และสถานประกอบการใดไม่ปฏิบัติตามจะต้องส่งเงินเข้ากองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการเป็นรายปีปีละครึ่งหนึ่งของอัตราจ้างขั้นต่ำในท้องที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่คูณด้วย 365 และคูณด้วยจำนวนคนพิการที่ไม่ได้รับเข้าทำงานภายในวันที่ 30 มิถุนายน พม. ของบสวัสดิการสังคม 3 พันล้าน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ (ก.ส.ค.) มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการพัฒนาระบบสวัสดิการสังคมเพื่อชีวิตมั่นคง พ.ศ. 2550 – 2554 ตามแผนยุทธศาสตร์ 5 ปีสร้างสวัสดิการสังคมไทย ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2550 -2554) เน้นการจัดสวัสดิการสังคมเชิงรุกแก่ผู้รับ บริการสวัสดิการสังคม การคุ้มครองสิทธิทางสวัสดิการสังคมแก่ประชาชน การพัฒนางานกลไกและการบูรณาการการจัดสวัสดิการสังคมขององค์กรภาครัฐ เอกชนและชุมชน รวมทั้งพัฒนาระบบการเงิยการคลังและกฎหมายเพื่อสนับสนุนงานสวัสดิการสังคม โดยขอรับงบประมาณเพื่อการสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการผ่านระบบกองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมจำนวน 3,000 ล้านบาทต่อปี งบเหมาจ่ายรายหัว คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีมติจัดสรรงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวในปี 2550 จำนวน 1,899.69 บาท ต่อหัว โดยมีแนวทางการบริหารงบเหมาจ่ายรายหัวที่เพิ่มขึ้นมา 2 ส่วน คือ 1. สำหรับรายการใหม่และนโยบายใหม่ 71.51 บาท 2. จัดสรรตามสัดส่วนโครงสร้างงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวในส่วนของรายการใหม่และนโยบายใหม่ โดยให้พื้นที่กันดาร เสี่ยงภัยและมีประชากรเบาบาง จาก 7 บาทต่อหัวเป็น 30 บาทต่อหัว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น1,381.98 ล้านบาท และสำหรับการพัฒนาคุณภาพบริการจัดสรรให้ 20 บาทต่อหัวทั้งนี้จะสนับสนุนให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แบ่งเงินอุดหนุนทั่วไปให้ อปท. 62,995.05 ล้านบาท ที่ประชุมคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) พิจารณาหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 แล้วมีมติเห็นชอบการแบ่งเงินอุดหนุนทั่วไป จำนวน 62,995.05 ล้านบาท ให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ร้อยละ 10 เป็นเงิน 6,299.50 ล้านบาท เทศบาล ร้อยละ 39 เป็นเงิน 24,569.63 ล้านบาท และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ร้อยละ 51 เป็นเงิน 32,125.92 ล้านบาท สำหรับหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ที่ประชุมเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อศึกษาแนวทางการจัดสรรรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยทบทวนแนวทางการจัดสรรรายได้ให้แก่ อปท. เพื่อให้เกิดความเหมาะสม เป็นธรรม และสอดคล้องกับภารกิจของ อปท. มากขึ้น แล้วนำเสนอรองนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ตั้งคณะกรรมการสะสางหนี้เกษตรกร ครม. เห็นชอบให้สถาบันการเงินชะลอการฟ้องยึดหลักทรัพย์ค้ำประกันหนี้สินของเกษตรกร และการขายทอดตลาด โดยกระทรวงเกษตรฯได้มอบหมายให้เกษตรตำบล เป็นคนกลางในการเจรจาระหว่างเกษตรกรกับเจ้าหนี้ โดยให้ดูแลเป็นรายบุคคล ทั้งนี้เกษตรกรที่มีมูลค่าหนี้ไม่เกิน 1 ล้านบาทจะได้รับการแก้ไขก่อน และในกรณีที่เกษตรกรเป็นหนี้กับธนาคารทางธนาคารพร้อมตัดหนี้ให้ 50% ของมูลหนี้เดิมส่วนหนี้เกิน 1 ล้านบาท ธนาคารเจ้าหนี้จะตัดดอกเบี้ยให้ 10% ของมูลค่าหนี้ ทั้งนี้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการ 3 ชุดขึ้นมาดูแล โดยให้มีการจัดตั้ง คณะกรรมการอำนวยการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกร เพื่อจะดำเนินการรองรับมติ ครม. 3 ข้อ เกี่ยวกับการเร่งแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกร โดยจะเป็นคณะกรรมการระดับประเทศ ซึ่งมีหน่วยงาน 3 – 4 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย เข้ามาดำเนินการร่วมกัน แก้ไขพ.ร.บ. บำเน็จบำนาญข้าราชการ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ที่คณะรัฐมนตรีชุดก่อนได้มีมติอนุมัติหลักการและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป ซึ่ง พ.ร.บ. ทั้งสองฉบับนี้ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมให้สอดคล้องกัน อาทิ ผู้รับบำนาญปกติหรือผู้รับบำนาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพมีสิทธินำสิทธิในบำเหน็จตกทอดไปเป็นหลักทรัพย์ในการประกันการกู้เงินกับสถาบันการเงินได้ กำหนดให้ผู้รับบำนาญปกติหรือผู้รับ บำนาญพิเศษเพราะทุพพลภาพ ซึ่งได้นำสิทธิในบำเหน็จตกทอดไปเป็นหลักทรัพย์ในการประกันการกู้เงินถึงแก่ความตาย หรือผิดสัญญากู้เงินจนต้องบังคับเอากับสิทธิในบำเหน็จตกทอดที่เป็นหลักทรัพย์ ให้กระทรวงการคลังจ่ายเงินแก่สถาบันการเงินเท่ากับจำนวนที่ถูกบังคับ แต่ไม่เกินจำนวนที่นำสิทธิใน บำเหน็จตกทอดไปเป็นหลักทรัพย์ในการประกันการกู้เงิน