สิงหาคม 2549 : ปชป. ชูวาระประชาชน หาเสียงเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ชูวาระประชาชนเป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง ในขณะที่วุฒิสภาเตรียมเลือก ป.ป.ช. และ กกต. ชุดใหม่ โดยให้ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็น กกต. 10 คน ได้แสดงวิสัยทัศน์ในหัวข้อการบริหารจัดการเลือกตั้งและการวินิจฉัยให้ใบแดง-ใบเหลืองเป็นเวลาคนละ 15 นาที รักษาการนายกรัฐมนตรีสั่งปลด พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี พ้น กอ.รมน. ฟ้าผ่า หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมนายทหารช่วยราชการ กอ.รมน. ในข้อหาหมายลอบสังหารนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วยวิธีการคาร์บอม รมว.สาธารณสุข พินิจ จารุสมบัติ ประกาศเว้นวรรคไม่รับตำแหน่งใดๆ ทางการเมืองหลังเลือกตั้ง แต่จะทำหน้าที่ ส.ส. ธรรมดาเท่านั้น ในขณะที่ กกต. อนุญาตให้ใช้ระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ในการหาเสียงได้ พล.อ.เปรม เดินทางลงใต้พบผู้นำศาสนาอิสลาม นักวิจัย ม.สงขลานครินทร์พบผลกระทบความรุนแรงทำให้คน 3 จังหวัดอพยพย้ายถิ่นไปสงขลา-หาดใหญ่มากที่สุด ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ได้เกิดระเบิดพร้อมกันในเวลาประมาณ 11.00 น. ที่ธนาคารพาณิชย์กว่า 20 สาขาในหลายอำเภอในจังหวัดยะลา และศาลอาญาพิพากษาจำคุก 12 จำเลยที่ละเมิดอำนาจศาลหลังฟังการตัดสินจำคุก 3 อดีต กกต. ยุทธศาสตร์- นโยบายพรรคการเมือง พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ได้ประกาศวาระประชาชนภายใต้สโลแกน “ประชาชนต้องมาก่อน” เป็นนโยบายพรรคในด้านต่างๆ ว่า ภารกิจที่สำคัญในขณะนี้คือการกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศที่เป็นทิศทางใหม่ เพราะบ้านเมืองประสบวิกฤตหลายด้าน เกิดจากในช่วง 4-5 ปี รัฐบาลใช้นโยบายและตั้งโจทย์ผิด ไม่ได้เอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ แต่มีผลประโยชน์ทับซ้อน จนบริหารนำพาประเทศและประชาชนถลำลึกเข้าสู่วิกฤตทั้งด้านจริยธรรม ด้านความสามัคคี ด้านค่าครองชีพ ด้านการปราบปรามคอร์รัปชั่น และด้านสังคม ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์ต้องมีวาระให้ประชาชนทำให้เศรษฐกิจมีคุณภาพ สังคมมีคุณธรรม การขับเคลื่อนต้องเริ่มตั้งแต่ผู้นำและรัฐบาลต้องมีคุณธรรม จริยธรรม บริหารแนวทางใหม่ ยึดความซื่อสัตย์สุจริต รวดเร็ว รอบคอบ กล้าตัดสินใจ พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย นายอภิสิทธิ์ ยังให้คำมั่นว่า หลังเลือกตั้งจะมีวาระประชาชนทางด้านปฏิรูปทางการเมือง วาระประชาชนด้านการศึกษาจะให้ค่าเล่าเรียน หนังสือแบบเรียน นมและอาหารเสริมเด็กก่อนวัยเรียน และมีอนุบาลเด็กเล็กใกล้บ้านฟรี วาระประชาชนด้านสุขภาพ รักษาฟรี ไม่ต้องเสีย 30 บาท และจะขยายกองทุนประกันสังคมครอบคลุมไปถึงคนในครอบครัว วาระประชาชนแก้ไขความยากจน เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ลดราคาน้ำมัน ก๊าซหุงต้มและค่าไฟฟ้า จัดตั้งกองทุนเศรษฐกิจพอเพียงในระดับหมู่บ้าน เข้าไปช่วยเหลือประชาชนระดับรากหญ้าในการแก้ปัญหาหนี้สินภายใต้โครงการหมอหนี้ ด้วยการอบรมอาสาสมัครให้มีความรู้ความสามารถเรื่องรายรับรายจ่ายและหนี้สินของครัวเรือน จากนั้นจึงเข้าไปให้คำปรึกษาประชาชนในการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้กับเจ้าหน้าที่รายต่างๆ ส่วนแนวนโยบายในการแก้ไขปัญหาการคอร์รัปชั่นนั้น จะยังมีการเพิ่มกลไกการจัดการขั้นเด็ดขาดกับนักการเมืองทุจริต ซึ่งทางพรรคจะติดตามเรื่องโครงการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ การไม่จ่ายภาษีการขายหุ้น 7.3 หมื่นล้านบาทของบริษัทชินคอร์ป ในการแก้ไขปัญหาภาคใต้ ทางพรรคมีนโยบายใต้สันติ หัวใจสำคัญคือต้องไม่มีการใช้อำนาจ ไม่มีการอุ้มฆ่า และจะปรับโครงสร้างการบริหารจัดการให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในรูปแบบ ศอบต. แต่ต้องเพิ่มภาระบางอย่างเข้าไป เพราะสถานการณ์รุนแรงขึ้น นอกจากนี้พรรคมองว่าในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีโอกาสมากถึงขนาดที่จะเป็นศูนย์อิสลามศึกษานานาชาติได้ พร้อมกับจะให้มีศูนย์วัฒนธรรมที่ปัตตานี เพื่อแสดงให้เห็นว่าความหลากหลายของวัฒนธรรมเป็นจุดแข็ง ไม่ใช่สิ่งที่ต้องกลัว ต่อมาในวันที่ 27 สิงหาคม พรรคประชาธิปัตย์ได้เปิดนโยบายวาระประชาชนด้านขนส่งมวลชนในแนวคิด “รถไฟฟ้าประชาธิปัตย์” คือ นโยบายสำหรับคน กทม. คือ จะจัดเก็บค่าโดยสารที่เป็นธรรม ยกเลิกการเก็บค่าโดยสารซ้ำซ้อน จะเร่งลงทุนก่อสร้างเส้นทางขนส่งมวลชน 7 สาย จำนวน 139 กิโลเมตร ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 265,150 ล้านบาท เชื่อมต่อกันเป็นวงแหวน มีขาต่อไปยังทิศต่างๆ เพื่อขนส่งคนให้ได้มากที่สุด ทำให้แก้ปัญหาจราจรใน กทม. และประหยัดพลังงาน และเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม นายอภิสิทธิ์ พร้อมแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ก้ได้แถลงวาระประชาชนเรื่องการปฏิรูปการเมืองและปฏิรูปสื่อ มีใจความว่า พรรคมีเป้าหมายในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อ 1. ฟื้นฟูความเข้มแข็งของระบบตรวจสอบถ่วงดุล ไม่ใช่รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งและจะสามารถทำตามอำเภอใจ เอาอำนาจประชาชนมาแสวงหาประโยชน์ตัวเองและพวกพ้อง ไม่คำนึงถึงหลักนิติธรรมกระบวนการยุติธรรม 2. เพิ่มความแข็งให้การเมืองภาคประชาชน ไม่ใช่แค่การออกไปเลือกตั้งหรือชุมนุม แต่ต้องมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย และ 3. ปฏิรูปคุณธรรมจริยธรรมนักการเมือง เพื่อไม่ให้การปฏิรูปการเมืองล้มเหลวเหมือนครั้งที่ผ่านมา หลังการเลือกตั้งสิ่งแรกที่จะทำคือแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 313 เพื่อให้สามารถตั้งคณะกรรมการพิเศษที่เป็นคนกลางมีจำนวน 30-50 คน มาจากนักวิชาการสาขารัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ตัวแทนฝ่ายตุลาการ และตัวแทนภาคประชาชน เพื่อแก้รัฐธรรมนูญในหลายประเด็นยกเว้นหมวด 1 บททั่วไป และหมวด 2 อาทิเช่น 1. ให้การเสนอญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีสามารถกระทำได้โดยใช้เสียง ส.ส. 1 ใน 10 2. จะแก้ไขมาตรา 209 ที่กำหนดให้รัฐมนตรีไม่สามารถถือหุ้นเกินสัดส่วนที่กฎหมายกำหนด ให้ครอบคลุมถึงภรรยาและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เพื่อป้องกันการเอาผลประโยชน์ทับซ้อนและการทุจริตเชิงนโยบาย 3. การบริจาคเงินให้พรรคการเมือง จะจำกัดให้นิติบุคคลบริจาคได้ไม่เกินปีละ 10 ล้านบาท เพื่อป้องกันไม่ให้พรรคการเมืองอยู่ใต้การครอบงำของกลุ่มอิทธิพล 4. ให้รัฐมนตรีต้องเปิดเผยผลประโยชน์ทางธุรกิจ การปฏิรูปสื่อ 4 ด้าน คือ 1. สร้างหลักประกันในการทำหน้าที่ของสื่อในทางกฎหมาย 2. สร้างโอกาสในการเป็นเจ้าของสื่อ 3. ส่งเสริมคุณภาพสื่อ 4. จัดทำสื่อรัฐเพื่อประโยชน์สาธารณะและสื่อชุมชน สำหรับไทยรักไทย ในชั้นแรกได้ประกาศยุทธศาสตร์การหาเสียงว่า จะให้แกนนำพรรคที่อยู่ในระบบปาร์ตี้ลิสต์ซึ่งจะมีตัวแทนจากทุกภาคกระจายไปช่วยหาเสียงทั่วประเทศ คล้ายกับแนวทางจากเมืองกรุงสู่ชนบท และต่อมาก็แถลงว่าจะใช้นโยบายหลักสำหรับคน กทม. คือกำหนดให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าเป็น 15 บาทตลอดทั้งสาย โดยจะสร้างให้ครบวงจรครอบคลุมทั้ง กทม. เป็นระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตร ด้านพรรคมหาชนได้แถลงนโยบายว่ามี 3 ด้าน คือ 1. ปฏิรูปสังคม จะสร้างหลักประกันสังคมในด้านต่างๆ เช่น การศึกษา ให้เรียนฟรี 12 ปี สร้างมาตรฐานการศึกษาให้เท่ากันทั่วประเทศ กระจายอำนาจการบริหารการศึกษา โดยไม่ถ่ายโอนสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การประกันสุขภาพ จะให้รักษาฟรีโดยยึดหลักคนจนรักษาฟรี คนมีแบ่งเบาภาระ สร้างมาตรฐานการรักษาให้เท่าเทียมกันทั่วประเทศ การมีส่วนร่วมของประชาชน จะให้หลักประกันในสิทธิตามรัฐธรรมนูญอย่างเต็มที่ 2. ปฏิรูประบบเศรษฐกิจ โดยส่งเสริมและสร้างจิตสำนึกเศรษฐกิจพอเพียง การใช้จ่ายอย่างประหยัด การสร้างมาตรฐานประหยัดพลังงานที่ปฏิบัติได้ ปฏิรูประบบภาษีให้มีความเป็นธรรมและลงโทษผู้จงใจเลี่ยงภาษี ปลดหนี้ที่รัฐสร้างให้ประชาชน 3. ปฏิรูปการเมือง จะแก้รัฐธรรมนูญให้เสร็จใน 18 เดือน นายกรัฐมนตรีต้องได้รับการตรวจสอบ สร้างองค์กรอิสระที่ปราศจากการเมือง เพิ่มโทษกรณีทุจริตคอร์รัปชั่น ให้ลงโทษนักการเมืองได้โดยไม่มีอายุความ ส่วนพรรคชาติไทยประกาศว่าจะชูนโยบายเร่งด่วน คือ การปฏิรูปการเมือง โดยแบ่งเป็น 2 ภาค คือ 1. นโยบายภาคเมือง เกี่ยวข้องกับสังคม สิทธิเสรีภาพ ความเป็นธรรม และการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี ไม่มีคอร์รัปชั่น รวมทั้งสวัสดิการด้านการศึกษาและสาธารณสุข 2. นโยบายภาคชนบท จะเน้นย้ำความจำเป็นพื้นฐาน เช่น การเพิ่มรายได้ด้านการเกษตร ถนน น้ำ ไฟฟ้า ประปา ซึ่งนโยบายทั้งสองภาคนี้จะสนองความต้องการที่แท้จริงของสังคมแบบไทยได้ และยังมีนโยบายเร่งด่วนในการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 4 ด้าน คือ 1. ด้านสังคม จะให้มีระบบอุทธรณ์ฉุกเฉินเพื่อความเป็นธรรม 2. ด้านการเมืองการปกครอง จะจัดตั้งศูนย์บริหารราชการแบบครบวงจรจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศบคต.) 3. ด้านเศรษฐกิจ จะพัฒนาแรงงานชายแดนใต้ไปสู่โลกมุสลิม 4. นโยบายบูรณาการด้านการศึกษาและวัฒนธรรม ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่เพิ่มเติมก่อน วุฒิเตรียมเลือก ป.ป.ช. และ กกต. ใหม่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการเปิดสภาสมัยวิสามัญ เพื่อแต่งตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติและความประพฤติของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แทนตำแหน่งที่ว่าง และเลือกกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ที่ประชุมวุฒิสภาได้มีมติตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญ 22 คน ขึ้นมาทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติและความประพฤติของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อดังกล่าว ก่อนหน้านั้น ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาซึ่งประกอบด้วยผู้พิพากษา 83 คน ได้ส่งรายชื่อผู้สมัคร กกต. ที่ผ่านการคัดเลือกแล้ว 10 คน ให้แก่วุฒิสภา คือ 1. นายวิชา มหาคุณ ประธานแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลฎีกา 2. นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานแผนกคดีแรงงานในศาลฎีกา 3. นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา 4. นายอุดม เฟื่องฟุ้ง ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอาญากรุงเทพใต้ 5. นายสมชัย จึงประเสริฐ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา 6. นายประพันธ์ นัยโกวิท รองอัยการสูงสุด 7. นายแก้วสรร อติโพธิ อดีต ส.ว. 8. นายสุเมธ อุปนิสากร ผู้พิพากษาอาวุโส 9. นางสดศรี สัตยธรรม ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา 10. นายนาม ยิ้มแย้ม อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และประธานอนุกรรมการพิจารณาคัดค้านการเลือกตั้ง วุฒิสภาจะลงคะแนนเลือก กกต. จำนวน 5 คนจากรายชื่อทั้งหมดนี้ โดยผู้ได้รับการสรรหาจะต้องแสดงวิสัยทัศน์และตอบคำถามของคณะกรรมาธิการ ต้องรับการตรวจสอบทรัพย์สินและความเป็นกลางทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมวุฒิสภาได้มีปัญหาเกี่ยวกับคุณสมบัติเทียบเท่าอธิบดีของผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็น ป.ป.ช. 5 คน จึงได้ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความให้กระจ่างชัดก่อนที่จะทำการลงคะแนน วิสัยทัศน์ว่าที่ กกต. ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็น กกต. 10 คน ได้แสดงวิสัยทัศน์ในหัวข้อการบริหารจัดการเลือกตั้งและการวินิจฉัยให้ใบแดง-ใบเหลือง แก่วุฒิสภาเป็นเวลาคนละ 15 นาที สรุปได้ดังนี้ นายวิชา มหาคุณ กล่าวว่า วิกฤตการเลือกตั้งเกิดจากการขาดความร่วมมือจากพื้นที่ ขาดความเข้าใจในชุมชน การหาข่าวเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากจะต้องมีการประชุมเชิงปฏิบัติการกับ กกต.จังหวัด และ กกต.เขต ต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยเชื่อมโยงกับธนาคารเพื่อหาข้อมูลทุจริต ต้องแก้ไขปัญหาการบริหารภายใน กกต. การให้ใบแดง-ใบเหลืองจะต้องมีข้อมูลหนาแน่นชัดเจน นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ กล่าวว่า การทำงานต้องไม่มีคำว่าบุญคุณต้องทดแทน เพราะตนเองเบื่อหน่ายการทำงานแบบองค์กรเดียวสองมาตรฐาน โดยตนเองจะดูที่เจตนาเป็นหลัก นายอภิชาต สุขัคคานนท์ กล่าวว่า จะพยายามให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 15 ตุลาคมให้ได้ เพราะบ้านเมืองเสียหายมามากแล้ว การบริหารจัดการต้องดูรายละเอียดทุกขั้นตอน อยากให้ กกต.จังหวัดเป็นกลาง ไม่มีอำนาจใดบีบบังคับได้ ผู้พิพากษาอาวุโสหรือผู้พิพากษาสมทบคือบุคคลเหมาะสมจะเป็น กตต.จังหวัด และ กกต.เขต แต่อย่างไรก็ตามเวลาเหลือไม่มาก คงต้องใช้ชุดเดิมไปก่อน นายอุดม เฟื่องฟุ้ง กล่าวว่า การจัดการเลือกตั้งต้องบริสุทธิ์ยุติธรรม ทุกคนอยู่ภายใต้กติกาที่เสมอภาค การให้ใบแดงใบเหลืองหากมีหลักฐานเชื่อถือได้ก็จัดการได้ ไม่เหมือนคดีแพ่งหรืออาญา นายสมชัย จึงประเสริฐ กล่าวว่า จะเข้าไปแก้ไขเฉพาะจุดที่ไม่ดี ส่วนการให้ใบแดง-ใบเหลืองต้องรวดเร็ว แต่ขึ้นกับพยานหลักฐาน นายประพันธ์ นัยโกวิท เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ กกต. กว่า 2 พันคนคงเป็นคนดี แต่อาจมีบ้างที่สมคบกับคนบางกลุ่ม เชื่อว่าคงจะน้อมนำกระแสพระราชดำรัสมาปรับตัวใหม่ นายแก้วสรร อติโพธิ กล่าวว่า การเลือกตั้งต้องเริ่มจากความเสมอภาค เลิกใช้อำนาจรัฐเอาเปรียบ ไม่ใช้เงินหลวงในการทำสปอต ถ้าใครทำต้องเจอใบแดงกลางอากาศตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง ปัญหาโกงคะแนนต้องสั่งเลือกตั้งใหม่ทันที นายสุเมธ อุปนิสากร กล่าวว่า การให้ใบแดง-ใบเหลืองไม่เหมือนการตัดสินของศาล ถ้ามีหลักฐานควรเชื่อได้ มีพฤติกรรมเชื่อได้ว่า หรือรู้เห็นเป็นใจ รู้แล้วไม่ห้าม ก็ถือว่าเป็นใบแดง ส่วนใบเหลืองคือผู้อื่นทำอย่างไรว่าส่อให้เห็นว่าเลือกตั้งไม่สุจริต แต่ไม่ใช่การกระทำของผู้สมัคร นางสดศรี สัตยธรรม กล่าวว่า ต้องดูแลในส่วนไอที การนับคะแนนควรมีทีวีวงจรปิดถ่ายทอด และควรมีมาตรฐานความผิดชัดเจนในเรื่องการให้ใบแดง-ใบเหลือง นายนาม ยิ้มแย้ม กล่าวว่า กกต.ต้องไม่มีอคติ ต้องใช้หลักอิทธิบาท 4 ในการปฏิบัติการ การให้ใบแดง-ใบเหลืองเป็นการใช้ระบบไต่สวน ไม่ใช่ระบบกล่าวหา เพียงร้องเรียนก็จะไต่สวนพยานของทั้ง 2 ฝ่าย ไม่มีมูลก็ยกเลิกไป แผนสังหารนายกรัฐมนตรี เมื่อวันพฤหัสที่ 24 สิงหาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุม ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ สังกัดกองบัญชาการกองทัพบก ช่วยราชการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน หรือ กอ.รมน. กองบัญชาการทหารสูงสุด ในช่วงเวลาเช้าประมาณ 08.40 น. ในรถยนต์ที่บรรทุกระเบิดซีโฟร์และทีเอ็นทีที่จอดบริเวณสะพานลอยข้ามแยกบางพลัด ฝั่งธนบุรี ในข้อหาหมายลอบสังหารนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จากนั้นในตอนบ่าย นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งปลด พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี รอง ผอ.กอ.รมน. โดยไม่ได้ให้เหตุผลว่าเกี่ยวโยงกับเรื่องการจับกุมในตอนเช้าหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามในเรื่องการลอบสังหารนี้ประชาชนทั่วไปมีความเห็นแตกเป็น 2 ฝ่าย คือ พวกแรกเชื่อว่าเป็นความจริง เพราะก่อนหน้านั้นแกนนำพรรคไทยรักไทยอ้างว่ารู้มาล่วงหน้าแล้ว 2 สัปดาห์ ในขณะที่ฝ่ายหลังคิดว่าเป็นการจัดฉาก เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจสื่อมวลชนจากกรณีที่มีการปะทะกันระหว่างฝ่ายต่อต้านและฝ่ายสนับสนุนนายกรัฐมนตรีถึง 3 วันติดต่อกัน จนทำให้ในวันสุดท้าย มีประชาชนฝ่ายต่อต้านถูกรุมทำร้าย ก่อนหน้านี้ ในวันที่ 19 สิงหาคม นายกรัฐมนตรีได้ไปในงานเปิดตัวหนังสือที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน และถูกตะโกนไล่ทำให้เกิดการปะทะกันระหว่างม็อบต่อต้านกับทีม รปภ. นายกฯ และม็อบสนับสนุน เป็นเหตุให้ผู้ที่ตะโกนไล่นายกฯ ถูกชกปากแตก ต่อมาในวันที่ 20 สิงหาคม เกิดเหตุกระทบกระทั่งกันระหว่างกลุ่มผู้ต่อต้านกับสนับสนุนอีกครั้งที่มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม และในวันที่ 21 ก็เกิดเหตุอีกครั้งเมื่อนายกฯ ไปเปิดงานทีเคพาร์คที่อาคารเซ็นทรัลเวิลด์ ในขณะที่รถยนต์ของนายกฯ กำลังจะแล่นออกไป มีชายสูงอายุตะโกนไล่ทำให้เกิดเหตุการณ์ชุลมุน และชายคนดังกล่าวพร้อมผู้ต่อต้านอีก 2 คน รวมทั้งผู้หญิงด้วยได้ถูกทำร้ายบาดเจ็บต้องนำส่งโรงพยาบาล 2 รมต. เว้นวรรค นายพินิจ จารุสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า หลังการเลือกตั้งครั้งต่อไปซึ่งตนจะลงสมัครในแบบระบบบัญชีรายชื่อนั้น จะขอไม่รับตำแหน่งใดๆ ทางการเมือง ไม่ขอเป็นรัฐมนตรี แต่จะทำหน้าที่ ส.ส. ธรรมดาเท่านั้น ทั้งนี้เพราะได้ดำรงตำแหน่งต่างๆ มากว่าสิบปีแล้ว สมควรให้คนรุ่นใหม่ทำหน้าที่บ้าง แต่ในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่สมาชิกพรรคไทยรักไทยส่วนหนึ่งได้ขอร้อง นายพินิจ ก็รับปากว่าจะทำงานการเมืองต่อไปโดยไม่เว้นวรรคตามที่ได้พูดไปแล้ว เช่นเดียวกันก็มีข่าวว่านายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ก็จะขอเว้นวรรคทางการเมือง โดยจะไปทำหน้าที่อาจารย์ในมหาวิทยาลัย ก่อนหน้านี้ได้มีรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลทักษิณ ลาออกมาแล้ว คือ นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี และนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตเลขาธิการ ครม. ซึ่งบุคคลทั้งสองเคยได้ชื่อว่าเป็นยอดนักกฎหมายประจำรัฐบาลทักษิณ และต่างก็ลาออกไปสอนหนังสืออย่างเก่า โดยนายบวรศักดิ์ ได้ลาออกและไปบวชเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนจึงสึกออกมา แต่สำหรับรักษาการนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีผู้เรียกร้องให้เว้นวรรคทางการเมืองนั้น ได้ประกาศว่าจะลงเลือกตั้งในระบบปาร์ตี้ลิสต์อันดับหนึ่งแน่นอน แต่ในเรื่องการรับตำแหน่งทางการเมืองนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจและหากตัดสินใจเมื่อใดจะแจ้งให้ทราบ วิดีโอคอนเฟอเรนซ์หาเสียง นายประวิง คชาชีวะ รองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารการเลือกตั้ง กล่าวว่า กกต. อนุญาตให้ใช้ระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ในการหาเสียงได้ แต่ต้องไม่ใช้ของทางราชการ และต้องนอกเวลาราชการ พล.อ.เปรม พบผู้นำศาสนาใต้ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พร้อมองคมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ลงพื้นที่ชายแดนภาคใต้ในวันที่ 14 สิงหาคม พบผู้นำศาสนาจาก 5 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และสตูล ร่วมหารือนำสันติสุขมาสู่ภาคใต้และมอบเงินสนับสนุนกิจกรรมด้านการศึกษาแก่เยาวชนและโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เพื่อให้มีความรู้ด้านการศึกษาอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ด้าน พล.ท.องค์กร ทองประสม แม่ทัพภาคที่ 4 ได้กล่าวในการอภิปรายทางวิชาการเรื่อง “ไฟใต้ร้อนระอุ” ทำอย่างไรจึงดับ ว่า ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ปล้นกองพันพัฒนาที่ 4 อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส แต่เป็นเหตุที่เกิดขึ้นมาหลายชั่วอายุคน ซึ่งความคิด ความเชื่อ และอุดมการณ์ของคนเรื่องการปกครองตนเองในอดีตยังไม่เปลี่ยนแปลง ประกอบกับการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ที่ไม่ทำตามหน้าที่ของตัวเอง ไม่มีความเข้าใจในวัฒนธรรม วิถีชีวิตของคนในพื้นที่ซึ่งส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ทำให้เกิดการละเลย อีกทั้งในอดีตมีการส่งเจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่ดีหรือคนไม่ดีลงไปประจำในพื้นที่ รวมทั้งมีปัญหาแทรกซ้อนจากปัญหายาเสพติด เรื่องผลประโยชน์ สิ่งผิดกฎหมาย และความขัดแย้งของการเมืองท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีความเชื่อมโยงกับขบวนการในต่างประเทศ สิ่งเหล่านี้คือเงื่อนไขที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้น พล.ท.องค์กร กล่าวด้วยว่า แนวโน้มสถานการณ์ความรุนแรงจะยังมีอยู่ เพราะได้มีการปล่อยให้ผู้ก่อความไม่สงบมีเวลาตั้งหลักจัดขบวนการนานพอสมควร จากการที่มีการยุบเลิกหน่วยและถอนกำลังออกไป อย่างไรก็ตาม การทำงานในช่วงปี 2549 ความร่วมมือของ 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายปกครอง ตำรวจ ทหาร มีความคืบหน้าสามารถจับกุมผู้กระทำผิดและได้รับทราบเครือข่ายของขบวนการที่โยงใยกันอยู่ ขณะเดียวกันได้รับข้อมูลข่าวสารจากประชาชนในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น สามารถตรวจจับอาวุธจนได้อาวุธของกองพันพัฒนาที 4 ที่ถูกปล้นไปคืนมา 24 กระบอก ขณะนี้กำลังที่อยู่ในพื้นที่ยังไม่เพียงพอ จึงจะรับสมัครทหารพรานซึ่งเป็นคนในพื้นที่เพิ่มเพื่อให้ดูแลพื้นที่เอง ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด 14 จังหวัดภาคใต้ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า ตามที่ได้แนะนำให้รัฐบาลแก้ปัญหาใน 3 จังหวัดโดยคำนึงถึงวัฒนธรรม ประเพณี ตามหลักการศาสนาอิสลามเป็นสำคัญนั้น สมาพันธ์ฯ จะร่วมมือกับจุฬาราชมนตรี เพื่อความเป็นเอกภาพขององค์กรตลอดจนถึงสังคมโดยรวม สนับสนุนข้อสรุปของคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) นางจิราพร บุนนาค รองเลขาธิการ สมช. กล่าวว่า รัฐต้องให้ความสำคัญกับการจัดระบบทางการศึกษาโดยคำนึงถึงความต้องการ วิถีชีวิตของคนในพื้นที่ โดยควรให้มีการเรียนสองภาษาในระดับตาฎีกาและปอเนาะ ส่วนแนวทางในการแก้ไขปัญหาจะต้องมีแนวคิดเชิงยุทธศาสตร์กับการปฏิบัติจะต้องไม่สวนทางกันกับยุทธศาสตร์ มีเอกภาพในการปฏิบัติ นอกจากนั้นควรให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการจัดงบประมาณเอง อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ไม่สงบในภาคใต้ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ รวมทั้งในวันที่ 2 สิงหาคมที่มีการปฏิบัติการอย่างหนักถึง 122 จุดในพื้นที่ 3 จังหวัดที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดตรวจรางรถไฟเสียชีวิตในจุดเกิดเหตุถึง 3 ศพ คน 3 จว. ย้ายถิ่น นายซากีย์ พิทักษ์คุมพล นักวิชาการสถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เปิดเผยในรายงานวิจัยเรื่อง “ผลกระทบของเหตุการณ์ความไม่สงบต่อการย้ายถิ่นของประชากรในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเมธีวิจัยอาวุโส เรื่อง ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้กับรัฐไทย โครงการสันติวิธี ความรุนแรงและสังคมไทย (Nonviolence, Violence and Thai Society) เสนอต่อสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เมื่อวันที่ 19 สิงหาคมว่า เหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงปี 2547-2548 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างชัดเจน ความรุนแรงที่เกิดขึ้นก่อให้เกิดการย้ายถิ่นของประชากรออกมาจากพื้นที่เพื่อแสวงหาสถานที่ใหม่ เพื่อชดเชยชีวิตปกติสุขที่สูญเสียไป และจากการศึกษาพบว่า อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นสถานที่ที่มีการอพยพย้ายถิ่นไปอยู่ใหม่มากที่สุด อาจเป็นเพราะอยู่ไม่ไกลนัก และเป็นพื้นที่ที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมั่นคง รวมทั้งมีสถานศึกษาให้บุตรหลาน ส่วนสาเหตุอื่นในการย้ายถิ่น ก็คือ เพื่อหลีกเลี่ยงการตอกย้ำภาพการสูญเสียคนในครอบครัว เพื่อลดแรงกดดันด้านจิตใจ อย่างไรก็ตาม พบว่าการย้ายไปอยู่อำเภอหาดใหญ่มีผลกระทบอย่างมากต่อการประกอบอาชีพ โดยต้องเปลี่ยนมาประกอบอาชีพที่มีผลตอบแทนน้อยลง แต่ต้องทำงานหนักมากขึ้น รวมทั้งค่าครองชีพในเมืองหาดใหญ่ค่อนข้างสูง ผู้ย้ายถิ่นต้องปรับตัวให้เข้ากับท้องถิ่นใหม่ที่มีความแตกต่างทั้งประเพณี ภาษา และวัฒนธรรม ระเบิดธนาคารที่ยะลา เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ได้เกิดระเบิดพร้อมกันในเวลาประมาณ 11.00 น. ที่ธนาคารพาณิชย์กว่า 20 สาขาในหลายอำเภอในจังหวัดยะลา ทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนักแก่ทรัพย์สิน มีผู้เสียชีวิตหนึ่งรายเป็นนายทหารนอกราชการถูกแรงระเบิดอัดทำให้เสียชีวิต และมีผู้บาดเจ็บอีกหลายคน 3 คนในนั้นอาการสาหัส ทำให้ธนาคารสั่งปิดชั่วคราวเป็นเวลา 1 วัน จากภาพจากโทรทัศน์วงจรปิดภายในที่ทำการธนาคาร ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามผู้ต้องสงสัยได้หลายราย ละเมิดศาลคดีอดีต กกต. ศาลอาญา เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม ได้พิพากษาตัดสิน 12 จำเลยในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลโดยการก่อเหตุวุ่นวายและใช้ถ้อยคำหยาบคายในบริเวณศาลอาญา เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม โดยให้รอลงอาญา 1 ปีทั้งหมด 9 คน ให้จำคุกทันที 1 เดือน 3 คน และจำคุก 3 เดือน 1 คน บุคคลทั้ง 12 ได้ก่อความวุ่นวายหลังจากที่ศาลได้มีคำพิพากษาคดีอดีต กกต. ทั้ง 3 โดยบางคนใช้คำพูดเสียดสี ตะโกนด่าทอผู้อื่นด้วยถ้อยคำหยาบคาย บางคนพูดยั่วยุและท้าทายพวกที่มีความเห็นไม่ตรงกัน บางคนข่มขู่ศาลเพื่อให้มีคำสั่งตามที่ต้องการ บางคนพูดดูหมิ่นศาลเมื่อไม่พอใจในคำพิพากษา บางคนใช้กำลังทำร้ายร่า’กายผู้อื่นในขอบเขตอำนาจศาล เรียกเงิน 4 พรรคการเมืองคืน เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พล.ต.ต. เอกชัย วรุณประภา เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้ทำหนังสือถึงพรรคการเมือง 4 พรรค คือ ไทยรักไทย ประชาธิปัตย์ แผ่นดินไทยและพัฒนาชาติไทย ขอให้คืนเงินสนับสนุนที่ได้รับจากกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองภายในกำหนด 15 วันนับจากที่ได้รับหนังสือ ทั้งนี้ สืบเนื่องจากการที่อัยการสูงสุดได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้ยุบพรรคการเมืองทั้ง 4 มีผลให้ทั้ง 4 พรรคจะต้องคืนเงินสนับสนุนที่ยังไม่ได้ใช้ให้แก่ กกต. ตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองมาตรา 64 ที่ระบุว่า พรรคการเมืองใดที่ได้รับเงินสนับสนุนไปแล้ว ภายหลังปรากฏว่ามีเหตุให้ต้องยกเลิกหรือยุบพรรค ให้พรรคการเมืองนั้นคืนเงินสนับสนุนที่ยังไม่ได้ใช้แก่กองทุน รวมทั้งส่งรายงานการใช้จ่ายเงินที่ได้ใช้ไปแล้วแก่ กกต. ภายใน 15 วันด้วย ในปี พ.ศ. 2549 พรรคไทยรักไทยได้รับเงินสนับสนุน 135 ล้านบาท พรรคประชาธิปัตย์ 45 ล้านบาท พรรคแผ่นดินไทยได้ 1.3 ล้านบาท และพรรคพัฒนาชาติไทยได้ 1.6 แสนบาท