กรกฎาคม 2549 : 15 ตุลาคม เลือกตั้งทั่วไป พระบาทสมเด็จพระจ้าอยู่หัวฯ มีพระบรมราชโองการกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ศาลอาญาพิพากษาสั่งจำคุก 3 กกต. คนละ 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง อีกคนละ 10 ปี ส่วนศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ให้รับคำร้องให้ยุบพรรคการเมืองทั้ง 5 สำนวนไว้ดำเนินการ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ว. เพิ่มอีก 27 คน ครม. ให้ต่ออายุการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ออกไปอีก 90 วัน ดีเอสไอ สรุปผลสอบโครงการจัดซื้อรถ เรือดับเพลิงมูลค่า 6,687 ล้านบาท ของ กทม. ผิดจริง มีนักการเมืองและพวกรวม 7 คนร่วม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลังและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ยืนยันกับคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) กรณีชินคอร์ปขายหุ้นให้เทมาเส็กไม่มีอะไรผิดกฎหมาย และ กทม. จะเริ่มใช้วิธีการประมูลแบบอี-ออคชั่นใน เดือนตุลาคมนี้ โปรดเกล้าฯ ให้เลือกตั้ง 15 ต.ค. พระบาทสมเด็จพระจ้าอยู่หัวฯ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2549 และทรงมีพระราชกระแสประกอบการออก พ.ร.ฎ.กำหนดการเลือกตั้งในครั้งนี้ว่า 1. เหตุผลที่ทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชกฤษฎีกาก็เพราะมีพระราชประสงค์อยากให้ประเทศชาติกลับไปสู่ความสงบเรียบร้อยโดยเร็ว 2. มีพระราชประสงค์ให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีขึ้นในคราวต่อไปเป็นไปด้วยความเรียบร้อย บริสุทธิ์และยุติธรรมอย่างแท้จริง 3 กกต. ทำผิด-พ้นหน้าที่ ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ให้จำคุกคณะกรรมการการเลือกตั้ง พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ นายปริญญา นาคฉัตรีย์ และนายวีระชัย แนวบุญเนียร คนละ 4 ปี โดยไม่มีการรอลงอาญา และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดคนละ 10 ปี ตามความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งปี 2541 มาตรา 24, 42 ประกอบ ป.อาญา มาตรา 83 ในคดีที่นายถาวร เสนเนียม เป็นโจทก์ฟ้องว่า กกต. ทั้ง 3 จัดการเลือกตั้งใหม่แบบแบ่งเขตโดยไม่มีอำนาจ และออกหนังสือเวียนถึง ผอ.กกต.เขตเลือกตั้ง ให้รับสมัครผู้ที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งเนื่องจากได้รับคะแนนเสียงไม่ถึงร้อยละ 20 ทำให้เกิดการเวียนเทียนสมัคร และจัดคูหาลงคะแนนไม่ถูกต้อง หลังจากทราบคำพิพากษาแล้ว กกต.ทั้ง 3 ได้ให้ทนายยื่นหลักทรัพย์ขอปล่อยตัวชั่วคราว แต่ศาลอาญาได้ส่งสำนวนคำร้องให้ศาลอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตเนื่องจากเห็นว่ามูลเหตุแห่งคดีเป็นรากฐานสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นับแต่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่าการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 2 เมษายน มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ สืบเนื่องจากการทำหน้าที่ของจำเลยยังคงปฏิบัติหน้าที่ท่ามกลางความเคลือบแคลงสงสัยของประชาชนในความเป็นกลางทางการเมืองตลอดมา หากจำเลยได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวก็จะปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการเตรียมการเลือกตั้ง ส.ส. ในวันที่ 15 ตุลาคมต่อไป ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงและเป็นอันตรายต่อการเลือกตั้งอันจะนำไปสู่วิกฤตการณ์ที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อย หลังจากที่ กกต. ทั้ง 3 ได้รับฟังการตัดสินของศาลอุทธรณ์แล้วจึงถูกนำตัวส่งไปขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อรอทนายยื่นประกันตัวกับศาลฎีกาต่อไป ในวันที่ 26 ก.ค. กกต. ทั้งสามได้ลาออกจากตำแหน่งโดยมอบให้ พล.ต.ต.เอกชัย วรุณประภา เลขาธิการ กกต. นำหนังสือลาออกยื่นต่อประธานวุฒิสภาเพื่อดำเนินการต่อไป และในวันเดียวกันนั้นทนายความผู้ได้รับมอบอำนาจจาก กกต. ทั้งสามก็ได้ยื่นคำร้องพร้อมหนังสือลาออกจากตำแหน่ง กกต. ขอประกันตัวจำเลยต่อศาลฎีกา แต่หลังจากพิจารณานานถึง 5 ชั่วโมง ศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้ยกคำร้องด้วยเหตุผลว่าจำเลยทั้งสามกระทำความผิดร้ายแรงก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ก่อให้เกิดความแตกแยกในบ้านเมือง การปล่อยตัวจำเลยจะก่อให้เกิดเหตุอันตรายขึ้น และเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินคดีในศาล อย่างไรก็ตามในวันที่ 28 ก.ค. ทนายความของอดีต กกต. ได้ยื่นขอประกันตัวอีกครั้งด้วยเหตุผลว่าทั้งสามมีปัญหาสุขภาพ ซึ่งศาลได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างการอุทธรณ์ด้วยเหตุผลว่าจำเลยทั้งสามได้พ้นจากตำแหน่ง กกต. แล้ว จึงไม่สามารถจะกลับไปดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้ง ส.ว. และ ส.ส. ได้อีก ทั้งจำเลยรับรองต่อศาลว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเอกสารหลักฐานและเจ้าหน้าที่ในสำนักงาน กกต. นอกจากนี้จำเลยจะไม่ให้กลุ่มบุคคลที่สนับสนุนมาก่อความวุ่นวายในวันที่จำเลยมาฟังการพิจารณาคดีของศาล อนึ่ง ในวันที่ 25 ก.ค. หลังศาลมีคำพิพากษาแล้ว ได้มีกลุ่มบุคคลมาก่อความวุ่นวายที่เข้าข่ายละเมิดอำนาจศาลขึ้น ศาลจึงได้ออกหมายเรียกให้บุคคล 16 คนมาไต่สวนถึงการกระทำดังกล่าว ที่ศาลฎีกาซึ่งมีหน้าที่สรรหา กกต. ชุดใหม่ได้เตรียมการประกาศรับสมัคร และจะจัดประชุมใหญ่ผู้พิพากษาศาลฎีกา 86 คนเพื่อทำหน้าที่ในกระบวนการสรรหา ผู้สมควรเป็น กกต. มาจำนวน 10 คนเพื่อให้วุฒิสภาคัดเลือกเหลือเพียง 5 คน ทั้งนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ให้ความเห็นว่าจากคำพิพากษาดังกล่าวต้องถือว่า กกต. พ้นจากหน้าที่ เพราะขาดคุณสมบัติตามมาตรา 141 ไปแล้ว ศาล รธน. รับวินิจฉัยยุบพรรค คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้รับคำร้องให้ยุบพรรคการเมืองทั้ง 5 สำนวนไว้ดำเนินการ โดยจะส่งสำเนาคำร้องพร้อมเอกสารประกอบสำนวนไปให้ทั้ง 5 พรรค และกำหนดให้ยื่นคำชี้แจงข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน นอกจากนั้น ยังได้มีการเลือกประธานศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ ซึ่งที่ประชุมได้เลือกนายอุระ หวังอ้อมกลาง รับรอง ส.ว. เพิ่ม สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ว. เพิ่มอีก 10 คนเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม และอีก 17 คนเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พร้อมสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ใน 2 จังหวัดคือกาฬสินธุ์และอำนาจเจริญในวันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม เนื่องจากผู้สมัครกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง โดยการเลือกตั้งใหม่นี้ไม่จำเป็นต้องออกพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้งหรือประกาศรับสมัครใหม่ เนื่องจากยังอยู่ในระหว่างการประกาศผลการรับรอง ส.ว. ส่วนการรับรองผล ส.ว. ที่เหลืออีก 18 คนนั้น ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา อย่างไรก็ตามที่ประชุมศูนย์อำนวยการการเลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว. ได้หารือว่าโดยเหตุที่อดีต กกต. ทั้งสามถูกศาลสั่งจำคุกและพ้นสภาพการเป็น กกต. ไปแล้วและยังไม่มีการตั้ง กกต. ชุดใหม่ขึ้นมาแทน การเลือกตั้งในวันที่ 20 สิงหาคม จึงจะทำได้หรือไม่ และต่อมาสำนักกฎหมายและคดีได้สรุปความเห็นว่าสำนักงาน กกต. ไม่สามารถจัดการเลือกตั้ง ส.ว. ดังกล่าวได้ เนื่องจาก พ.ร.บ.เลือกตั้งมาตรา 12 และ มาตรา 90 ระบุว่า ให้ กกต. แต่งตั้งบุคคลเป็นเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง เพื่อให้มีหน้าที่เกี่ยวกับการรับสมัครและการกำหนดหน่วยเลือกตั้ง การจัดทำบัญชีรายชื่อ ฯลฯ ที่ผ่านมา กกต. ยังไม่ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งเจ้าพนักงานฯ รวมทั้งประกาศการจัดเลือกตั้ง ส.ว.ใหม่ จึงเป็นการพ้นวิสัยที่สำนักงาน กกต. จะจัดให้มีการเลือกตั้ง ส.ว. ต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินใต้อีก 90 วัน คณะรัฐมนตรีมีมติให้ต่ออายุการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ยะลา ปัตตานี นราธิวาส) ออกไปอีก 90 วัน จากการใช้ พ.ร.ก.ที่ผ่านมาสามารถควบคุมผู้ต้องสงสัยมาสอบสวนได้ 604 ราย ขยายผลพบเป็นผู้กระทำความผิด 402 ราย อยู่ระหว่างการพิสูจน์ 122 ราย นอกจากนี้ การก่อความไม่สงบจากที่มีการตั้งเป้าไว้เดือนละ 500 เหตุ ได้ลดลงเหลือเพียงเดือนละ 100 เหตุ แต่แม้การใช้ พ.ร.ก. จะได้ผล แต่ฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบมีการปรับแผน เปลี่ยนแปลงรูปแบบ เนื่องจากระดับแกนนำยังไม่ถูกจับกุม ยังมีความพร้อมในการก่อเหตุอยู่ แหล่งข่าวเปิดเผยว่าตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมามีสตรี 30 คนได้ผ่านการฝึกอาวุธและยุทธวิธีและฝังตัวอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัด สตรีเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการก่อการไม่สงบโดยการยุยงประชาชนให้ต่อต้านเจ้าหน้าที่ของรัฐและรวบรวมการสนับสนุนจากชาวบ้าน แหล่งข่าวกล่าวว่า เป้าหมายในการชักชวนคือสตรีอายุระหว่าง 22 ถึง 28 ปีที่มีสายสัมพันธ์กับผู้ที่เสียชีวิตหรือถูกจับกุมตัว ขณะนี้มีผู้ร่วมขบวนการรุ่นใหม่ทั้งชายและหญิงประมาณ 6,000 คน แหล่งข่าวระบุว่า เป้าหมายในการโจมตีต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนทั่วไป กลุ่มบีอาร์เอ็น (BRN: Barisan Revolusi Nasional) นี้อยู่ภายใต้ผู้นำคือมะแซอูเซ็ง ซึ่งมีค่าหัว 5 ล้านบาท เหตุการณ์ไม่สงบใน 3 จังหวัดภาคใต้ยังคงเกิดขึ้นประจำวันแม้ว่าคณะกรรมการสมานฉันท์จะเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาแล้วก็ตาม ดีเอสไอ สรุปจัดซื้อรถ เรือดับเพลิงผิดจริง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สรุปผลสอบโครงการจัดซื้อรถ เรือดับเพลิงมูลค่า 6,687 ล้านบาท ของ กทม. ผิดจริง มีนักการเมืองและพวกรวม 7 คนร่วม โดยจะส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปราการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการเอาผิดตามผลการสอบสวน 6 ประเด็น คือ หนึ่ง จัดซื้อเกินวงเงินที่ได้รับอนุมัติจาก ครม. คือ 6,687 ล้านบาท แต่เมื่อรวมภาษีอากรเป็นเงินถึง 8,000 ล้านบาท วงเงินที่เพิ่มขึ้นไม่มีการนำเสนอขออนุมัติจาก ครม. เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร กทม. และทบทวนสัญญา เปิดแอล/ซี จนทำให้สัญญาเป็นผลสมบูรณ์ กทม. ต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับภาษีนำเข้ากับกรมศุลกากร สอง มติ ครม. ระบุว่า สิ่งใดที่สามารถผลิตในประเทศไทยให้ซื้อในประเทศไทยเท่านั้น แต่การจัดซื้อเรือดับเพลิง 30 ลำ และรถดับเพลิงจำนวน 72 คันนั้น ปรากฏว่าเป็นรถซื้อที่ผลิตในประเทศไทยโดยผลิตจากบริษัทมิตซูบิชิ ซึ่งส่งออกไปประกอบเป็นรถดับเพลิงแล้วนำเข้ามาใหม่ ส่วนเรือดับเพลิงก็ซื้อจากบริทซีทโบ๊ท พัทยาแล้วนำไปประกอบอุปกรณ์เช่นกัน สาม การจัดซื้อครั้งนี้เกินความจำเป็น เช่น เกินกำลังบุคลากรที่มี และยังมีการซื้อรถขับเคลื่อนสี่ล้อในขณะที่ กทม. มีแต่พื้นที่ราบ สี่ ทั้งๆ ที่มีการทักท้วงและแต่งตั้งกรรมการทบทวนสัญญาแล้ว แต่ก็มีการเปิดแอล/ซี ทำให้สัญญามีผลสมบูรณ์และมีเหตุให้ส่งสินค้า ห้า มูลค่า 6,687 ล้านบาทแพงเกินราคาจริง และยังมีภาระภาษีเพิ่มอีก 1,300 ล้านบาท หก ไม่มีการปฏิบัติตามขั้นตอนระเบียบของกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการค้าต่างตอบแทน (counter trade) ด้วยบริษัทผู้ส่งออกของไทยมีโควตาหรือแผนส่งออกอยู่เดิมแล้ว ก่อนหน้านี้ ผู้ว่าฯ กทม. อภิรักษ์ โกษะโยธิน ได้แถลงว่า กทม. มีความเห็นร่วมกันว่าจะงดตรวจรับรถ เรือดับเพลิงและอุปกรณ์อื่นๆ โดยจะทำหนังสือแจ้งให้กระทรวงมหาดไทยและกรมสอบสวนคดีพิเศษให้รับทราบ เนื่องจากเรื่องนี้เป็นข้อตกลงระดับประเทศระหว่างไทยกับออสเตรีย ซื้อขายลักษณะแลกเปลี่ยน ในสมัยผู้ว่าฯ สมัคร สุนทรเวช กทม. ได้ทำสัญญาซื้อขายแลกเปลี่ยนรถ เรือดับเพลิงของบริษัทสไตเออร์แห่งประเทศออสเตรียกับไก่ต้มสุก โดยกระทรวงมหาดไทยจะให้ความช่วยเหลือร้อยละ 60 ของมูลค่า ภายหลังพบว่าสัญญามีมูลค่าสูงกว่าราคาจริง 3 กระทรวงชี้ขายหุ้นชินคอร์ปไม่ผิด กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลังและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ยืนยันกับคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) กรณีชินคอร์ปขายหุ้นให้เทมาเส็กไม่มีอะไรผิดกฎหมาย ทั้งนี้ เลขาธิการ กทช. เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ชี้แจงว่า กลุ่มชินคอร์ปยังคงเป็นบริษัทคนไทยที่มีสัดส่วนถือหุ้น 54.76% ต่างชาติถือหุ้น 45.24% ขณะที่กระทรวงไอซีทีชี้แจงว่า ขณะนี้กลุ่มชินคอร์ปถือหุ้นในบริษัท แซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) ไม่ผิดต่อสัญญาสัมปทาน เพราะกลุ่มชินถือหุ้นไม่เกิน 40% ในขณะที่กระทรวงการคลังกล่าวถึงกรณีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในชินคอร์ปนั้น ไม่มีกฎหมายใดเข้าไปเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายกรมธุรกิจการค้าที่ต้องตอบในประเด็นการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นว่าผิดกฎหมายหรือไม่นั้น ยังไม่ได้รับคำตอบ กทม.ใช้ อี-ออคชั่น ต.ค.นี้ กทม. จะเริ่มใช้วิธีการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (อี-ออคชั่น) เดือนตุลาคมนี้ หลังจากที่ได้มีการแก้ไขระเบียบใหม่ถึง 4 ครั้งด้วยกัน สาระสำคัญของอี-ออคชั่น คือ ให้ความเป็นธรรมและโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างให้แก่ผู้รับเหมาโดยสามารถร้องเรียนการประมูลได้ 3 ขั้นตอน โดยเริ่มตั้งแต่ 1. ร่างเงื่อนไขการประกวดราคา (TOR) ซึ่งจะมีข้อกำหนดระยะเวลาและสามารถร้องเรียนภายใจ 3 วัน 2. ขั้นตอนการประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้าร่วมประมูล ซึ่งคณะกรรมการอี-ออคชั่นจะประกาศผลไม่น้อยกว่า 3 วันแต่ไม่เกิน 30 วัน จากนั้นผู้รับเหมาไม่พอใจสามารถร้องเรียนได้ภายใน 3 วันโดยจะมีการตั้งคณะกรรมการชี้แจงเรื่องดังกล่าวภายใน 3 วันด้วย และ 3. ขั้นตอนการประกาศชื่อ ซึ่งผู้รับเหมาสามารถร้องเรียนได้ภายใน 3 วันเช่นกัน โดยขั้นตอนการร้องเรียนนั้น การประมูลด้วยระบบอี-ออคชั่น กทม. จะมีคณะกรรมการ กวอ. เป็นผู้ควบคุมและชี้ขาดในทุกประเด็น กทม. จะเริ่มใช้ระเบียบดังกล่าวกับการประมูล 16 โครงการของสำนักการโยธา มูลค่า 2.1 หมื่นล้านบาท ที่นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน สั่งยกเลิกภายหลังที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตรวจสอบพบว่ามีการทุจริต