พฤศจิกายน 2548 :19 เม.ย.เลือก ส.ว. ทั่วประเทศ คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศให้ 19 เมษายน 2549 เป็นวันเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาทั่วประเทศ และรับรองผู้สมัครพรรคชาติไทยเป็น ส.ส.อุทัยธานีเขต 1 คณะรัฐมนตรีเห็นชอบแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 3 ประเด็น ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเพิกถอนการแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหา กสช. สมาชิกวุฒิสภาขอให้ประธานรัฐสภายื่นคำร้องขอศาลรัฐธรรมนูญตัดสินกระบวนการสรรหา ป.ป.ช. ในขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน กรณีผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ประกาศกฎอัยการศึกใน 2 อำเภอจังหวัดสงขลา และศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งระงับการขายหุ้น กฟผ. นายกรัฐมนตรีสั่งชะลอ 5 โครงการลงทุนเมกะโปรเจ็ค และคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเพิ่มตั๋วเงินคลังอีก 8 หมื่นล้านบาท และเห็นชอบกองทุนปลดหนี้เกษตรกรรายย่อย และข้อเสนอแก้กฎหมายถ่ายโอนการจัดการศึกษาสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1 มกราคม เริ่มห้ามขายเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ในสถานีบริการน้ำมัน ศาลดุสิตรับพิจารณาคดีบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน และชาว กทม. 3 เขตได้ใช้บัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดเดือนนี้ 19 เม.ย. เลือกตั้ง ส.ว. คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศให้วันเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ครั้งต่อไปคือวันที่ 19 เม.ย. 2549 ส่วนการเลือกตั้งล่วงหน้าให้เป็นวันที่ 11-12 เม.ย. ส.ว. ชุดนี้จะครบกำหนดการดำรงตำแหน่งในวันที่ 21 มี.ค. 49 และกฎหมายกำหนดให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 30 วัน กกต. รับรอง ส.ส. พรรคชาติไทย กกต. มีมติรับรองผู้สมัครพรรคชาติไทย นายธีระพันธ์ วีระยุทธวัฒนะ เป็น ส.ส. อุทัยธานีเขต 1 ในการเลือกตั้งซ่อมเมื่อวันที่ 30 ต.ค.ที่ผ่านมา ส่วนผู้สมัครอีกสองคนที่ลงสมัครในจังหวัดพิจิตรและสิงห์บุรีนั้น ยังไม่มีการรับรองเนื่องจาก กกต.จังหวัดกำลังตรวจสอบคำร้องอยู่ รบ.มีมติให้แก้ รธน. ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 22 พ.ย. ให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญเสนอ โดยให้มีการแก้ไขใน 3 ประเด็น คือ 1. มาตรา 138(1) แก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบของกรรมการสรรหา กกต. กรณีไม่ครบองค์ประกอบตามที่กำหนด หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้กรรมการสรรหาฯ ประกอบด้วยกรรมการเท่าที่มีอยู่ 2. ให้เพิ่มความเป็นวรรค 2 ของมาตรา 257(1) ดังนี้ กำหนดให้ในกรณีที่กรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีจำนวนไม่ครบองค์ประกอบตามที่กำหนด หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้กรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วยกรรมการเท่าที่มีอยู่ 3. ให้ยกเลิกมาตรา 255 วรรค 2 โดยใช้ข้อความดังต่อไปนี้แทน คือ ให้ผู้ได้รับเลือกเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญประชุมและเลือกกันเอง โดยให้คนหนึ่งเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ แล้วแจ้งผลให้ประธานวุฒิสภาทราบ ในกรณีที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีองค์ประกอบหรือไม่ครบตามจำนวน 15 คน ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด แต่ไม่น้อยกว่า 10 คน และหากการสรรหาและการเลือกบุคคลมาเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแทนตำแหน่งที่ว่างลงยังไม่สามารถทำได้แล้วเสร็จ คือในระยะ 30 วัน ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเท่าที่มีอยู่ประชุมและเลือกกันเอง เพื่อให้ได้คนหนึ่งเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญแล้ว แจ้งให้วุฒิสภาทราบ เหตุผลในการแก้ไขดังกล่าวมาจากการที่นายกระมล ทองธรรมชาติ ได้พ้นจากตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2548 ซึ่งรัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ในมาตรา 261(2) และมาตรา 255 วรรค 1(2) กำหนดให้มีการเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแทนตำแหน่งที่ว่างลงภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง แต่ที่ผ่านมาทางศาลรัฐธรรมนูญได้มีหนังสือขอทราบความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าวไปยังประธานวุฒิสภารวม 3 ฉบับ และประธานปกครองศาลสูงสุด 1 ฉบับ แต่จนบัดนี้ผ่านมากว่า 6 เดือนครึ่งแล้วยังไม่มีความคืบหน้า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจึงได้ประชุมกันและเห็นว่า ควรมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 3 ประเด็น ซึ่งรัฐบาลจะรีบนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมสภาฯ โดยเร็ว แต่หากศาลปกครองสูงสุดส่งรายชื่อบุคคลมาดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รัฐบาลก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อ ซึ่งการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องดังกล่าวเป็นเพราะห่วงการเลือกตั้ง ส.ว. ในวันที่ 19 เมษายน 2549 ที่ในอนาคตอาจเกิดปัญหาการตีความขึ้นได้อีก ศาลปกครองเพิกถอนการสรรหา กสช. ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 23 พ.ย. ให้เพิกถอนประกาศของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกฟ้องที่ 1) ในการแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหากรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์แห่งชาติ (กสช.) และประกาศของคณะกรรมการสรรหา กสช. (ผู้ถูกฟ้องที่ 2) ที่คัดเลือกผู้สมัคร 14 คน เป็นบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็น กสช. โดยถือเสมือนว่าผู้ได้รับการคัดเลือกทั้ง 14 คน ไม่เคยได้รับการคัดเลือกและเสนอต่อวุฒิสภา เพื่อมีมติเลือกเป็น กสช. คำพิพากษาดังกล่าวสืบเนื่องจากนายประมุท สูตะบุตร ผู้สมัครเป็น กสช. ได้ยื่นฟ้องสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการสรรหา กสช. ว่า กระบวนการสรรหา กสช. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งศาลฯ ได้พิจารณาว่าประกาศรายชื่อของสำนักงานปลัดฯ ระบุว่า นายสมพร เทพสิทธา ประธานคณะกรรมการสรรหา กสช. ยังคงมีฐานะเป็นกรรมการสรรหา กสช. ในฐานะผู้แทนสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ เป็นการขัดต่อมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4) แห่ง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2543 เนื่องจากบทบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้องค์กรเอกชนที่เป็นนิติบุคคลซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองผู้บริโภคทางด้านสื่อมวลชนหรือใช้สื่อสารมวลชนเพื่อประโยชน์สาธารณะและไม่แสวงหาผลกำไรทางธุรกิจ ส่งผู้แทนได้องค์กรละหนึ่งคนเท่านั้นโดยมาจากองค์กรที่หลากหลายไม่ซ้ำกัน แต่ปรากฏว่า เมื่อนายสมพรพ้นจากการเป็นรองประธานสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (ซึ่งเป็นผู้ส่งนายสมพรเข้ารับการคัดเลือกเป็นกรรมการสรรหา กสช. ในครั้งแรก และเมื่อศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้เพิกถอนรายชื่อได้รับการคัดเลือกเป็น กสช.ครั้งแรก นายสมพรไม่ยอมลาออกจากตำแหน่งกรรมการสรรหา กสช.) แล้วกลับมีการกล่าวอ้างว่านายสมพรเป็นผู้แทนสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติด้วย ทั้ง ๆ ที่สภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติก็ได้ส่งบุคคลอื่นเข้ารับการคัดเลือก จึงเท่ากับสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติส่งตัวแทนเข้ารับการคัดเลือกเป็นกรรมการสรรหาถึง 2 คน ดังนั้น องค์ประกอบของคณะกรรมการสรรหา กสช. จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ภายหลังจากที่ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาดังกล่าว ในวันที่ 28 พ.ย. กรรมการสรรหาทั้ง 10 ได้ประชุมกันและมีมติ 6 เสียงให้ยื่นคำอุทธรณ์ต่อศาลฯ อีก 2 เสียงไม่ให้ยื่นอุทธรณ์และงดออกเสียง 2 เสียง และท้ายที่สุดรัฐบาลได้ตัดสินใจที่จะอุทธรณ์การตัดสินของศาลปกครองเช่นกัน โดยจะให้สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นผู้อุทธรณ์ภายใน 30 วันซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 23 ธันวาคม ก่อนหน้านี้วุฒิสภาได้มีมติคัดเลือกผู้สมัคร กสช. 7 คนจากรายชื่อ 14 คนที่คณะกรรมการสรรหาได้เสนอเข้ามา และผู้ได้รับการคัดเลือกทั้ง 7 ได้ประชุมลงคะแนนเลือกพลเอกธงชัย เกื้อสกุลเป็นประธาน ขอศาล รธน. ตีความเลือก ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน สมาชิกวุฒิสภาจำนวนหนึ่งได้ยื่นหนังสือคำร้องเรื่องการเลือก ป.ป.ช. ต่อนายโภคิน พลกุล ประธานรัฐสภาเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าการที่วุฒิสภาได้เลือก ป.ป.ช. 9 คนจากจำนวนผู้สมัครที่ส่งรายชื่อมา 17 คน เนื่องจากพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการทหารบกถอนตัวนั้น เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญและไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เนื่องจากรัฐธรรมนูญระบุให้วุฒิสภาเลือก ป.ป.ช. 9 คนจากรายชื่อผู้สมัคร 18 คน ประธานรัฐสภา นายโภคิน พลกุล กล่าวเมื่อได้รับหนังสือว่า จะพิจารณาความเหมาะสมว่าควรจะยื่นคำร้องดังกล่าวให้แก่ศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ ขณะนี้สำนักงาน ป.ป.ช. รอหนังสือยืนยันรายชื่อกรรมการ ป.ป.ช. ทั้ง 9 คนอย่างเป็นทางการอยู่ เพราะการขาดกรรมการ ป.ป.ช. ทำให้มีคดีที่ค้างคาอยู่ใน ป.ป.ช. หลายพันเรื่อง ศาล รธน. ไม่พิจารณาผู้ว่า สตง. คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ไม่รับคำร้องของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ที่ขอให้วินิจฉัยปมปัญหาตำแหน่งผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือผู้ว่าการ สตง. เนื่องจากเห็นว่าคำร้องนี้ไม่เข้าข่ายมาตรา 266 แห่งบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ เนื่องจากไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของ คตง. อันจะเป็นประเด็นความขัดแย้งของการใช้อำนาจหน้าที่ระหว่างองค์กรตามรัฐธรรมนูญ จากนั้นนายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ แถลงว่า คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาประเด็นคำร้องของ คตง. ในประเด็นที่ 1 ว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจที่จะรับเรื่องนี้ไว้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 266 หรือไม่ และมีความเห็นว่าการโต้แย้งการเสนอชื่อนายวิสุทธิ์ มนตริวัต ผู้ได้รับการเสนอชื่อคนใหม่ที่ขอถอนตัวออกไป ไม่ถือว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่เป็นปัญหาต่อการดำเนินงานตามอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่ 2 ที่ คตง. ดำเนินการสรรหาและเลือกผู้ว่าการ สตง.คนใหม่โดยไม่มีพระบรมราชโองการให้คุณหญิงจารุวรรณพ้นตำแหน่งนั้น ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสรรหาและเลือกผู้ว่าการอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ คตง. ซึ่งดำเนินการตามผลผูกพันของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ผลการวินิจฉัยดังกล่าวทำให้ที่ประชุม คตง. เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน เสียงส่วนใหญ่มีมติให้ดำเนินการสรรหาและเลือกผู้ที่สมควรได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินหรือผู้ว่าการ สตง. คนใหม่แทนคุณหญิงจารุวรรณ ประกาศใช้กฎอัยการศึก 2 อภ.สงขลา กองทัพภาคที่ 4 ประกาศกฎอัยการศึกในเขตพื้นที่ อ.จะนะ และ อ.เทพา จ.สงขลา เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารได้รักษาความสงบเรียบร้อยและเพื่อเป็นการระงับการกระทำของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ทั้งนี้เนื่องจากในช่วงเช้าวันที่ 3 พ.ย. ได้มีการก่อความไม่สงบถึง 7 จุดใน จ.สงขลา ศาล ปค. สั่งระงับขายหุ้น กฟผ. ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ห้ามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และบริษัท การไฟฟ้าฝ่ายผลิต จำกัด (มหาชน) (บมจ. กฟผ.) เสนอขายหุ้นของ บมจ. กฟผ. เอาไว้เป็นการชั่วคราวก่อน จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น คำสั่งดังกล่าวเป็นผลมาจากการวินิจฉัยคดีที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและพวก 11 ราย ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใน 2 กรณี คือ 1. ให้เพิกถอนพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) กำหนดอำนาจ สิทธิและประโยชน์ของ บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2548 และพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2548 2. ขอให้ศาลกำหนดวิธีการชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาให้ระงับการบังคับใช้ พ.ร.ฎ. ทั้งสองฉบับดังกล่าวโดยให้ระงับการเสนอขายหุ้น กฟผ. ที่เตรียมจะดำเนินการโดยอาศัย พ.ร.ฎ.ดังกล่าว ในกรณีที่ 1 ศาลเห็นว่าการพิจารณาความชอบด้วยกฎหมายของ พ.ร.ฎ. ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวเป็นประเด็นหลักแห่งคดีที่ศาลจะต้องพิจารณาพิพากษา อีกทั้งยังมีขั้นตอนที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการต่อไป หากระงับการบังคับใช้ พ.ร.ฎ. แล้วจะทำให้เกิดปัญหาในการดำเนินการตามกฎหมายและเกิดปัญหาแก่การบริหารงานของ กฟผ. ดังนั้นศาลปกครองสูงสุดจึงเห็นว่ายังไม่สมควรที่จะสั่งทุเลาการบังคับใช้ พ.ร.ฎ. ดังกล่าว จึงให้ยกคำขอดังกล่าวเสีย ดังนั้น การดำเนินการใดๆ เพื่อให้เป็นไปตามบังคับของ พ.ร.ฎ. ทั้ง 2 ฉบับจึงให้กระทำได้ ส่วนคำขอกรณีที่ 2 ศาลเห็นว่าคดีนี้มีมูลและมีเหตุที่ศาลจะรับคดีไว้พิจารณาได้ เนื่องจาก กฟผ. กำหนดให้ประชาชนจองซื้อหุ้นในวันที่ 16-17 พ.ย.นี้ หากให้มีการดำเนินการดังกล่าว และในภายหลัง หากศาลพิพากษาให้เพิกถอน พ.ร.ฎ. กำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของ กฟผ. ย่อมทำให้เกิดความเสียหายในวงกว้างต่อประชาชนจำนวนมากที่จองซื้อหุ้นและยังมีผลกระทบต่อบุคคลและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องด้วย การระงับการขายหุ้นดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการให้บริการสาธารณะของ กฟผ. หรือกระทบต่อนโยบายการแปรรูปของ กฟผ. แต่อย่างใด เมื่อวันที่ 22 พ.ย. ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอให้แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้ารวม 7 คน โดยจะมีผลใช้บังคับในวันที่ 1 ธ.ค. เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคณะกรรมการหลัก โดยคณะกรรมการกำกับฯ จะมีหน้าที่พิจารณากำหนดอัตราค่าไฟฟ้าและเงินค่าชดเชยในการเปลี่ยนโอนทรัพย์สินของการไฟฟ้าทั้งสามองค์กร และกำหนดเงื่อนไขในการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภค หน้าที่แรกของคณะกรรมการกำกับฯ คือการกำหนดค่าเอฟที (fuel tariff) ที่จะใช้ในระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคมปีหน้า และกำหนดอัตราส่วนกระแสไฟฟ้าที่จะซื้อจากผู้ผลิตกระแสไฟฟ้าอิสระในปี 2552 แต่จะไม่มีอำนาจตัดสินใจในเรื่องต่างๆ เพราะจะต้องส่งเรื่องเข้าไปยังคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) บมจ.กฟผ. มีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตและส่งกระแสไฟฟ้ามูลค่ากว่าสามแสนล้านบาทในเจ็ดปีข้างหน้า คาดว่าเงินลงทุนแรกเริ่ม 34 พันล้านบาทแรกจะได้จากการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ และที่เหลือจะได้จากการออกหุ้นกู้และบุริมสิทธิ์ หากไม่มีเงินลงทุนจำนวนนี้คาดว่าจะมีผลต่อการกำหนดอัตราค่ากระแสไฟฟ้าในอนาคต ชะลอ 5 เมกะโปรเจ็ค 1.38 ล้านล้านบาท นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ได้สั่งชะลอแผนการลงทุน 5 โครงการเมกะโปรเจ็คมูลค่า 1.38 ล้านล้านบาท โดยให้แต่ละกระทรวงไปพิจารณาแนวทางในการพัฒนาในบริบทที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงของตนเอง เพราะโครงการลงทุนขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจ็ค) และโครงการอื่นๆ ที่กระทรวงเสนอมา ขาดการนำองค์ความรู้ระดับโลกมาใช้เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาให้เป็นไปอย่างก้าวกระโดด โครงการที่ชะลอออกไป ประกอบด้วย 1. โครงการแผนพัฒนาและบริหารจัดการ 25 ลุ่มน้ำของประเทศ วงเงิน 2.4 แสนล้านบาท 2. โครงการขนส่งมวลชนขนาดใหญ่และโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน วงเงิน 5.5 แสนล้านบาท 3. ระบบบริหารการขนส่งในการจัดทำแผนแม่บทระบบโลจิสติกส์ของประเทศ และยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนระบบโลจิสติกส์ของประเทศ วงเงิน 4 แสนล้านบาท 4. โครงการลงทุนขนาดใหญ่ของกระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน 9.6 หมื่นล้านบาท และ 5. แผนลงทุนเสริมสร้างการสาธารณสุขแห่งชาติ วงเงิน 9.4 หมื่นล้านบาท แต่ในส่วนของโครงการบ้านเอื้ออาทรระยะที่ 5 นั้น ถือเป็นเรื่องการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อย ไม่จำเป็นต้องใช้องค์ความรู้ใหม่ ครม.จึงเห็นชอบให้ดำเนินการต่อ โดยมีเป้าหมายดำเนินการก่อสร้างที่อยู่อาศัย 3.3 แสนหน่วยภายใต้งบลงทุน 1.6 แสนล้านบาท ก่อนหน้าที่ที่ประชุม ครม. สัญจร ที่ จ.นครสวรรค์ เมื่อวันที่ 1 พ.ย. ได้อนุมัติโครงการลงทุนเมกะโปรเจ็คด้านบริการพื้นฐาน ได้แก่ ระบบขนส่งมวลชน บ้านเอื้ออาทร การพัฒนาแหล่งน้ำ การศึกษาและสาธารณสุขอีกหลายโครงการ ทำให้มูลค่าการลงทุนทั้งสิ้นเพิ่มจาก 1.7 ล้านล้านบาท เป็น 1.804 ล้านล้านบาท ครม.อนุมัติออกตั๋วเงินคลัง 8 หมื่นล้าน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน มีมติเห็นชอบให้ออกตั๋วเงินคลังจำนวน 8 หมื่นล้านบาทเพื่อความคล่องตัวในการบริหารเงินสดของรัฐบาล เนื่องจากรัฐบาลมีการนำงบกลางไปใช้จ่ายในเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น ภัยพิบัติสึนามิ และนำเงินคงคลังเพื่อไปชำระหนี้พันธบัตรรัฐบาล นอกจากนี้ยังเกิดจากการที่รัฐบาลขยายวงเงินงบประมาณต่อปีอย่างต่อเนื่อง และมีงบฯ เหลื่อมปีที่ต้องใช้งบประมาณในปีนี้จำนวนมากขึ้น รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณประจำปี 2549 เอาไว้ที่ 1.36 ล้านล้านบาท และคาดว่า ณ ต้นปีงบประมาณเงินคงคลังจะอยู่ในระดับ 8.7 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ช่วงเดือนธันวาคมและมกราคมจะมีงบฯ เหลื่อมจ่ายเข้ามาจำนวนมากในขณะที่เงินรายได้ของคลังก้อนใหญ่ 2-3 แสนล้านบาทจะเข้ามาในช่วงเดือนมีนาคม แต่เดิมรัฐบาลมีแผนจะออกตั๋วเงินคลังมูลค่า 1.7 แสนล้านบาทอยู่แล้ว ดังนั้นการเพิ่มขึ้นอีก 8 หมื่นล้านบาทจึงทำให้มูลค่าตั๋วเงินคลังทั้งสิ้นเป็น 2.5 แสนล้านบาท กองทุนปลดหนี้เกษตรกร รัฐบาลเห็นชอบการตั้งกองทุนปลดหนี้เกษตรกรมูลค่า 1.4 พันล้านบาทเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อย 4,617 ราย ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการฟ้องร้องในศาล โดยจะโอนหนี้ทั้งหมดมาไว้ที่กองทุนซึ่งมีระยะการชำระหนี้นานถึง 20 ปีโดยไม่มีดอกเบี้ย เกษตรกรที่มีสิทธิได้รับการช่วยเหลือจะต้องมีหนี้สินไม่เกิน 2.5 ล้านบาท เมื่อได้รับการผ่อนผันหนี้แล้วจะต้องทำบัญชีรับ-จ่ายประจำเดือน และเข้าร่วมโครงการฝึกอบรมและฝึกอาชีพตามแนวเกษตรพึ่งตนเองอีกด้วย แก้ กม.ถ่ายโอนการจัดการศึกษา ที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน เห็นชอบให้แก้ไขกฎกระทรวงศึกษาธิการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเพิ่มเติมเงื่อนไขความสมัครใจของคณะกรรมการสถานศึกษา ผู้บริหาร และครู ตลอดจนปรับระยะเวลาให้ อปท. ยื่นความจำนงขอประเมินความพร้อมเพื่อขอรับถ่ายโอนสถานศึกษาประจำปีการศึกษา 2549 จาก 180 วันก่อนวันเปิดภาคเรียนเหลือ 120 วัน การแก้ไขดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องมาจากการประท้วงของบรรดาครูทั่วประเทศที่ไม่ต้องการให้มีการถ่ายโอนสถานศึกษาไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กม. ใหม่ห้ามขายสุราในปั๊มน้ำมัน กฎหมายใหม่ห้ามขายเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ทุกชนิดในสถานีบริการน้ำมัน ใกล้วัดและสถานศึกษา จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2549 นี้เป็นต้นไป นอกจากนั้นยังกำหนดเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไว้เหลือเพียงวันละ 10 ชั่วโมงคือระหว่างเวลา 11.00-14.00 น. และ 17.00-24.00 น. อีกด้วย กฎหมายนี้ออกมาเพื่อลดความรุนแรงและอุบัติเหตุอันเนื่องจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้ห้ามการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่ผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปีมาแล้ว ศาลรับพิจารณาคดีบ่อบำบัดคลองด่าน ศาลชั้นต้นเขตดุสิตได้มีคำสั่งรับพิจารณาคดีบ่อบำบัดน้ำเสียตำบลคลองด่านที่กรมควบคุมมลพิษยื่นฟ้องต่อ 18 ผู้กระทำผิดซึ่งมีทั้งนักธุรกิจและอดีตนักการเมือง โครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านเป็นที่สนใจเมื่อสิบปีก่อน เมื่อชาวบ้านร้องเรียนว่าโครงการจะทำให้ระบบนิเวศทางทะเลในบริเวณนั้นเสียหาย และยังมีการยื่นหลักฐานการคอร์รัปชั่นในการซื้อที่ดินโครงการมูลค่า 23 พันล้านบาทอีกด้วย ภายหลังการไต่สวนเป็นระยะเวลานาน เมื่อเดือนมกราคมปี 2547 นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมขณะนั้นได้ตัดสินใจที่จะยกเลิกโครงการและยื่นคำร้องต่อศาลให้ดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิด กรมควบคุมมลพิษจึงได้ดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลกล่าวหาผู้กระทำผิด 19 ราย รวมทั้งกลุ่มร่วมค้าเอ็นวีพีเอสเคจีด้วย แต่ศาลได้พิจารณาว่ากลุ่มร่วมค้ามิใช่นิติบุคคลตามกฎหมาย จึงลดจำนวนผู้กระทำผิดเหลือเพียง 18 ราย ซึ่งการพิจารณาคดีครั้งแรกจะมีในวันที่26 มกราคมปีหน้า ชาว กทม. ได้ใช้บัตรสมาร์ทการ์ด ผู้อยู่อาศัยในเขตดุสิต บางเขน และบางพลัด ที่ขอทำบัตรประชาชนในเดือนพฤศจิกายนนี้จะได้รับบัตรประชาชนอิเล็กทรอนิกส์ “สมาร์ทการ์ด” เป็นพวกแรก และตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม เป็นต้นไป ผู้ขอทำบัตรประชาชนใหม่จะได้บัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดเช่นกัน กทม. เป็นจังหวัดที่สี่ในประเทศไทยที่จะมีการออกบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด โดยสามจังหวัดที่ทำบัตรสมาร์ทการ์ดไปแล้ว คือ ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส