เยาวชนพลเมือง ปี 4 ที่ขึ้นต้นเรื่องไว้เป็นหัวข้อการประชุมเชิงปฏิบัติการของนักเรียนเยาวชนจากอีสานใต้ ภายใต้โครงการ “ความเป็นพลเมืองสำหรับเยาวชนไทย” ซึ่งจัดที่อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 19-21 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีนักเรียน 46 คน และครู 28 คน จาก 30 โรงเรียน นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ส.ว.อุบลราชธานี ถือเป็นการสิ้นสุดของโครงการฯ ในระดับภูมิภาคประจำปีนี้ ที่ได้ดำเนินการไป 3 ครั้ง คือ ภาคเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภูมิภาคใหญ่ ปีนี้สถาบันนโยบายศึกษาแบ่งจัดเป็น 2 ครั้ง คืออีสานตอนบนที่จังหวัดขอนแก่น และอีสานตอนล่างที่จังหวัดอุบลราชธานี อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าเสียดายว่า สถาบันฯ ไม่สามารถดำเนินโครงการดังกล่าวได้ในภาคใต้ อันเนื่องจากความไม่สงบในสามจังหวัดภาคใต้ จึงขอส่งกำลังใจและความห่วงใยให้กับคนไทยและเยาวชนทุกคนในครั้งนี้ด้วย การประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “เยาวชนพลเมือง” ตลอดระยะเวลา 3 วัน 2 คืน ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากทั้งครูและนักเรียนเยาวชนที่มาจากจังหวัดต่างๆ จำนวนทั้งสิ้น 74 คน ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ทั้งครูและนักเรียนได้มีการเตรียมตัวมาอย่างดียิ่ง นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ มีความกระตือรือร้น แข็งขัน และมีวินัย ทำให้การทำงานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เป็นการร่วมมือร่วมใจจากทุกฝ่าย ทั้งสถาบันฯ นักเรียน และคณะครู-อาจารย์ ที่เสียสละเวลาพานักเรียนเข้าร่วมโครงการฯ นายบุญยง จินตนะกุล รองนายกเทศมนตรี เทศบาลเมืองวารินชำราบ การจัดโครงการนี้ นับเป็นปีที่ 4 แล้ว เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาศักยภาพเยาวชนให้สามารถปรับตัว และพัฒนาตนต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมอย่างรวดเร็วตลอดเวลา ซึ่งวิทยากรที่มาให้ความรู้กับเยาวชนในครั้งนี้ได้ให้ข้อสรุปตรงกันว่า เยาวชนเป็นผลผลิตของสังคมที่ผู้ใหญ่สร้าง เราจึงจำเป็นที่จะต้องให้เยาวชนได้เรียนรู้และมีทักษะทางสังคมมากขึ้น นอกจากการเรียนในห้องเรียน การสนใจใฝ่รู้ต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมในหมู่เยาวชน ถือเป็นการเฝ้าระวังภัยที่จะเกิดขึ้นต่อตนเองและสังคม เยาวชนจึงต้องรวมตัวกันศึกษาเรียนรู้และเฝ้ารักษาพื้นที่ถิ่นฐานของตนเอง ถือเป็นการบ่มเพาะจิตสำนึกสาธารณะที่เยาวชนจะได้จากการให้ความเอาใจใส่ต่อสังคม ให้ความรักและความผูกพันต่อถิ่นฐานของตน ความรู้สึกเช่นนี้จะไม่มีทางทำลายสังคมของตนอย่างแน่นอน ซึ่ง นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ได้ยกคำสอนของสมเด็จพระราชบิดาแห่งการแพทย์ไทยว่า ให้ระลึกอยู่เสมอว่า ประการแรกต้องถือเอาประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ 2 ประการที่สอง ต้องถือประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ 1 และขอให้เยาวชนได้ถ่ายทอดแนวคิดจิตสำนึกพลเมืองนี้ไปสู่พื้นที่ทั่วประเทศด้วย อาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ได้กล่าวเสริมถึงพลังนักเรียน นักศึกษา ที่เป็นพลังที่ล้นเหลือที่จะทำอะไรก็ได้ อีกทั้งเป็นวัยที่กล้าคิด กล้าแสดงออก เยาวชนเป็นวัยที่ต้องเรียนรู้และเติบโต การอยู่ในสังคมและเป็นส่วนหนึ่งของสังคมใหญ่ที่มี การเปลี่ยนแปลงสูง เยาวชนต้องเรียนรู้ ต้องกล้าเผชิญกับปัญหาสังคม พร้อมๆ ไปกับการปรับตัวให้ได้ ถือว่าเป็นการพัฒนาตน การมีพัฒนาการเช่นนี้ถือว่าสุดยอดของความเจริญงอกงาม จึงขอให้ผู้ใหญ่ได้เข้าใจวัยรุ่น ถ้าผู้ใหญ่ไม่เข้าใจก็ถือว่าผู้ใหญ่ปรับตัวตามไม่ทันเด็ก ด้วยเหตุนี้ หากสังคมใดสามารถฝึกทักษะชีวิตที่ดี ให้คิดถึงส่วนรวม มีศีลธรรม ให้กับเยาวชนก็จะทำให้สังคมอยู่รอด และรุ่งเรืองต่อไปได้ อาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา คุณปัญญา ทองประเสริฐ ผอ.ส่วนประสานงาน ติดตามและประเมินผล สนง.คณะกรรมการกระจายอำนาจ ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.จ.อ. เทพมงคล เจริญนิช ปลัด อบต.บุ่งหวาย นายพรชัย โควสุรัตน์ นายก อบจ.อุบลราชธานี เยาวชนนำเสนองานกลุ่ม/span> เยาวชนประชุมกลุ่มย่อย ร่วมแสดงความคิดเห็นประชุมกลุ่มย่อย อาจารย์จรัล ดิษฐาอภิชัย กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้กระตุ้นให้เยาวชนไทยรู้จักฝึกฝนเรียนรู้ ไม่ใช่เรียนอย่างเดียวโดยไม่นำไปปฏิบัติ ไม่มีการฝึกฝน ก็จะไม่เกิดประโยชน์ เช่น เรื่องสิทธิมนุษยชน ที่ให้มนุษย์ทุกคนให้ความรัก นับถือคุณค่าของความเป็นคนอย่างเท่าเทียม อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ทำร้ายกัน ให้ทุกคนหวงแหนสิทธิของตน และเคารพในสิทธิของผู้อื่นด้วยในคราวเดียวกัน ก็จะสามารถดำรงตนในสังคมอย่างมีศักดิ์ศรี และมีคุณค่า ทำให้สังคมมีความสุข และมีประโยชน์ร่วมกัน คณะเข้าเยี่ยมชมศูนย์ศิลปวัฒนธรรมกาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ถ่ายรูปที่ระลึกร่วมกัน นอกจากนี้ เยาวชนยังได้ไปศึกษาดูงาน และแลกเปลี่ยนสนทนาว่าด้วยการปกครองท้องถิ่นทุกระดับที่องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลเมืองวารินชำราบ และองค์การบริหารส่วนตำบลบุ่งหวาย ทำให้ได้ความรู้และประสบการณ์อย่างมากมาย อีกทั้งได้ฟังการบรรยายและซักถามในประเด็นเรื่อง “ทำไมต้องกระจายอำนาจ?” จาก คุณปัญญา ทองประเสริฐ ผอ.ส่วนประสานงานติดตามและประเมินผล สนง.คณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ยิ่งทำให้นักเรียนและครูได้รับความรู้-ข้อมูลโดยตรง อย่างเป็นกันเองและสนุกสนานมากยิ่งขึ้น ซึ่งสถาบันฯ ขอขอบคุณวิทยากรทุกท่าน และผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกท่าน ที่ให้ความรู้และการต้อนรับอย่างอบอุ่นยิ่งในครั้งนี้