สิงหาคม 2548 : ปรับ ครม. ทักษิณ 2/2 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ปรับคณะรัฐมนตรี ทักษิณ 2/2 ส่วนคณะกรรมการสรรหากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชุดใหม่ ได้สรรหาบุคคลที่เห็นว่ามีความเหมาะสมจะดำรงตำแหน่ง ป.ป.ช. จำนวน 18 คน เพื่อเสนอให้วุฒิสภาเลือกเหลือ 9 คน นอกจากนี้ รัฐบาลได้ยกร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) บำเหน็จบำนาญ หรือผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของประธาน และรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกรัฐสภา พ.ศ. .... โดยอ้างรัฐธรรมนูญมาตรา 229 ปรับ ครม. ทักษิณ 2/2 เมื่อวันที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ประกาศรัฐมนตรีลาออก 1 ตำแหน่ง คือ นายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคม 2548 และโปรดเกล้าฯ ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี และแต่งตั้งรัฐมนตรี ดังนี้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ พ้นจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง ไปเป็นรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ พ้นจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ไปเป็นรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ยุติธรรม นายจาตุรนต์ ฉายแสง พ้นจากรองนายกรัฐมนตรี ไปเป็น รมว.ศึกษาธิการ นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ พ้นจาก รมช.การต่างประเทศ ไปเป็น รมช.พาณิชย์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน พ้นจาก รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ไปเป็น รมว.แรงงาน นายประชา มาลีนนท์ พ้นจาก รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ไปเป็น รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา นายเนวิน ชิดชอบ พ้นจาก รมช.เกษตรและสหกรณ์ ไปเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ พ้นจาก รมว.คมนาคม ไปเป็น รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.อุตสาหกรรม นายอดิศร เพียงเกษ พ้นจาก รมช.คมนาคม ไปเป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ นายทนง พิทยะ พ้นจาก รมว.พาณิชย์ ไปเป็น รมว.การคลัง นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ พ้นจาก รมว.ยุติธรรม ไปเป็น รองนายกรัฐมนตรี นายสรอรรถ กลิ่นประทุม พ้นจาก รมว.แรงงาน ไปเป็นรมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นายวัฒนา เมืองสุข พ้นจาก รมว.อุตสาหกรรม ไปเป็น รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายกร ทัพพะรังสี พ้นจาก รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายอดิศัย โพธารามิก พ้นจาก รมว.ศึกษาธิการ นายสุวิทย์ คุณกิตติ พ้นจาก รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา เป็น รมว.มหาดไทย นายประวิช รัตนเพียร เป็น รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล เป็น รมว.คมนาคม พล.อ.ชัยนันท์ เจริญศิริ เป็น รมช.คมนาคม กรรมการสรรหาได้ตัวว่าที่ ป.ป.ช.ครบ 18 คน คณะกรรมการสรรหากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชุดใหม่ ที่มี นายศุภชัย ภู่งาม ประธานศาลฎีกา เป็นประธาน ได้ดำเนินการพิจารณาสรรหาบุคคลที่เห็นว่ามีความเหมาะสมจะดำรงตำแหน่ง ป.ป.ช. จำนวน 18 คน จากผู้สมัครทั้งหมด 80 คน โดยผู้ได้รับการเสนอชื่อมีดังนี้ นายประเสริฐ เขียนนิลศิริ อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา นายศิวะ แสงมณี อธิบดีกรมการปกครอง พล.ต.ท.วันชัย ศรีนวลนัด ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นายคัมภีร์ แก้วเจริญ อัยการสูงสุด นายภักดี โพธิศิริ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา นายกุลพัชร์ อิทธิธรรมวินิจ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา นายสุรพล เอกโยคยะ ผู้พิพากษาศาลฎีกา นายไสว จันทะศรี อดีตรองประธานศาลฎีกา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.เกษมชาติ นเรศเสนีย์ ประธานคณะที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม นางสัจจา ศศะนาวิน รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน นายสมศักดิ์ แก้วสุทธิ ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พล.ต.อ.ดรุณ โสตถิพันธุ์ ที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสมโภชน์ กาญจนภรณ์ รองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ พล.ท.พิชาญเมธ ม่วงมณี แม่ทัพภาคที่ 3 นายสันติ บางอ้อ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นายภิรมย์ สิมะเสถียร รองปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นางแน่งน้อย ณ ระนอง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร ทั้งนี้ คณะกรรมการสรรหา ป.ป.ช. จะเสนอรายชื่อทั้ง 18 คน ให้วุฒิสภาพิจารณาเลือกให้เหลือ 9 คน ตามที่กฎหมายกำหนดต่อไป ค้าน พ.ร.ฎ.บำเหน็จบำนาญ รัฐบาลภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ยกร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) บำเหน็จบำนาญ หรือผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของประธาน และรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกรัฐสภา พ.ศ. .... ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 299 ที่ระบุไว้ว่า เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่น ตลอดจนบำเหน็จบำนาญ ขององคมนตรี ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา สาระสำคัญของร่างฉบับนี้ คือ กำหนดให้ ส.ส. ส.ว. ที่สิ้นสุดสมาชิกภาพหรือพ้นจากตำแหน่ง ได้รับบำเหน็จบำนาญตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ โดยการคำนวณบำเหน็จบำนาญดังกล่าว ให้นับย้อนหลังได้ไม่เกินวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นวันที่รัฐธรรมนูญเริ่มบังคับใช้ อาทิ 1) เข้ามารับตำแหน่งเป็นเวลา 2 ปี แต่ไม่ถึง 3 ปี ให้มีสิทธิได้รับบำนาญร้อยละ 20 ของเงินประจำตำแหน่งเดือนสุดท้าย 2) 3 ปีแต่ไม่ถึง 7 ปี ได้บำนาญร้อยละ 30 3) ตั้งแต่ 7 ปีแต่ไม่ถึง 11 ปี ได้รับบำนาญร้อยละ 40 4) ตั้งแต่ 11 ปี แต่ไม่ถึง 15 ปี ได้รับบำนาญร้อยละ 50 5) ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป มีสิทธิรับบำนาญร้อยละ 70 ของเงินประจำตำแหน่งเดือนสุดท้าย ทั้งนี้ ร่างดังกล่าวยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญกำหนดให้การเสนอกฎหมายต้องทำพร้อมกันทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งร่างฉบับนี้เฉพาะฝ่ายนิติบัญญัติ จึงมิได้ครอบคลุมถึงนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี จึงต้องนำเข้าพิจารณาแก้ไขในสมัยประชุมนิติบัญญัติหน้า จากนั้นจึงนำกฎหมาย 2 ฉบับขึ้นทูลเกล้าฯ พร้อมกันต่อไป อนึ่ง ได้มีหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์คัดค้านร่างฉบับนี้ เนื่องจากเห็นว่านักการเมืองส่วนใหญ่มีฐานะพอสมควร จึงไม่สมควรเอาเงินภาษีของประชาชนไปจ่ายบำเหน็จบำนาญแบบเหมารวมโดยไม่ดูสภาพฐานะความเป็นอยู่ที่แท้จริง อีกทั้งเมื่อเทียบตามหลักการในการกำหนดบำเหน็จบำนาญถือเป็นการตอบแทนความดีของชอบให้แก่ข้าราชการที่รับใช้ประเทศต่อเนื่องยาวนาน ซึ่งได้รับเงินเดือนไม่สูง แตกต่างจากนักการเมืองที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งรัฐธรรมนูญมาตรา 299 ไม่ได้บังคับว่า “ต้องมี” หรือ “ต้องทำทันที” แต่ให้พิจารณาตามความเหมาะสม ซึ่งในรัฐธรรมนูญยังมีหลายมาตราที่สำคัญและเร่งด่วน เช่น มาตรา 54 เกี่ยวกับผู้สูงอายุ มาตรา 56 เกี่ยวกับสิทธิในการมีส่วนร่วม มาตรา 57 เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค มาตรา 214 เกี่ยวกับประชามติ ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และผู้นำฝ่ายค้าน เห็นว่ารัฐบาลควรทบทวน และเสนอให้เป็นตั้งกองทุนสงเคราะห์นักการเมืองแทน เพื่อช่วยเหลือนักการเมืองที่มีปัญหาในการดำรงชีพ หรือนักการเมืองอาวุโส เป็นรายๆ ไป