มิถุนายน 2548 : สภาไว้วางใจ “สุริยะ” กรณี CTX สภาผู้แทนราษฎรลงมติไว้วางใจนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กรณีบริหารงานบกพร่องทำให้เกิดการทุจริตการจัดซื้อเครื่อง CTX 9000 ส่วนที่ประชุมรัฐสภาเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม มาตรา 297 วรรค 3 ประเด็นกรรมการสรรหาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) วาระ 2 คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติงบประมาณหมื่นล้านให้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมสงขลา ใน อ.จะนะ จ.สงขลา และเห็นชอบให้ขึ้นเงินเดือนองค์กรอิสระร้อยละ 3 ของฐานเงินเดือนเดิม นอกจากนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้เปลี่ยนวิธีการลงคะแนนการเลือกตั้งท้องถิ่นจากเดิมใช้ปากกาทำเครื่องหมายกากบาท เป็นให้ใช้ตรายางรูปกากบาทประทับแทน และวุฒิสภาเลือกนายปราโมทย์ โชติมงคล เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา เป็นผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา สภาไว้วางใจ “สุริยะ” กรณี CTX สภาผู้แทนราษฎรนัดพิเศษ มีมติ 367 ต่อ 119 เสียง งดออกเสียง 7 เสียง ไว้วางใจนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมา ในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปไม่ไว้วางใจ ในข้อหาบริหารราชการแผ่นดินผิดพลาดจนทำให้เกิดการทุจริตการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดรุ่นซีทีเอ็กซ์ (CTX) 9000 จำนวน 26 เครื่อง เพื่อติดตั้งในสนามบินสุวรรณภูมิ จากบริษัท จีอี อินวิชั่น เทคโนโลยีส์ จำกัด ประเทศสหรัฐอเมริกา มูลค่า 4,300 ล้านบาท กรณีดังกล่าวเกิดจากการที่กระทรวงยุติธรรมและคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา เผยแพร่ข่าวสารผ่านเว็บไซต์ ระบุว่า บริษัท จีอี อินวิชั่น ยอมรับสารภาพและเสียค่าปรับเป็นเงิน 8 แสนเหรียญสหรัฐฯ แลกกับการยุติการดำเนินคดีอาญา ฐานกระทำผิดกฎหมายคอร์รัปชั่นข้ามชาติในกรณีที่มีความเป็นไปได้ว่าคนของบริษัท จีอี อินวิชั่น จ่ายเงินสินบนให้แก่เจ้าหน้าที่และนักการเมืองไทยในการขายเครื่องตรวจวัตถุระเบิด CTX 9000 เพื่อติดตั้งในสนามบินสุวรรณภูมิ โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายสุริยะ ได้ออกมายืนยันว่าการจัดซื้อดังกล่าวโปร่งใส และมอบให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวสรุปผลว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง ทำให้พรรคฝ่ายค้าน สมาชิกวุฒิสภา คณะกรรมาธิการชุดต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการสอบสวนหาข้อเท็จจริง โดยก่อนหน้านี้สมาชิกวุฒิสภา นำโดย พล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย วุฒิสมาชิก (ส.ว.) จ.เชียงใหม่ เป็นแกนนำล่ารายชื่อ ส.ว. ให้ได้ 120 เสียง เพื่อยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเกี่ยวกับการทำงานของรัฐบาลโดยไม่มีการลงมติ ตามมาตรา 187 ของรัฐธรรมนูญ แต่ปรากฏว่ารวบรวมรายชื่อได้เพียง 100 คนเท่านั้น ทำให้ไม่สามารถขอเปิดอภิปรายได้ ร่างแก้ไข รธน. ผ่านวาระ 2 ที่ประชุมร่วมรัฐสภานัดพิเศษ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบด้วยเสียงข้างมากรับหลักการในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 297 วรรค 3 เกี่ยวกับกรรมการสรรหาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในวาระ 2 หลังจากที่คณะกรรมาธิการร่วมสองสภาพิจารณาเสร็จสิ้น และจะลงคะแนนในวาระ 3 ในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ ซึ่งสาระสำคัญของร่างดังกล่าว คือ 1) สัดส่วนจากฝ่ายศาล 3 คน ได้แก่ ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลรัฐธรรมนูญ 2) จากองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญคือ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ให้เลือกกันเองเหลือ 1 คน 3) จากฝ่ายการเมือง 2 คน คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกในสังกัดดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเลือกตัวแทนมา 1 คน และ ส.ส.ของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกในสังกัดไม่ได้เป็นรัฐมนตรีเสนอตัวแทนมา 1 คน 4) จากอธิการบดีสถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่เป็นนิติบุคคลเลือกกันเองให้เหลือ 6 คน หลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทั้งคณะ เป็นเวลา 2 ปี โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ กรณีออกระเบียบเพิ่มค่าตอบแทนในตัวเอง ทำให้ ป.ป.ช. ทั้งคณะลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ จึงต้องดำเนินการสรรหาคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหม่ขึ้น แต่เนื่องจากตามรัฐธรรมนูญมาตรา 297 วรรค 3 กำหนดให้คณะกรรมการสรรหา ป.ป.ช. ต้องมีตัวแทนพรรคการเมืองที่มี ส.ส. จำนวน 5 คน ซึ่งปัจจุบันพรรคการเมืองที่มี ส.ส. มีเพียง 4 พรรคเท่านั้น คือ พรรคไทยรักไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชน รัฐบาลจึงเสนอตัวเป็นเจ้าภาพในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยร่างของฝ่ายรัฐบาลให้แก้ไขในประเด็นเดียวคือ สัดส่วนกรรมการสรรหา ป.ป.ช. ส่วนร่างของพรรคฝ่ายค้านได้เสนอให้แก้ไขสัดส่วนกรรมการสรรหา 3 องค์กรอิสระทั้งหมดในคราวเดียว คือ ป.ป.ช. คณะกรรมการการเลือกตั้ง และศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐสภาให้ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญจำนวน 45 คน ขึ้นพิจารณาโดยยึดร่างของรัฐบาลเป็นหลัก ซุ่มอนุมัติหมื่นล้านสร้างโรงไฟฟ้า อ.จะนะ คณะรัฐมนตรีมีมติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) ก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมสงขลา ใน อ.จะนะ จ.สงขลา บนเนื้อที่ 751 ไร่ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนเป็นการรักษาระดับความมั่นคงของระบบไฟฟ้าภาคใต้ โดยจะใช้เวลาในการก่อสร้าง 4 ปี ตั้งแต่ปี 2548-2551 งบประมาณ 16,908.55 ล้านบาท ซึ่งการดำเนินการก่อสร้างแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1) งานก่อสร้างโรงไฟฟ้าความร้อนร่วม ขนาดกำลังการผลิตประมาณ 700 เมกะวัตต์ ซึ่งจะสร้างเสร็จและสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบได้ในเดือนมีนาคม 2551 2) การก่อสร้างสายส่ง 230 เควี จากโรงไฟฟ้าไปยังสถานีไฟฟ้าแรงสูงหาดใหญ่สองวงจรคู่ระยะทาง 27 กิโลเมตร ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าจะใช้ก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยจากแหล่งพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เป็นเชื้อเพลิงโดยนำน้ำดิบจากคลองนาทับมาใช้ในระบบหล่อเย็นของโรงไฟฟ้า ซึ่งต้องสร้างสถานีสูบน้ำในคลองนาทับ และวางท่อส่งน้ำมายังโรงไฟฟ้า ซึ่งมีความต้องการใช้น้ำประมาณ 38,880 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน อนึ่ง นายบรรจง นะแส ผู้อำนวยการโครงการการจัดการทรัพยากรชายฝั่งภาคใต้ เห็นว่ารัฐบาลไม่เห็นความสำคัญต่อการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ โดยกำลังมัดมือชกด้วยการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขึ้นมาเพื่อรองรับโรงแยกก๊าซ ไทย-มาเลเซีย ทั้งที่การสร้างโรงแยกก๊าซดังกล่าวยังไม่ชัดเจนว่าจะสามารถก่อสร้างได้หรือไม่ เนื่องจากทางขึ้นที่จะวางท่อไปยังโรงแยกก๊าซ พบว่ามีการบุกรุกพื้นที่สาธารณะ ซึ่งเรื่องนี้กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ออกมาระบุชัดเจนว่าเอกสารสิทธิ์ที่ทางบริษัทก่อสร้างเอามายืนยันนั้นเป็นเอกสารสิทธิ์ปลอม นอกจากนี้ยังมีปัญหาการเรียกร้องให้เปิดเผยสัญญา แต่ก็ไม่มีการเปิดเผยแต่อย่างใด อีกทั้งการทำรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เป็นการทำอย่างลับ คนในพื้นที่และคนในจังหวัดสงขลามีจำนวนน้อยที่รู้ว่าจะมีการสร้างโรงไฟฟ้า ส่วนการนำน้ำดิบจากคลองนาทับมาใช้ในโรงไฟฟ้านั้น เนื่องจากคลองนาทับเป็นคลองที่ชาวบ้าน 12 หมู่บ้านใน 2 ตำบล ใช้ประกอบอาชีพการประมงมาโดยตลอด หากมีการนำน้ำขึ้นไปใช้ก็จะมีการปล่อยน้ำร้อนที่เกิดจากกระบวนการหล่อเย็นกลับลงมา ซึ่งคาดว่าหากเป็นเช่นนั้น ไม่เกิน 3 ปี ชาวบ้านจะไม่สามารถประกอบอาชีพการประมงได้เลย เพราะน้ำร้อนจะทำให้พันธุ์สัตว์อ่อนสูญพันธุ์ ดังเช่นที่โรงไฟฟ้าขนอม จ.นครศรีธรรมราช เงินเดือนองค์กรอิสระ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และผลประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ประกอบด้วยประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) โดยมีสาระสำคัญให้ปรับขึ้นค่าตอบแทนให้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวร้อยละ 3 ของฐานเงินเดือนเดิม เพื่อให้ทัดเทียมกับเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี และให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2547 ทั้งนี้ ครม.จะส่งร่างกฎหมายดังกล่าวให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) พิจารณา เพื่อเสนอบรรจุลงระเบียบวาระการประชุมสภาต่อไป เปลี่ยนวิธีลงคะแนนเลือกตั้งท้องถิ่น เมื่อวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา พล.ต.ต.เอกชัย วารุณประภา เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงและเรียกประชุมเจ้าหน้าที่เพื่อกำหนดรายละเอียดวิธีการเลือกตั้งแบบใหม่ ที่จะใช้เลือกตั้งระดับท้องถิ่น ภายหลังจากที่ กกต. มีมติให้ปรับเปลี่ยนวิธีการลงคะแนน จากเดิมใช้ปากกาทำเครื่องหมายกากบาท มาเป็นให้ใช้ตรายางรูปกากบาทประทับแทนเพื่อแก้ปัญหาบัตรเสีย และปัญหาการวินิจฉัยเครื่องหมายกากบาท ที่แตกต่างกัน ในการเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะมีขึ้นในวันที่ 31 กรกฎาคม 2548 จำนวน 3,512 แห่ง ผู้ตรวจการแผ่นดินฯ ครบ 3 คน เมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา ที่ประชุมวุฒิสภา มีมติ 120 เสียง เลือก นายปราโมทย์ โชติมงคล เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา เป็นผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา จากจำนวนผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดินฯ 2 คน คือ นายปราโมทย์ โชติมงคล และ พล.ต.ท.มงคล กมลบุตร หัวหน้าฝ่ายอำนวยการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำให้มีผู้ตรวจการแผ่นดินฯ ครบ 3 คน ตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 196 กำหนด ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินฯ ขณะนี้มีผู้ดำรงตำแหน่งอยู่แล้ว 2 ท่าน คือ พล.อ.ธีรเดช มีเพียร และนายพูนทรัพย์ ปิยะอนันต์ ทั้งนี้ ประธานวุฒิสภาจะนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป