พฤษภาคม 2548 : พิพากษาจำคุก ป.ป.ช. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทั้ง 9 คน ส่วนวุฒิสภามีมติเลือก นายวิสุทธิ์ มนตริวัต อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง เป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) คนใหม่ และเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2548 วงเงิน 50,000 ล้านบาท คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้แปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิต เป็น บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) ทุนจดทะเบียน 60,000 ล้านบาท และเห็นชอบให้ปรับเพิ่มเงินเดือนพนักงาน กฟผ. 8-15% และการประชุมครม.สัญจร จ.บุรีรัมย์ ได้เห็นชอบแผนงานและโครงการการพัฒนา จ.บุรีรัมย์ จำนวน 2,303.912 ล้านบาท พิพากษาจำคุก ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 เสียง ให้ลงโทษจำคุกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทั้ง 9 คน คนละ 2 ปี โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกรณีออกระเบียบเพิ่มเงินค่าตอบแทนให้ตัวเอง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 125 ภายหลังคำพิพากษาคณะกรรมการ ป.ป.ช.ทั้ง 9 คน ได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากตำแหน่ง ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีการสรรหาและเลือกกรรมการ ป.ป.ช.ภายใน 30 วัน หลังจากมีเหตุต้องให้มีการเลือกใหม่ แต่เนื่องจากรัฐธรรมนูญมาตรา 297 กำหนดให้คณะกรรมการสรรหากรรมการ ป.ป.ช.มี 15 คน ประกอบด้วยประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด อธิการบดีมหาวิทยาลัยของรัฐ 7 คน และตัวแทนพรรคการเมืองที่มี ส.ส.ในสภาคัดเลือกกันเองอีก 5 คน แต่ปัจจุบันมีพรรคการเมืองเพียง 4 พรรค ทำให้เกิดแนวคิดแตกต่างกันหลายทาง ทั้งแนวคิดที่จะเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับจำนวนพรรคการเมืองหรือตัดสัดส่วนกรรมการสรรหาจากพรรคการเมืองออกจากการสรรหาองค์กรอิสระทั้งหมด หรือแนวคิดที่จะให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเพื่อหาทางออกให้สามารถปฏิบัติได้ เลือก “วิสุทธิ์” เป็นผู้ว่าฯ สตง.คนใหม่ ที่ประชุมวุฒิสภามีมติ 107 ต่อ 31 เสียง เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา เห็นชอบให้ นายวิสุทธิ์ มนตริวัต อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง เป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) คนใหม่ แทนคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่ากระบวนการสรรหาผู้ว่าการ สตง. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ดำเนินกระบวนการสรรหาผู้ว่าการคนใหม่ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน แล้วเสนอให้วุฒิสภาพิจารณาเลือกดังกล่าว ทั้งนี้ นายสุชน ชาลีเครือ ประธานวุฒิสภา จะเตรียมนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป อนึ่ง ได้มีกระแสคัดค้านการนำชื่อนายวิสุทธิ์ ขึ้นทูลเกล้าฯ ทั้งสมาชิกวุฒิสภาบางส่วน ฝ่ายค้าน รวมถึงนายเสนาะ เทียนทอง ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นแกนนำสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 60 คน ร่วมลงชื่อส่งหนังสือถึงประธานวุฒิสภาขอให้ระงับหรือยุติการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเห็นว่า คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ยังดำรงตำแหน่งอยู่อย่างถูกต้อง วุฒิสภาผ่านร่าง พ.ร.บ.งบกลางปี ที่ประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีมติ 92 ต่อ 10 เสียง เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2548 วงเงิน 50,000 ล้านบาท ที่ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร โดยวุฒิสภาได้ตั้งข้อสังเกตไว้ 6 ข้อ คือ 1) เศรษฐกิจปี 2548 จะขยายตัวลดลง แต่รัฐบาลประมาณการจัดเก็บรายได้ในครึ่งปีหลังของปี 2548 เพิ่มขึ้น 50,000 ล้านบาท และนำมาจัดทำเป็นงบเพิ่มเติมนั้น จึงไม่น่าจะสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน 2) เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น บางรายการไม่ได้ฉุกเฉินหรือจำเป็นอย่างแท้จริงจึงไม่ควรใช้จ่ายงบรายการนี้เพื่อการดำเนินการตามปกติของส่วนราชการที่กำหนดแผนงานไว้ได้ตามปีงบปกติ และงบรายการนี้ไม่ได้แสดงรายละเอียด ทำให้รัฐสภาไม่มีโอกาสพิจารณา 3) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดแบบบูรณาการสำหรับผู้ว่าราชการจังหวัด ควรมีระบบติดตามและประเมินผลการดำเนินงานในปี 2547 ว่าสมประโยชน์คุ้มค่าเพียงใด และควรจัดทำงบแบบบูรณาการในพื้นที่เดียวกันทั่วประเทศ เพื่อให้การใช้จ่ายมีประสิทธิภาพไม่ซ้ำซ้อน 4) ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านหรือชุมชนหรือเอสเอ็มแอล มีลักษณะซ้ำซ้อนกับงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ดังนั้น การดำเนินการจึงต้องรอบคอบ มีกรอบการดำเนินงานที่ตั้งอยู่บนหลักของเหตุผลและระบบคุณธรรม และควรนำระบบสหกรณ์มาประยุกต์ใช้ โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในรูปแบบของการถือหุ้น 5) ค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและความยากจนของประชาชน ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความยากจนได้อย่างยั่งยืน เพราะเป็นงบเอื้ออาทรที่แจกจ่ายให้ประชาชน รัฐบาลควรสนับสนุนให้ประชาชนมีวิธีคิดและพึ่งตนเองได้ 6) เงินอุดหนุนให้ อปท. เพื่อดำเนินการตามมาตรการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง งบของท้องถิ่นมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาประเทศ แต่ในทางปฏิบัติมักจะส่งผลถึงประชาชนน้อย เพราะมีผลประโยชน์แอบแฝง กอปรกับบุคลากรของ อปท.ยังมีศักยภาพในการบริหารงานที่จำกัด ดังนั้น ควรมีการตรวจสอบการใช้งบของ อปท.อย่างเป็นระบบ เป็นขั้นตอน เพื่อให้เกิดการพัฒนาท้องถิ่นอย่างแท้จริง แปรรูป กฟผ. เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ (กนท.) เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2548 ที่เห็นชอบให้แปลงทุนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นทุนเรือนหุ้น และจัดตั้งเป็นบริษัท กฟผ.จำกัด (มหาชน) ทุนจดทะเบียน 60,000 ล้านบาท จำนวน 6,000 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท เพื่อนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ และยังเห็นชอบให้ปรับเพิ่มเงินเดือน 15% สำหรับพนักงาน กฟผ. ในระดับ 1-11 และพนักงานระดับ 12-14 (ผู้อำนวยการฝ่ายขึ้นไป) ให้ขึ้น 8% ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ การปรับเงินเดือนจะมีผลต่อเมื่อ กฟผ. ได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทจำกัดมหาชนเรียบร้อยแล้ว โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2547 อนึ่ง ผู้บริหาร กฟผ. ได้ทำแบบสอบถามพนักงานเกี่ยวกับการแปรรูป กฟผ. ปรากฏว่าพนักงานเกือบ 90% เห็นด้วยที่จะให้มีการแปรรูป ทำให้กระแสการคัดค้านน้อยลง แม้สหภาพรัฐวิสาหกิจ กฟผ. จะยังเคลื่อนไหวให้พนักงานร่วมคัดค้านอยู่ก็ตาม ทุ่มงบแก้ปัญหาน้ำ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นอกสถานที่ หรือ ครม.สัญจร ที่อุทยานประวัติศาสตร์ปราสาทเขาพนมรุ้ง อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบแผนงานและโครงการการพัฒนา จ.บุรีรัมย์ ตามการเสนอของนายพินิจ จารุสมบัติ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมอนุมัติงบประมาณผูกพันข้ามปี 2548-2551 จำนวน 2,303.912 ล้านบาท เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการ โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1. โครงการพัฒนาแหล่งน้ำและจัดการน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร 1,688.15 ล้านบาท ประกอบด้วย 3 แผนงาน ได้แก่ โครงการปรับปรุงแหล่งน้ำเดิม 1,304.60 ล้านบาท โครงการกระจายน้ำให้ทั่วถึง 352.05 ล้านบาท และโครงการฟื้นฟูป่าต้นน้ำที่เสื่อมโทรม 31.5 ล้านบาท 2. โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและคมนาคม 2 โครงการ ใช้งบฯ 615.762 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองพนมรุ้ง 340.90 ล้านบาท และโครงการปรับปรุงถนนบูรณะซ่อมสร้างผิวลาดยาง 14 เส้นทาง 274.862 ล้านบาท โดยในส่วนข้อเสนอเกี่ยวกับโครงการของจังหวัด องค์การบริหารส่วนจังหวัด อำเภอต่างๆ มอบหมายให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปกำหนดไว้ในแผนการบริหารราชการแผ่นดินปี 2549-2552 ของจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อขอรับงบฯ สนับสนุนจากหน่วยงาน งบฯ จังหวัดแบบบูรณาการ และเงินรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังเห็นชอบแนวทางการแก้ปัญหาภัยแล้งในระยะยาวและเร่งด่วนปี 2548-2549 โดยการจัดให้มีระบบประปาหมู่บ้านทั่วประเทศ 14,580 หมู่บ้านในปี 2551 และ การขอเงินกู้เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งของเกษตรกรไร่อ้อยเพื่อทำการขุดบ่อ สระน้ำโรงงานและเจาะบ่อบาดาลของกระทรวงอุตสาหกรรม 46 โรงงาน วงเงิน 3,000 ล้านบาท ในระยะเวลา 3 ปี รวมถึงเห็นชอบข้อเสนอโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งของกระทรวงมหาดไทยวงเงิน 177.78 ล้านบาท ทั้งนี้ ที่ประชุม ครม.ได้มอบให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณไปพิจารณารายละเอียดและนำมาเสนอ ครม.ต่อไป