มีนาคม 2548 : โปรดเกล้าฯ นายกรัฐมนตรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายรัฐบาล 9 ประการต่อที่ประชุมรัฐสภา พรรคประชาธิปัตย์เลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่แทนชุดเก่าที่ลาออก โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ และเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนต่อรัฐบาล 9 แนวทาง นายอานันท์ ปันยารชุน ประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) ได้เสนอรายชื่อคณะกรรมการทั้ง 48 คน ต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อลงนามแต่งตั้ง นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบหลักเกณฑ์การชดเชยค่าเสียหายเพื่อเป็นการเยียวยาให้กับผู้เสียหายกรณีเหตุการณ์ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เป็นจำนวนเงินประมาณ 30 ล้านบาท โปรดเกล้าแต่งตั้งนายกฯ และ ครม. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 และโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดที่ 55 จำนวน 35 คน 37 ตำแหน่ง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 202 และ 201 ของรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 10 และ11 มีนาคมที่ผ่านมาตามลำดับ ดังนี้ 1. นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง 2. พล.ต.ท.ชิดชัย วรรณสถิตย์ เป็นรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย 3. นายจาตุรนต์ ฉายแสง เป็นรองนายกรัฐมนตรี 4. นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย เป็นรองนายกรัฐมนตรี 5. นายพินิจ จารุสมบัติ เป็นรองนายกรัฐมนตรี 6. นายวิษณุ เครืองาม เป็นรองนายกรัฐมนตรี 7. นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 8. พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา เป็น รมว.กลาโหม 10. นายวราเทพ รัตนากร เป็น รมช.คลัง 11. นายไชยยศ สะสมทรัพย์ เป็น รมช.คลัง 12. นายกันตธีร์ ศุภมงคล เป็น รมว.ต่างประเทศ 13.นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ เป็น รมช.ต่างประเทศ 14. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็น รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา 15. นายประชา มาลีนนท์ เป็น รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 16. นางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็น รมว.เกษตรและสหกรณ์ 17. นายเนวิน ชิดชอบ เป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ 18. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็น รมว.คมนาคม 19. นายอดิศร เพียงเกษ เป็น รมช.คมนาคม 20. นายภูมิธรรม เวชยชัย เป็น รมช.คมนาคม 21. นายยงยุทธ ติยะไพรัช เป็น รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 22. นายสุวิทย์ คุณกิตติ เป็น รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 23. นายทนง พิทยะ เป็น รมว.พาณิชย์ 24. นายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน เป็น รมช.พาณิชย์ 25. นายวิเศษ จูภิบาล เป็น รมว.พลังงาน 26. นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช เป็น รมช.มหาดไทย 27. นายสมชาย สุนทรวัฒน์ เป็น รมช.มหาดไทย 28. นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ เป็น รมว.ยุติธรรม 29. นายสรอรรถ กลิ่นประทุม เป็น รมว.แรงงาน 30. นางอุไรวรรณ เทียนทอง เป็น รมว.วัฒนธรรม 31. นายกร ทัพพะรังสี เป็น รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 32. นายอดิศัย โพธารามิก เป็น รมว.ศึกษาธิการ 33. นายรุ่ง แก้วแดง เป็น รมช.ศึกษาธิการ 34. น.พ.สุชัย เจริญรัตนกุล เป็น รมว.สาธารณสุข 35. นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็น รมช.สาธารณสุข และ 36. นายวัฒนา เมืองสุข เป็น รมว.อุตสาหกรรม โปรดเกล้าฯ “โภคิน” เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง 1) นายโภคิน พลกุล ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร และเป็นประธานรัฐสภาโดยตำแหน่ง 2) นายสุชาติ ตันเจริญ ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคไทยรักไทย เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 และ 3) นางลลิตา ฤกษ์สำราญ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคไทยรักไทย เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 เมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา ภายหลังจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเลือกทั้ง 3 คนดำรงตำแหน่งดังกล่าว เมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา แล้วนำขึ้นทูลเกล้าเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย นายกฯ แถลงนโยบาย เมื่อวันที่ 23 มีนาคมที่ผ่าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภาว่า 4 ปีข้างหน้า จะเป็น 4 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่ความมั่นคงยั่งยืนทุกทาง รัฐบาลจะสร้างโอกาสเพื่ออนาคต วางรากฐานใหม่ให้ประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองการปกครอง โดยจะดำเนินนโยบาย 9 ประการ นโยบายขจัดความยากจน โดยในระดับบุคคลจะเน้นการขยายโอกาส การสร้างรายได้ ลดรายจ่าย จะตั้งหน่วยบริการเคลื่อนที่ “คาราวานแก้จน” นโยบายพัฒนาคนและสังคมที่มีคุณภาพ ได้แก่ สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ตั้งคาราวานเสริมสร้างเด็ก เพิ่มคุณภาพของระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า และปฏิรูประบบบริหารจัดการสาธารณสุข ปราบปรามผู้มีอิทธิพลและยาเสพติด ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับผู้มีอายุเกิน 65 ปี ปฏิรูประบบรถโดยสารประจำทางในกรุงเทพฯ พัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนให้ครอบคลุม นโยบายปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้สมดุลและแข่งขันได้ นโยบายบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะมีการกำหนดวิธีการบริหารจัดการทรัพยากรของรัฐและเอกชนภายใต้การมีส่วนร่วมของเอกชนและชุมชนท้องถิ่น เน้นคืนความสมบูรณ์ของดินและน้ำสู่ธรรมชาติ รวมถึงให้มีมาตรการป้องกันและเตือนภัยจากภัยพิบัติธรรมชาติ นโยบายด้านต่างประเทศและเศรษฐกิจต่างประเทศ จะดำเนินนโยบายเชิงรุกยึดหลักปฏิบัติต่อกันอย่างเสมอภาค สนับสนุนให้คนไทยมีบทบาทสำคัญในเวทีสหประชาชาติ และองค์การระหว่างประเทศต่างๆ นโยบายพัฒนากฎหมายและส่งเสริมกิจการบ้านเมืองที่ดี โดยจะยกเลิกกฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน จะพัฒนากฎหมายทั้งระบบให้ทันสมัย พัฒนาระบบราชการอย่างต่อเนื่อง ด้วยการปรับโครงสร้างราชการและนำเทคโนโลยีมาใช้ในการวางแผนและตัดสินใจ รวมถึงการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในวงราชการอย่างต่อเนื่อง นโยบายส่งเสริมประชาธิปไตย และกระบวนการประชาสังคม จะเน้นการมีส่วนร่วมและการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน กระจายอำนาจคืนความเข้มแข็งสู่ท้องถิ่น นโยบายรักษาความมั่นคงของรัฐ จะพัฒนาระบบการป้องกันประเทศที่ได้มาตรฐาน โดยสร้างจิตสำนึกนำภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม รวมถึงร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการพัฒนาป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ และก่อความไม่สงบตามชายแดน นโยบายตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ โดยรัฐบาลขอให้ความเชื่อมั่นแก่รัฐสภาว่ารัฐบาลจะบริหารราชการแผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต มุ่งมั่นที่จะทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศ และมีความเท่าเทียมกันในสังคม โดยยึดประโยชน์สุขของประชาชนเป็นที่ตั้ง “อภิสิทธิ์” เป็นหัวหน้าพรรค ปชป. คนใหม่ ผลการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ชุดใหม่ เมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา แทนชุดเดิมที่ลาออก ปรากฏว่าที่ประชุมใหญ่วิสามัญได้เลือก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ เป็นหัวหน้าพรรค นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ เป็นเลขาธิการพรรค และเลือกรองหัวหน้าพรรค 9 คน คือ 1) นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นรองหัวหน้าพรรค 2) นายวิฑูรย์ นามบุตร ส.ส.อุบลราชธานี 3) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ 4) นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ 5) นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ ส.ส.ตาก 6) นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ 7) นายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.นครศรีธรรมราช 8) นายอลงกรณ์ พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี 9) นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ ส.ส.นครศรีธรรมราช หลังรับตำแหน่ง นายอภิสิทธิ์ ได้แถลงภารกิจเร่งด่วนอันดับแรก คือ ปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และดูแลช่วยเหลือฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสึนามิ โดยจะเร่งลงพื้นที่เพิ่มเติมและสรุปแนวทางเพื่อช่วยรัฐบาลแก้ไขปัญหา ส่วนการปรับปรุงโครงสร้างพรรคนั้นเรื่องที่ต้องรีบทำคือ กระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชน รวมถึงกระตุ้นให้สมาชิกพรรคขับเคลื่อนพรรคไปในทิศทางที่สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองและในโลก คณะกรรมการสมานฉันท์แห่งชาติ นายอานันท์ ปันยารชุน ประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) ได้เสนอรายชื่อคณะกรรมการทั้งชุดมีจำนวน 48 คน ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อลงนามแต่งตั้ง ประกอบด้วยบุคคลผู้มีชื่อเสียงหลากหลายสาขา มีทั้งนักการเมือง ข้าราชการ ผู้นำด้านศาสนา และผู้นำภาคประชาสังคม ทั้งในและนอกพื้นที่ ได้แก่ ศ.นพ.ประเวศ วะสี พล.อ.ณรงค์ เดชอุดม อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 นายพิภพ ธงไชย มูลนิธิเด็ก นายอัมมาร สยามวาลา ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ TDRI นายโคทม อารียา อดีต กกต. นายสุรชัย หวันแก้ว แกนนำนักวิชาการที่เรียกร้องให้มีการตั้งคณะกรรมการชุดนี้ คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ในการเสนอแนะนโยบาย มาตรการ กลไก วิธีการสร้างสมานฉันท์ และสันติสุขในสังคมไทย การศึกษา วิจัย และตรวจสอบสาเหตุและขอบเขตของความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อีกทั้งมีอำนาจหน้าที่ให้การศึกษาและเรียนรู้แก่สาธารณชน ให้ตระหนักถึงผลของความรุนแรง ความเกลียดชัง ความจำเป็นและประโยชน์ของการใช้สันติวิธีในการแก้ปัญหา โดยเคารพความหลากหลายทางสังคม วัฒนธรรม ทั้งนี้ คณะกรรมการชุดนี้ ได้ตั้งกรอบระยะเวลาการทำงานไว้ 9 เดือน ครม.อนุมัติชดเชยตากใบ คณะรัฐมนตรี เห็นชอบหลักเกณฑ์การชดเชยค่าเสียหายเพื่อเป็นการเยียวยาให้กับผู้เสียหายกรณีเหตุการณ์ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547 ตามที่คณะกรรมการเยียวยาตากใบ ที่มี ดร.รุ่ง แก้วแดง รมช.ศึกษาธิการ เป็นประธาน ประมาณ 30 ล้านบาท ซึ่งจะชดเชยให้เป็นกรณีๆ ดังนี้ 1) กรณีผู้เสียชีวิต จำนวน 85 คน รัฐบาลช่วยเหลือรายละ 300,000 บาท 2) กรณีสูญหาย จำนวน 7 ราย รัฐบาลช่วยเหลือรายละ 300,000 บาท แต่ต้องพิสูจน์ว่าสูญหายจริงภายใน 1 ปี 3) กรณีบาดเจ็บสาหัสหรือทุพพลภาพ จำนวน 11 ราย รัฐบาลช่วยเหลือรายละ 80,000 บาท ค่าทำขวัญ 50,000 บาท และจะดูแลรักษาพยาบาลจนหายเป็นปกติ 4) กรณีบาดเจ็บเล็กน้อยจำนวน 59 คน รัฐบาลจ่ายรายละ 20,000 บาท 5) กรณีทรัพย์สินเสียหายและสูญหาย จ่ายรายละไม่เกิน 4,500 บาท ทั้งนี้ รัฐบาลจะมอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสเป็นผู้จ่ายเงินให้แก่ผู้เสียหายโดยตรงต่อไป “อภิสิทธิ์” เสนอ 9 ข้อดับไฟใต้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนต่อรัฐบาล 9 แนวทาง เมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา ในการประชุมรัฐสภานัดพิเศษ เพื่อพิจารณาการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังนี้ ประกาศเลิกเรื่องการแบ่งโซนที่ผูกติดกับการจัดสรรงบประมาณ ขอให้ย้ำบทบาทของกองกำลังในพื้นที่ให้ชัด และรีบทำโครงการพัฒนาทั้งหลายให้เป็นรูปธรรม องค์กรที่จะมาบริหารจัดการปัญหาในพื้นที่จะเป็นองค์กรที่บูรณาการโดยเปิดรับการมีส่วนร่วม ขอให้ผู้รับผิดชอบสูงสุดในองค์กรระดับต่างๆ เป็นพลเรือน แต่อาจมีผู้บังคับบัญชาร่วมเป็นทหาร หรือตำรวจก็ได้ ต้องเยียวยาบาดแผลจากเหตุการณ์อย่างครอบคลุมทุกคนและเสมอภาค ในเรื่องเศรษฐกิจนั้น รัฐบาลจะต้องเร่งสร้างโอกาส โดยคำนึงถึงประเพณี วัฒนธรรม และเงื่อนไขเฉพาะของพื้นที่ ต้องควบคุมและอุดช่องโหว่ปัญหาการค้าขายชายแดนที่ผิดกฎหมาย และมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องมหาศาล การศึกษาจะต้องกระทำควบคู่กันไป 2 ระบบ คือ การศึกษาทั่วไป กับศาสนศึกษา เรื่องของวัฒนธรรม มีทั้งสิ่งที่พึงทำ และไม่พึงทำ ที่ไม่พึงทำหลายเรื่องที่เป็นการปฏิบัติของรัฐ หรือของเจ้าหน้าที่ควรเลี่ยงการกระทบกระเทือนความเชื่อของประชาชนในพื้นที่ ต้องระมัดระวังในการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการต่างประเทศ คณะกรรมการสมานฉันท์ฯ นายกฯ และครม.ต้องเป็นตัวเชื่อมสำคัญระหว่างตัวกรรมการกับหน่วยงานที่ปฏิบัติ และต้องไม่ให้เกิดความสับสน อย่าให้กระบวนการนี้ กลายเป็นความขัดแย้งที่ปรากฏต่อสาธารณะ