เลือกตั้ง : อายุ 18 ปี มีความรับผิดชอบ พลันที่ความโกลาหลปนความวิปโยคโศกเศร้ายังไม่ทันจางหาย และต้องใช้เวลาฟูมฟัก ฟื้นฟูความสูญเสียด้วยพละกำลังทั้งกายและใจจากคนไทยร่วมชาติทุกคนอีกนาน       เสียงปี่เสียงกลองของการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 2 ภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ก็ถึงวาระอีกคำรบหนึ่ง ซึ่งมีกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548       การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นครั้งนี้ ดูจะไม่สับสนวุ่นวายเหมือนเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ที่ใช้ระเบียบ ระบบการเลือกตั้งแบบใหม่ ตามรัฐธรรมนูญใหม่       ครั้งนี้คนไทย นักการเมือง นักเลือกตั้งทั้งหลาย มีประสบการณ์มาแล้ว 4 ปีเต็มๆ อีกทั้งคนไทยโดยทั่วไปก็มีการตื่นตัวสนใจการเมืองมากขึ้น เห็นเรื่องการเมืองเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น       อีกทั้งผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และมีคุณสมบัติตามกฎหมายเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญก็บังคับกลายๆ ว่าเป็นหน้าที่ต้องไปเลือกตั้ง มิเช่นนั้นจะเสียสิทธิอื่นๆ อีกมากมายตามกฎหมาย       การบังคับด้วยกฎหมายว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องไปเลือกตั้งนี่เอง กลายเป็นประเด็นถกเถียงในวงวิชาการยังไม่รู้จบ จะอย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในวันข้างหน้านี้ อยากให้คนไทยตระหนักในสิทธิของตนในการที่จะไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งอย่างอิสระ ปราศจากการชักจูงด้วยทรัพย์สิน เงินทอง ให้มีการใช้เสียงด้วยความรับผิดชอบต่ออนาคตของสังคมประเทศชาติ ก่อนจะไปลงคะแนนเสียงควรที่จะได้มีการศึกษาพิจารณาทั้งพรรค ทั้งคน ดูนโยบายพรรคเป็นหลัก แล้วจึงพิจารณาตัวนักการเมืองที่เสนอตัวมาให้เลือก ขณะนี้มีพรรคการเมืองส่งสมาชิกลงเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ 20 พรรค คือ พรรคชาติไทย หมายเลข 1 พรรคมหาชน หมายเลข 11 พรรคกิจสังคม หมายเลข 2 พรรคประชากรไทย หมายเลข 12 พรรคพัฒนาชาติไทย หมายเลข 3 พรรคไทยช่วยไทย หมายเลข 13 พรรคประชาธิปัตย์ หมายเลข 4 พรรคแรงงาน หมายเลข 14 พรรคประชาชนไทย หมายเลข 5 พรรคชาติประชาธิปไตย หมายเลข 15 พรรคคนขอปลดหนี้ หมายเลข 6 พรรคกสิกรไทย หมายเลข 16 พรรคธรรมชาติไทย หมายเลข 7 พรรคทางเลือกที่สาม หมายเลข 17 พรรคแผ่นดินไทย หมายเลข 8 พรรครักษ์ถิ่นไทย หมายเลข 18 พรรคไทยรักไทย หมายเลข 9 พรรคพลังเกษตรกร หมายเลข 19 พรรคความหวังใหม่ หมายเลข 10 พรรคพลังประชาชน หมายเลข 20 สรุปได้ว่า มีพรรคการเมืองที่ลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้ 20 พรรค มีพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครในบัญชีรายชื่อครบ 10 คน 4 พรรค คือ พรรคชาติไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคไทยรักไทย และพรรคมหาชน ส่วนพรรคใดจะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในเขตใดครบ 400 เขตหรือไม่ เป็นเรื่องของแต่ละพรรค บัตรลงคะแนนจะมี 2 บัตร คือ บัตรเลือกพรรคการเมืองที่มีบัญชีรายชื่อผู้สมัครของแต่ละพรรคตั้งแต่ 5 คน ถึง 100 คน ทั้งนี้ หากพรรคใดได้คะแนนเสียงจากบัตรประเภทนี้เกินกว่าร้อยละ 5 ผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อจะได้รับการเลือกตั้งตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป เรียงตามลำดับหมายเลข หากได้รับน้อยกว่านั้นจะไม่ได้รับการเลือกตั้ง หมายเลขของแต่ละพรรคหมายถึงหมายเลขของผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขต 400 เขตด้วย หากพรรคใดไม่ได้ส่งผู้สมัครในเขตเลือกตั้งใด พรรคนั้นแม้จะมีหมายเลขของระบบบัญชีรายชื่อ และมีหมายเลขในบัตรลงคะแนนก็ห้ามกาในช่องนั้น มิเช่นนั้นจะทำให้เป็นบัตรเสียทันที           อยากเชิญชวนผู้ที่มีอายุ 18 ปี มีสัญชาติไทย ที่ชื่อปรากฏในทะเบียนราษฎร์มีจำนวนประชากรมากถึง 927,313 คน จำนวนเยาวชนเหล่านี้เกิดในช่วงระหว่าง 3 มกราคม 2529 – 2 มกราคม 2530 เป็นผู้ที่จะมีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ ได้ไปใช้สิทธิของตนลงคะแนนเสียงเลือกผู้แทนของตนเป็นครั้งแรก และถือเป็นการแสดงการมีส่วนร่วมทางการเมืองครั้งสำคัญ ในการกำหนดอนาคตและทิศทางของสังคมไทยในอีก 4 ปีข้างหน้าด้วย           การเริ่มใช้สิทธิในครั้งแรกอาจต้องเตรียมตัวหลายเรื่อง ตั้งแต่การตรวจดูรายชื่อว่าตนมีชื่อในการไปใช้สิทธิหรือไม่ ดูแบบฟอร์มใบลงคะแนน เตรียมบัตรประชาชนให้พร้อม นอกจากนั้นก็ศึกษาแนวนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ซึ่งมีออกมาจากแต่ละพรรคมากมายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมืองการปกครอง การต่างประเทศ เศรษฐกิจ สังคม สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม ไปจนถึงการศึกษา เยาวชนอาจพิจารณาเรื่องใกล้ตัว เพื่อง่ายต่อการตัดสินใจ เช่น เรื่องนโยบายการปฏิรูปการศึกษา ต้องดูว่าพรรคการเมืองใดมีนโยบายที่จะบริหารจัดการการศึกษาของชาติในทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง และส่วนรวมมากที่สุด เป็นเรื่องที่เป็นปัญหาใกล้ตัวของเยาวชนที่สุด แล้วค่อยพิจารณานโยบายด้านอื่นๆ ตามไปด้วย           อนึ่ง พึงคำนึงไว้ว่า “การเลือกตั้ง” เป็นวิถีทางหนึ่งตามวิถีประชาธิปไตยเพื่อเป็นหนทางให้ประชาชนให้ออกมาแสดงเจตนารมณ์เพื่อสรรหาผู้แทนไปทำหน้าที่เพื่อปกป้องผลประโยชน์ให้กับส่วนรวม           การจัดทำให้การเลือกตั้งผู้แทนคงความสำคัญและมีความหมายเช่นนี้ ก็ต่อเมื่อผู้เลือกได้รับรู้บทบาทและความสำคัญของตน ต่อการมีส่วนกำหนดทิศทางของการเลือกและรับรู้ต่อชะตากรรมของอนาคตของตนและของประเทศด้วย           ดังนี้ เนื่องเพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม มีสัญชาตญาณอยู่ที่การเลือกเพื่อการดำรงอยู่ หรือเพื่ออยู่รอด การเมืองกับการเลือกตั้งจึงเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจละเลยได้ ด้วยตระหนักว่าเพราะ “การเลือก” สิ่งที่ดี นโยบายที่ดี และคนดี เท่านั้นจึงจะเกิดประโยชน์ต่อสังคมการเมืองของตนและมีผลทำให้ตนเองและสังคมอยู่รอดได้ด้วย           เยาวชนจะต้องเพิ่มการพินิจพิจารณาให้ถ้วนถี่ อ่านและศึกษาทั้งปูมหน้าและปูมหลังของผู้สมัครรับเลือกตั้ง อีกทั้งต้องศึกษาเปรียบเทียบนโยบายของพรรคต่างๆ ให้ชัดเจนถ่องแท้ก่อนถึงวันเลือกตั้ง เพื่อที่จะได้เดินเข้าคูหากาเบอร์ได้ถูกต้องทั้งคน ทั้งพรรค           ทั้งนี้ ถือว่าเป็นการไปใช้สิทธิลงคะแนนเสียงด้วยความรับผิดชอบ มิใช่เพราะด้วยหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้เท่านั้น ทิพย์พาพร ตันติสุนทร