พฤศจิกายน 2547 : รัฐบาลแถลงผลงาน 4 ปี รัฐบาลจัดมหกรรมแถลงผลงาน 4 ปีภายใต้ชื่อ “เหลียวหลังแลหน้า จากรากหญ้าสู่รากแก้ว” และเชิญชวนประชาชนชาวไทยพับนกกระดาษเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพและกำลังใจให้พี่น้องใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนวุฒิสภามีมติแก้ไขร่างกฎหมายเลือกตั้งเรียบร้อยแล้ว คณะรัฐมนตรีอนุมัติขึ้นเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งรวมร้อยละ 80 ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) รวมถึงประธานและรองประธานทั้งของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา เหลียวหลังแลหน้า จากรากหญ้าสู่รากแก้ว รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จัดมหกรรมแถลงผลงาน 4 ปีรัฐบาลภายใต้ชื่อ “เหลียวหลังแลหน้า จากรากหญ้าสู่รากแก้ว” เมื่อวันที่ 6-10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ที่ศูนย์อิมแพค เมืองทองธานี โดยใช้งบประมาณจัดงาน 230 ล้านบาท ซึ่งภายในงานมีการจัดแสดงนิทรรศการผลงานของแต่ละกระทรวง ทบวง กรม โชว์ผลงานโครงการต่างๆ ที่โดดเด่น เช่น บัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค บ้านเอื้ออาทร โครงการส่งเสริมเลี้ยงโคเนื้อ 1 ล้านครอบครัว นอกจากนี้ยังมีศาลาคลายทุกข์ เวทีเสียงประชาชน จำหน่ายสินค้าและบริการ ซึ่งมีประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมงานมากกว่า 850,000 คน งานดังกล่าวได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากพรรคฝ่ายค้าน ว่าเป็นการใช้เงินภาษีของประชาชนมาใช้หาเสียงให้พรรคไทยรักไทย โดยพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคมหาชน ได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ตรวจสอบว่าการจัดงานดังกล่าวขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 147 ที่ห้ามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกระทำการใดๆ โดยไม่สุจริตเพื่อให้ตนเองได้รับเลือกตั้ง หรือไม่ พร้อมแนบหลักฐานที่เป็นหนังสือราชการของกรมส่งเสริมการเกษตรที่ส่งไปยังจังหวัดต่างๆ ระบุเนื้อหาให้เกณฑ์คนมาร่วมงาน โดยใช้งบประมาณของทางราชการ 52 ล้านบาท เป็นค่าจ้างรถรับส่งและจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้แก่ผู้มาร่วมงาน ทั้งนี้ กกต. วินิจฉัยและมีมติว่าการจัดงานดังกล่าวไม่ผิดรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นการจัดงานโดยรัฐบาลตามมติคณะรัฐมนตรีซึ่งชอบด้วยกฎหมาย และการจัดงานเป็นการดำเนินการในช่วงที่ยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ยังไม่มีผู้สมัคร ส.ส. จึงไม่เข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง นกสันติภาพสู่ภาค 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เชิญชวนให้ประชาชนชาวไทยพับนกกระดาษจำนวนรวม 62 ล้านตัว เพื่อนำไปโปรยใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้พี่น้องชาวภาคใต้รู้ว่าคนไทยทั้งประเทศรักและห่วงใย และไม่มีความคิดแตกแยกทางศาสนา ถือว่าคนที่เกิดในผืนแผ่นดินไทยคือคนไทยทุกคน และนกกระดาษยังถือเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ ให้เหตุการณ์ความไม่สงบยุติลง หลังจากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มาอย่างต่อเนื่อง ได้มีนักวิชาการจำนวน 144 คน จาก 18 มหาวิทยาลัย ร่วมกันลงชื่อเสนอให้นายกรัฐมนตรี ทบทวนนโยบายการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และให้ขอโทษประชาชนเนื่องในเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่อำเภอตากใบ จ.นราธิวาส ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 85 คน พ.ต.ท.ทักษิณ นายกรัฐมนตรี จึงได้เชิญตัวแทนนักวิชาการดังกล่าวจำนวน 22 คนเข้าพบเพื่อหารือ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยนักวิชาการเสนอให้ใช้สันติวิธีในการแก้ไขปัญหา และเสนอให้จัดตั้ง “คณะกรรมการสมานฉันท์แห่งชาติ” ขึ้น โดยดึงทุกภาคส่วนของสังคมเข้าร่วมระดมความคิดเห็น เพื่อสร้างนโยบายทางเลือกที่หลากหลายในการแก้วิกฤตดังกล่าว พร้อมทั้งมอบนกกระดาษ 1 ตัวให้นายกรัฐมนตรีเพื่อเป็นตัวแทนสันติภาพ อนึ่ง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชเสาวนีย์แสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทรงย้ำให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าช่วยกันแสดงพลังใจให้ประชาชนใน 3 จังหวัดภาคใต้มีกำลังใจต่อสู้กับความยากลำบากที่กำลังเผชิญอยู่ พร้อมทั้งทรงเรียกร้องความสามัคคีร่วมมือจากทุกฝ่ายมิใช่โยนให้เป็นภาระของรัฐบาลแต่เพียงฝ่ายเดียว วุฒิสภาแก้ กม.เลือกตั้ง ที่ประชุมวุฒิสภามีมติ 118 ต่อ 3 เสียง งดออกเสียง 13 เสียง ไม่ลงคะแนน 2 คน เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) พ.ศ.2541 ตามที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญของวุฒิสภา แก้ไขเพิ่มเติมจากร่างเดิมที่สภาผู้แทนราษฎรเสนอมา ได้แก่ มาตรา 44 จากเดิมห้ามมิให้กระทำการใดๆ ภายใน 60 วัน แก้เป็น 180 วัน ก่อนครบวาระการดำรงตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้งอันเป็นการจูงใจให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้กับตนเองที่เข้าลักษณะผิดกฎหมายซื้อเสียง การจัดเลี้ยง หรือการใช้อิทธิพล มาตรา 94 เกี่ยวกับการยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้กำหนดจำนวนผู้คัดค้านการเลือกตั้งที่เป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจะต้องไม่น้อยกว่า 10 คน และประกาศรายชื่อผู้คัดค้านต่อสาธารณชน กมธ. แก้ไขโดยให้ตัดจำนวนคนยื่นคัดค้านและประกาศรายชื่อผู้คัดค้านออก เป็นให้โอกาสผู้ถูกคัดค้านทราบรายละเอียดข้อเท็จจริงที่เพียงพอแก่การเข้าใจพฤติการณ์ที่ถูกคัดค้าน ทั้งนี้ วุฒิสภาจะส่งร่างดังกล่าว ไปยังสภาผู้แทนราษฎรเพื่อตั้งคณะกรรมาธิการ่วม 2 สภาพิจารณาต่อไป ขึ้นเงินเดือน ส.ส.-ส.ว. เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) 2 ฉบับคือ ร่าง พ.ร.ฎ.เงินประจำตำแหน่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ประธานและรองประธานทั้งของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ที่ให้ปรับเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งขึ้นรวมร้อยละ 80 และร่าง พ.ร.ฎ.บำเหน็จบำนาญหรือประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของประธานและรองประธานทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้าน ส.ส. และ ส.ว. รวมถึงคณะรัฐมนตรี โดยกำหนดสูตรการให้บำเหน็จบำนาญดังนี้ 1) ผู้เป็นสมาชิก ส.ส.และ ส.ว. 2-3 ปีได้บำเหน็จหรือบำนาญร้อยละ 20 ของเงินเดือน 2)สมาชิกภาพ 3-7 ปีได้รับร้อยละ 30 3) สมาชิกภาพ 7-11 ปีได้รับร้อยละ 40 4) สมาชิกภาพ 11-15 ปีได้รับร้อยละ 50 5) สมาชิกภาพ 15-20 ปีรับร้อยละ 60 และ 6) สมาชิกภาพตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปได้รับร้อยละ 70 ทั้งนี้ กฎหมายทั้ง 2 ฉบับให้มีผลบังคับใช้ในการจัดตั้งรัฐบาลชุดหน้าแล้วเสร็จ และให้มีผลย้อนหลังแก่บุคคลที่เป็น ส.ส.และ ส.ว. นับตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2540 ซึ่งเป็นวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน แม้ว่าปัจจุบันบุคคลผู้นั้นจะมีสมาชิกภาพการเป็น ส.ส.และ ส.ว. หรือไม่ก็ตาม นอกจากนี้ ในส่วนคนที่เคยสอบตกแล้วสอบได้ในสมัยต่อมาก็ให้นับรวมอายุการเป็นสมาชิกภาพต่อไปได้ โดยร่างดังกล่าวจะส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบความเรียบร้อย ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย แล้วประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ทันที ไม่จำเป็นต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภา