สิงหาคม 2547 : ผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่ คนกรุงเทพมหานครเลือก นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพ่อเมืองคนใหม่ วุฒิสภาเลือกคณะกรรมการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) 7 คน และเลือกนายสหัส พินทุเสนีย์ ส.ว.สระแก้ว เป็นรองประธานวุฒิสภาคนที่ 2 ต่ออีกสมัย พรรคชาติพัฒนาประกาศยุบไปรวมกับพรรคไทยรักไทย นอกจากนี้ มีผู้ลงสมัครเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแทน นายสุจิต บุญบงการ ที่พ้นวาระจำนวน 11 คน ส่วนนายพูนผล อัศวเหม อดีต ส.ส.จังหวัดสมุทรปราการ ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดว่าจงใจยื่นทรัพย์สินเป็นเท็จ ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปี ผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับคะแนนสูงสุด 911,411 คะแนน ในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา ส่วนอันดับรองลงมา คือ นางปวีณา หงสกุล ได้ 619,039 คะแนน นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้ 334,168 คะแนน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ได้ 165,761 คะแนน และ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ ได้ 135,369 คะแนน การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งมากถึง 2,472,476 คน จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 3,955,855 คน คิดเป็น 62.50% ซึ่งถือว่ามากกว่าครั้งที่ผ่านๆ มา วุฒิสภาเลือก กทช. วุฒิสภาลงมติเลือกผู้ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) 7 คน ประกอบด้วย 1) นายเหรียญชัย เรียววิไลสุข อธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข 2) นายประสิทธิ์ ประพิณมงคลการ ศาสตราจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 3) นายสุชาติ สุชาติเวชภูมิ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ 4) นายเศรษฐพร คูศรีพิทักษ์ อดีตอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข 5) นายสุธรรม อยู่ในธรรม รองศาสตราจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 6) พล.อ.ชูชาติ พรหมพระสิทธิ์ อดีตหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บัญชาการทหารสูงสุด 7) นายอาทร จันทรวิมล อดีตอธิบดีกรมการศึกษานอกโรงเรียน คณะกรรมการ กทช. ตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญมาตรา 40 ที่กำหนดให้มีกรรมการจำนวน 7 คน ทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่และกำกับดูแลการประกอบกิจการโทรคมนาคม ตลอดจนดูแลไม่ให้มีการผูกขาดสัมปทานกิจการโทรคมนาคม อนึ่ง เมื่อเดือนมกราคม 2545 รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ตั้งคณะกรรมการสรรหา กทช. ขึ้นมาหนึ่งชุด โดยคณะกรรมการสรรหาได้เลือกกรรมการ กทช. ขึ้นมาชุดหนึ่งจำนวน 14 คน เพื่อเสนอให้วุฒิสภาเลือกเหลือเพียง 7 คน แต่มีการร้องเรียนต่อศาลปกครองสูงสุดว่ากระบวนการสรรหาไม่มีความโปร่งใส ซึ่งศาลตัดสินว่าเป็นจริงตามคำร้อง ทำให้รายชื่อทั้ง 14 คนเป็นโมฆะ จึงต้องเริ่มกระบวนการสรรหาใหม่ทั้งหมด ซึ่งกว่าจะได้กรรมการ กทช. ชุดนี้ต้องใช้เวลาในการสรรหานานกว่า 2 ปี “ชาติพัฒนา” ยุบรวม “ไทยรักไทย” เมื่อวันที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่ประชุมใหญ่วิสามัญพรรคชาติพัฒนาที่มีนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ เป็นหัวหน้าพรรค มีมติให้พรรคชาติพัฒนายุบไปรวมกับพรรคไทยรักไทย เนื่องจากเห็นด้วยกับแนวนโยบายของรัฐบาล และกระแสความนิยมในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคไทยรักไทย จึงเห็นสมควรให้ยุบพรรคไปร่วมมือทำงานการเมืองกับพรรคไทยรักไทย ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยก็ได้มีมติรับการยุบรวมของพรรคชาติพัฒนาแล้วเช่นกัน ทั้งนี้ พรรคการเมืองทั้งสองจะต้องแจ้งต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง และนายทะเบียนจะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 50 วัน เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคชาติพัฒนาไปรวมกับพรรคไทยรักไทย ตามมาตรา 73 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 และให้โอนสมาชิก ทรัพย์สิน-หนี้สิน ไปเป็นของพรรคไทยรักไทย ตามมาตรา 72 11 ผู้สมัครตุลาการศาล รธน. ศาลรัฐธรรมนูญเปิดรับสมัครบุคคลเพื่อเข้ารับการสรรหาให้เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในสาขาผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์ จำนวน 1 คน ตั้งแต่วันที่ 19-25 สิงหาคมที่ผ่านมา แทน นายสุจิต บุญบงการ ที่พ้นวาระ ปรากฏว่ามีผู้มาสมัครจำนวน 11 คน ประกอบด้วย 1) นายสุจิต บุญบงการ สมัครเข้ามาเป็นตุลาการอีกครั้ง 2) นายวิมุติ บัวจันทร์ ผู้ว่าราชการ จ.สมุทรสาคร 3) นายบุญปลูก ชายเกตุ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน 4) นายธวัชชัย เสถียรนาม ผู้ว่าราชการ จ.ลำพูน 5) นายนพดล เฮงเจริญ เลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญ 6) พล.ต.ท.มงคล กมลบุตร อดีตหัวหน้าฝ่ายอำนวยการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 7) ร.ต.วิจิตร อยู่สุภาพ อดีตเลขาธิการ กกต. 8) นายใจเด็ด พรไชยา รองอัยการสูงสุด 9) นายจรูญ อินทจาร ผู้พิพากษาศาลฎีกา 10) พล.ต.ท.ภิรมย์ บุญรอดพานิช สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ และ 11) นายชัยพร รัตนนาคะ ผวจ.อุดรธานี ทั้งนี้ คณะกรรมการสรรหาจะดำเนินการสรรหาให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน เพื่อส่งรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก 2 คนให้วุฒิสภาเลือกเหลือ 1 คนต่อไป “สหัส” เป็นรองประธานวุฒิฯ อีกสมัย เมื่อวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่ประชุมวุฒิสภาลงคะแนนเลือก นายสหัส พินทุเสนีย์ ส.ว.สระแก้ว เป็นรองประธานวุฒิสภาคนที่ 2 ต่ออีกสมัย ด้วยคะแนน 108 เสียง ชนะ นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว.กทม.ที่ได้ 82 เสียง หลังจากที่ นายสหัส ได้ลาออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2547 เนื่องจากได้ยืนยันเมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่งว่าจะลาออกหากปฏิบัติหน้าที่ครบ 2 ปี “พูนผล” เว้นวรรคการเมือง 5 ปี ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดด้วยคะแนน 13 ต่อ 1 เสียง ว่านายพูนผล อัศวเหม อดีต ส.ส.จังหวัดสมุทรปราการ และอดีตเลขานุการรัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จ และห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ เป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันพ้นจากตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คือตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2544 ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 295