ตุลาคม 2546 : จำคุก “รักเกียรติ” 15 ปี   ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาให้จำคุก นายรักเกียรติ สุขธนะ อดีต รมว.สาธารณสุข 15 ปี ข้อหาเรียกรับสินบนบริษัทยา วุฒิสภาผ่านกฎหมายเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) โดยตรง ส่วนสภาผู้แทนราษฎรรับหลักการร่างกฎหมายเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) โดยตรง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) 7 คนได้หมดวาระลง และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีมติปลด น.พ.ชูชัย ศุภวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เนื่องจากบริหารงานขัดแย้งกับคณะกรรมการสิทธิฯ ส่วนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศผลการเลือกตั้งซ่อมจังหวัดนนทบุรี จำคุก “รักเกียรติ” 15 ปีฐานรับสินบน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาให้จำคุก นายรักเกียรติ สุขธนะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นเวลา 15 ปี เนื่องจากมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 ฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับเงินเพื่อปฎิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ กรณีเรียกรับสินบนจำนวน 5 ล้านบาท จากบริษัท ไทยนครพัฒนา จำกัด และบริษัท ที เอ็น พี เฮลท์ แคร์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายยาและเวชภัณฑ์ให้กับสาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาลของรัฐ แลกเปลี่ยนกับการยกเลิกราคากลางยาตามบัญชีราคายาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2536 เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ทั้งสองบริษัทขายยาในราคาสูงกว่าปกติ ทั้งนี้ ศาลได้ออกหมายจับ นายรักเกียรติ มาลงโทษโดยด่วน เนื่องจากนายรักเกียรติไม่มาฟังคำพิพากษาในวันดังกล่าว โดยไม่สามารถร้องต่อศาลขออุทธรณ์หรือฎีกาได้ อนึ่ง นายรักเกียรติถูกตัดสินคดีนี้เป็นคดีการเมืองที่ 3 โดยคดีแรก ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี โทษฐานจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ ส่วนคดีที่ 2 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งยึดทรัพย์สินจำนวน 233 ล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดินเนื่องจากร่ำรวยผิดปกติ ก่อนจะมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกเป็นเวลา 15 ปี ฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับสินบนในคดีทุจริตจัดซื้อยาดังกล่าวข้างต้น วุฒิสภาผ่านร่างเลือกนายก อบจ. โดยตรง ที่ประชุมวุฒิสภาลงมติ 3 วาระรวดด้วยคะแนน 124 ต่อ 8 เสียง เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) โดยให้คงไว้ตามร่างเดิมของสภาผู้แทนราษฎรไม่มีการแก้ไขแม้แต่มาตราเดียว ซึ่งร่างดังกล่าวมีสาระสำคัญกำหนดให้นายก อบจ.มาจากการเลือกตั้งโดยตรง คุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ. จะต้องจบปริญญาตรีหรือเทียบเท่า อายุไม่ต่ำกว่า 30 ปีและห้ามเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น ทั้งนี้ ร่างดังกล่าวจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศเป็นกฎหมายต่อไป โดยคาดว่าจะมีการเลือกตั้งนายก อบจ. ครั้งแรกประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2547 ซึ่งจะมี อบจ.ครบวาระจำนวน 74 แห่งด้วยกัน สภารับหลักการร่าง กม.เลือกตั้งนายก อบต. สภาผู้แทนราษฎรมีมติในวาระ 2 และ 3 ด้วยคะแนน 340 งดออกเสียง 1 เสียง รับหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญได้พิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมบางประเด็น โดยมีสาระสำคัญ คือ ให้มีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) โดยตรง ซึ่งผู้สมัครเป็นนายก อบต.ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 30 ปี และไม่มีการกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งเนื่องจากต้องการให้นายก อบต.ได้ทำงานราบรื่นและสานนโยบายการพัฒนาพื้นที่ได้ นอกจากนี้ ยังให้ยุบ อบต.ที่มีจำนวนประชากรไม่เกิน 2,000 คน ไปรวมกับ อบต.อื่น หรือหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นที่มีเขตติดต่อกันภายในเขตอำเภอเดียวกัน ทั้งนี้ ร่างดังกล่าวจะเสนอให้วุฒิสภาพิจารณาต่อไป ป.ป.ช.พ้นวาระ 7 คน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จำนวน 7 จาก 9 คน ต้องพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากครบวาระ 4 ปี 6 เดือน หรือกึ่งหนึ่งจากวาระที่กำหนด 9 ปี ตามบทเฉพาะกาลมาตรา 322 ของรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งกรรมการ ป.ป.ช.ที่หมดวาระทั้ง 7 คน ประกอบด้วย 1) นายโอภาส อุรณินท์ 2) พ.ท.กมล ประจวบเหมาะ 3) นายเกริกเกียรติ พิพัฒน์เสรีธรรม 4) นายณัฎฐ์ ศรีวิหค 5) นายประสิทธิ์ ดำรงชัย 6) นายวิรัตน์ วัฒนศิริธรรม 7) นางฤดี จิวาลักษณ์ ทั้งนี้ คณะกรรมการสรรหา ป.ป.ช. จะต้องคัดเลือกผู้สมัครให้ได้จำนวน 2 เท่าหรือ 14 คน แล้วเสนอให้วุฒิสภาพิจารณาคัดเลือกให้เหลือ 7 คน ภายใน 30 วันนับจากวันพ้นวาระ อนึ่ง นายกล้านรงค์ จันทิก เลขาธิการ ป.ป.ช. ได้หมดวาระลงก่อนเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการคัดเลือกของวุฒิสภาจาก 2 ให้เหลือ 1 คน แทนตำแหน่งที่ว่าง โดยผู้ได้รับการเสนอชื่อ 2 คน คือ พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ อดีตรองปลัดกระทรวงยุติธรรม และนายยงยุทธ กปิลกาญจน์ ที่ปรึกษาสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดแรกนี้ ได้รับคัดเลือกจากวุฒิสภาชุดที่มาจากการแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรี (สมัยนายชวน หลีกภัย) ตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่กำหนดให้กรรมการ ป.ป.ช. มีวาระเพียงกึ่งหนึ่งจากที่กำหนดไว้ 9 ปี และเมื่อครบวาระให้ตั้งคณะกรรมการสรรหาจำนวน 15 คน ซึ่งประกอบด้วย 1) ประธานศาลฎีกา 2) ประธานศาลรัฐธรรมนูญ 3) ประธานศาลปกครองสูงสุด 4) อธิการบดีของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่เป็นนิติบุคคลให้เลือกกันเองให้เหลือ 7 คน 5) ผู้แทนพรรคการเมืองทุกพรรคที่มีสมาชิกเป็น ส.ส.พรรคละ 1 คนแล้วเลือกกันเองให้เหลือ 5 คน เมื่อคณะกรรมการสรรหาครบ 15 คน จะเปิดรับสมัครผู้ที่สนใจเป็นกรรมการ ป.ป.ช. จากนั้นคณะกรรมการสรรหาจะคัดเลือกให้เหลือ 2 เท่าของจำนวน ป.ป.ช.ที่หมดวาระ แล้วส่งเรื่องให้วุฒิสภาลงมติเลือกให้เหลือครึ่งหนึ่ง โดยกระบวนการทั้งหมดจะต้องดำเนินการภายใน 30 วัน นับแต่พ้นวาระ “น.พ.ชูชัย” เตรียมร้องศาลปกครองหลังถูกปลด เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้มีมติ 7 ต่อ 3 งดออกเสียง 1 เสียง ให้โยกย้าย น.พ.ชูชัย ศุภวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษชนแห่งชาติ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ผ่านมา 2 ปี ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการสิทธิฯ เนื่องจากบริหารงานภายในขัดแย้งกับคณะกรรมการสิทธิฯ มีการเล่นพรรคเล่นพวกและรับคนมาจากที่เดียวกันเป็นจำนวนมาก จึงมีมติปลดเพื่อให้การบริหารงานมีประสิทธิภาพ หลังมีมติดังกล่าว น.พ.ชูชัย ได้ยื่นหนังสือขอให้ทบทวนคำสั่งต่อประธานคณะกรรมการสิทธิฯ เนื่องจากเห็นว่าไม่มีการสอบสวนหรือให้โอกาสชี้แจง และในคำสั่งไม่ได้บอกเหตุผล ซึ่งถือว่าไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางการปกครอง และยังขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 277 เพราะตำแหน่งเลขาธิการเป็นตำแหน่งที่โปรดเกล้าฯ หากปลดจะต้องมีพระบรมราชโองการ นอกจากนี้การสั่งให้ น.พ.ชูชัย ไปบรรจุเป็นที่ปรึกษาสำนักงานฯ ไม่ถูกต้องเพราะเป็นตำแหน่งทางวิชาการ จึงไม่สามารถบรรจุได้โดยไม่มีการประเมิน แต่การยื่นเรื่องให้ทบทวนดังกล่าวไม่เป็นผล ทั้งนี้ น.พ.ชูชัย จะทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา และจะรวบรวมหลักฐานทั้งหมดไปยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมต่อศาลปกครอง อนึ่ง ได้มีข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้างของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิฯ ได้ทูลเกล้าถวายฎีกาแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะไม่เห็นด้วยกับการปลดดังกล่าว เนื่องจากไม่มีการแจ้งเหตุผลที่ชัดเจนและไม่เปิดโอกาสให้ผู้ได้รับผลกระทบมีโอกาสชี้แจง ทำให้ต้องรวมตัวกันขอความเป็นธรรมในกรณีที่เกิดขึ้น ผลเลือกตั้งซ่อม จ.นนทบุรี คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เขต 3 จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา แทนนายสำเร็จ อัจฉริยะประสิทธิ์ ส.ส.พรรคชาติพัฒนาที่เสียชีวิต ผลปรากฎว่า นางพิมพา จันทร์ประสงค์ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคไทยรักไทย ได้รับเลือกตั้งมาโดยสุจริตด้วยคะแนนทั้งสิ้น 36,966 คะแนน ชนะนายฉลอง เรี่ยวแรง ผู้สมัครจากพรรคชาติพัฒนาซึ่งได้รับ 19,274 คะแนน ทั้งนี้ การเลือกตั้งดังกล่าวมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งทั้งสิ้น 68,971 คน จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 134,972 หรือคิดเป็นร้อยละ 51.1