พฤษภาคม 2546 : 14 ตุลา วันประชาธิปไตย รัฐสภา ได้ลงมติเห็นชอบให้วันที่ 14 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันประชาธิปไตย และให้นำเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 บรรจุในหลักสูตรการศึกษา วุฒิสภาผ่าน พ.ร.ก.ภาษีโทรคมนาคม สภาผู้แทนราษฎรลงมติไว้วางใจรัฐมนตรีทั้ง 5 ที่ถูกฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคล เตรียมประกาศกฎหมายฉีดยาพิษแทนยิงเป้า นอกจากนี้วุฒิสภายังเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ และ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก สภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบร่างกฎหมายตั้งกองทุนเพื่อการสืบสวนคดีอาญา คณะกรรมการสรรหา ป.ป.ช. ได้ผู้เหมาะสมเป็น ป.ป.ช. จำนวน 2 คน เตรียมเสนอให้วุฒิสภาเลือกเหลือ 1 แทน พล.ท.สวัสดิ์ ออรุ่งโรจน์ ที่เกษียณอายุ ส่วนสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้เลือกคณะกรรมการสรรหา กทช. ชุดใหม่ 17 คน และพล.ต.มนูญกฤต รูปขจร ประธานวุฒิสภา ได้ประกาศจะลาออกจากตำแหน่งประธานวุฒิสภา ในวันที่ 4 มกราคม 2547 14 ต.ค. วันประชาธิปไตย รัฐสภา ซึ่งประกอบด้วย สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ได้ลงมติเห็นชอบให้วันที่ 14 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันประชาธิปไตย และให้นำเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 บรรจุในหลักสูตรการศึกษา เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ทราบถึงเหตุการณ์สำคัญของชาติต่อไป ตามญัตติด่วนที่เสนอโดย นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง ส.ส.พรรคไทยรักไทย นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นายวุฒิชัย สงวนวงศ์ชัย ส.ส.พรรคชาติพัฒนา และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ส.ส.พรรคชาติไทย โดยให้เหตุผลว่าเหตุการณ์ 14 ตุลาคม เป็นเหตุการณ์สำคัญที่นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนหลายแสนคนได้ร่วมกันชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ ซึ่งถือว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการเมืองภาคประชาชน ที่มีผลต่อการพัฒนาการเมืองจนมีระบบรัฐสภาต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ จึงเห็นว่าควรกำหนดให้วันดังกล่าวเป็นวันสำคัญของชาติคือ วันประชาธิปไตย วุฒิฯ ผ่าน พ.ร.ก.ภาษีโทรคมฯ วุฒิสภามีมติ 85 ต่อ 50 เสียง ผ่านร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2546 และให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 พ.ศ.2546 ด้วยคะแนนเสียง 90 ต่อ 47 เสียง โดยมีสาระสำคัญคือ ให้เปลี่ยนการจัดเก็บภาษีกิจการโทรคมนาคมจากค่าสัมปทานที่ต้องแบ่งรายได้ให้กับรัฐวิสาหกิจ เช่น การสื่อสารแห่งประเทศไทย บริษัท ทศท.คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และเมื่อเลิกสัญญาจะต้องให้โครงข่าย เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ให้กับรัฐ มาเป็นการจ่ายภาษีสรรพสามิต ในอัตราภาษีสูงสุดไม่เกินร้อยละ 50 แทน สืบเนื่องจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.ก.ทั้งสองฉบับ และเตรียมนำขึ้นทูลเกล้าเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย เพื่อให้มีผลบังคับใช้ แต่ได้มีกลุ่มนักวิชาการ เอ็นจีโอ ส.ว. และส.ส.ฝ่ายค้าน ได้ออกมาคัดค้านร่างดังกล่าว ว่าไม่เข้าข่ายมาตรา 218 ของรัฐธรรมนูญ ที่ระบุให้สามารถออกได้ก็ต่อเมื่อ มีความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อประโยชน์ต่อความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้ยังเห็นว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการกิจการโทรคมนาคม โดยเฉพาะเครือบริษัทชินวัตร ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน จำนวน 113 คน จึงได้เข้าชื่อ ยื่นเรื่องผ่านประธานรัฐสภาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างทั้งสองขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 218 วรรค 1 หรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้ลงมติ 8 ต่อ 6 เสียง วินิจฉัยว่าร่างทั้งสอง ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ โดยให้เหตุผลว่า การตรา พ.ร.ก. เป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ ส่วนเรื่องความจำเป็นเร่งด่วนทางเศรษฐกิจนั้น เห็นว่าสาระของทั้ง 2 ฉบับ มีผลให้การจัดเก็บภาษีจากสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีงบประมาณในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศมากและเร็วขึ้น จึงถือว่าส่งผลดีต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ต่อมาสภาผู้แทนราษฎร ได้พิจารณาร่างทั้งสอง และลงมติเห็นชอบ แล้วได้ส่งให้วุฒิสภาพิจารณา ซึ่งวุฒิสภาได้ลงมติดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ ส.ว.บางส่วนยังยืนยันคัดค้าน และเห็นว่า พ.ร.ก.ทั้งสอง อาจขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 40 ขัดเจตนารมณ์การมีส่วนร่วมของประชาชน และส่งเสริมผลประโยชน์ทับซ้อนของบริษัทเอกชนที่มีครอบครัวและคนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าของ แต่อย่างไรก็ตาม พ.ร.ก.ทั้งสองฉบับได้มีผลบังคับใช้ตามขั้นตอนของกฎหมายแล้ว สภาไว้วางใจ 5 รัฐมนตรี สืบเนื่องจากที่ฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล สภาผู้แทนราษฎรจึงได้เปิดประชุมเพื่ออภิปรายในวันที่ 28-29 พฤษภาคม และมีการลงมติเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา ปรากฏผลดังนี้คือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ได้รับความไว้วางใจ 357 ต่อ 125 เสียง งดออกเสียง 5 ในข้อกล่าวหา ความล่าช้าในโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (สนามบินหนองงูเห่า) และมีการตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษขึ้นมาหักค่าเปอร์เซ็นต์จากโครงการ รวมถึงมีการฮั้วประมูล และเกี่ยวพันการทุจริตโครงการก่อสร้างถนนบางโครงการ นายสรอรรถ กลิ่นประทุม รมว.เกษตรและสหกรณ์ ได้รับความไว้วางใจ 359 ต่อ 126 เสียง งดออกเสียง 5 ในข้อกล่าวหา ความล่าช้าในการสืบสวนกรณี การทุจริตในกระทรวงเกษตรฯ นายปองพล อดิเรกสาร รมว.ศึกษาธิการ ได้รับความไว้วางใจ 359 ต่อ 126 เสียง งดออกเสียง 5 ไม่ลงคะแนน 1 ในข้อกล่าวหา ความล่าช้าในการปฏิรูปการศึกษาโดยเฉพาะการศึกษาภาคบังคับ 12 ปี และการเปลี่ยนชื่อโรงเรียนสระบุรี เป็น “สระบุรีอดิเรกสาร” นายอดิศัย โพธารามิก รมว.พาณิชย์ ได้รับความไว้วางใจ 358 ต่อ 125 งดออกเสียง 5 ในข้อกล่าวหา ไม่สามารถแก้ไขปัญหาการทุจริตการรับจำนำพืชผลการเกษตรได้ น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.เทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร ได้รับความไว้วางใจ 358 ต่อ 125 งดออกเสียง 5 ในข้อกล่าวหา ออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตในกิจการโทรคมนาคม เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจโทรคมนาคมของผู้มีอำนาจในรัฐบาล ซึ่งส่งผลให้ประชาชนเสียประโยชน์ นอกจากนี้ ฝ่ายค้านยังได้ยื่นคำร้องต่อประธานวุฒิสภา เพื่อขอถอดถอนรัฐมนตรี 1 คน คือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ออกจากตำแหน่ง ตามมาตรา 185, 186, 303 และ 304 ของรัฐธรรมนูญ ในข้อหาส่อทุจริตโครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ และการเก็บค่าผ่านทางด่วนมอเตอร์เวย์ ซึ่งวุฒิสภาจะส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการและจะแจ้งผลให้สภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป วุฒิผ่าน กม.ฉีดยาแทนยิงเป้า ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งได้ผ่านขั้นตอนต่างๆ มาถึงขั้นการลงมติของวุฒิสภา ก่อนที่จะประกาศใช้เป็นกฎหมาย ได้ผ่านการลงมติไปในคะแนน 87 ต่อ 6 เสียง เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ที่ผ่านมานี้ สาระสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้ คือ ผู้ที่ถูกตัดสินประหารชีวิตให้เปลี่ยนจากการยิงเป้า มาเป็นการฉีดยาหรือสารพิษเข้าร่างกายให้เสียชีวิตแทน และไม่ให้นำโทษประหารชีวิตและโทษจำคุกตลอดชีวิตมาบังคับใช้กับผู้กระทำผิดที่อายุต่ำกว่า 18 ปี และหากระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ให้เปลี่ยนโทษดังกล่าวเป็นจำคุก 50 ปี หลังจากนำขึ้นทูลเกล้าเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย เพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายแล้ว กระทรวงยุติธรรมจะต้องกำหนดระเบียบหลักเกณฑ์ และวิธีการประหารชีวิต ภายในกรอบของพระราชบัญญัติฉบับนี้ต่อไป ร่าง พ.ร.บ.ลดหย่อนภาษีเลี้ยงดูผู้สูงอายุ วุฒิสภามีมติเอกฉันท์เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ผู้สูงอายุ ที่ผ่านการพิจารณาแก้ไขของคณะกรรมาธิการวิสามัญ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งร่างกฎหมายดังกล่าวมีสาระสำคัญ คือ ผู้อุปการะเลี้ยงดูบุพการีซึ่งเป็นผู้สูงอายุที่ไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ รวมทั้งผู้บริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่กองทุนผู้สูงอายุ มีสิทธินำไปเป็นค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้ นอกจากนี้ ยังให้ลดหย่อนหรือยกเว้นค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวของรัฐแก่ผู้สูงอายุ ทั้งนี้ ร่างดังกล่าวจะนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาอีกครั้ง หากเห็นชอบก็จะประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป แต่หากไม่เห็นชอบจะต้องตั้งคณะกรรมาธิการร่วมขึ้นพิจารณาอีกครั้ง วุฒิผ่าน กม.คุ้มครองเด็ก วุฒิสภาลงมติผ่านร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองเด็ก พ.ศ. ... ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญได้พิจารณาเสร็จแล้ว ด้วยคะแนน 94 ต่อ 4 เสียง เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีสาระสำคัญคือ สามารถตรวจค้นเคหสถานที่ควรเชื่อว่ามีการกักขัง และมีการทารุณกรรมเด็ก โดยไม่ต้องมีหมายค้น และให้ตั้งคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ โดยมีสตรีร่วมเป็นกรรมการไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ทั้งนี้ ร่างดังกล่าวจะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ร่าง กม.กองทุนเพื่อการสืบสวนคดีอาญา สภาผู้แทนราษฎร มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.... ที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมาธิการวิสามัญ ด้วยคะแนน 286 ต่อ 35 เสียง งดออกเสียง 1 เสียง เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยร่างดังกล่าวจะเสนอให้วุฒิสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวมีสาระสำคัญคือ การจัดตั้งกองทุนเพื่อการสืบสวนและสอบสวนคดีอาญา เนื่องจากการสอบสวนคดีอาญาจะมีค่าใช้จ่าย ซึ่งไม่สามารถตั้งงบประมาณไว้ล่วงหน้าได้ โดยกองทุนจะได้รับเงินจาก 1) เงินอุดหนุนจากรัฐบาล 2) การบริจาคเงินและทรัพย์สินจากเอกชนหรือบุคคล 3) เงินเปรียบเทียบปรับคดีอาญาและค่าปรับตามกฎหมายจากเดิมที่นำส่งเป็นรายได้ของแผ่นดิน โดยมีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นประธานคณะกรรมการบริหารกองทุน มีหน้าที่ตรวจสอบบัญชีกองทุนทุกรอบปี และนำผลการสอบบัญชีรายงานต่อสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา คัด 2 คน ชิงกรรมการ ป.ป.ช. คณะกรรมการสรรหากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่มีนายอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ ประธานศาลฎีกา เป็นประธาน ได้ลงคะแนนเลือกผู้เหมาะสมที่จะได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการ ป.ป.ช.จำนวน 2 คน เพื่อเสนอให้ที่ประชุมวุฒิสภาเลือกเหลือเพียง 1 คน แทน พล.ท.สวัสดิ์ ออรุ่งโรจน์ ที่เกษียณอายุ 70 ปี ไปเมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา ผู้ที่ได้รับคัดเลือกทั้งสองคือ พล.ต.ต.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และนายยงยุทธ์ กปิลกาญจน์ อดีตรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งการสมัครเป็นกรรมการ ป.ป.ช.ครั้งนี้มีผู้สมัครทั้งสิ้น 5 คน อนึ่ง ในวันที่ 24 ตุลาคมนี้ จะมีกรรมการ ป.ป.ช.ที่จะหมดวาระลงอีก 7 คน คือ 1) นายโอภาส อรุณินท์ ประธาน ป.ป.ช. 2) นายเกริกเกียรติ พิพัฒน์เสรีธรรม 3) นางฤดี จิวาลักษณ์ 4) นายณัฐ ศรีวิหค 5) พล.ท.กระมล ประจวบเหมาะ 6) นายประเสริฐ ดำรงชัย และ 7 ) นายวิรัตน์ วัฒนศิริธรรม ได้ 17 กรรมการสรรหา กทช. สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้คัดเลือกผู้ที่ดำรงตำแหน่งกรรมการสรรหาคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ครบ 17 คน ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ แทนชุดเดิมที่ลาออก โดยคณะกรรมการสรรหา กทช.ชุดใหม่นี้ ประกอบด้วย พล.อ.อ.สงคราม ฐานะวร รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด นายไพบูลย์ เสียงก้อง รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นางธนนุช ตรีทิพยบุตร รองปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นายวรารักษ์ ชั้นสามารถ ที่ปรึกษากฎหมายกระทรวงพาณิชย์ พล.อ.วินัย ภัททิยกุล เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ นายกอบชัย เดชหาญ หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมโทรคมนาคม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง นายสมชาย จิตะพันธ์กุล หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายเอกชัย แสงอินทร์ คณบดีคณะวิศวกรรมไฟฟ้า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายณรงค์ อยู่ถนอม คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม นายชำนาญ ห่อเกียรติ สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย นายวัลลภ สุระกำพลธร สมาคมวิชาการไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์โทรคมนาคมและสารสนเทศ นายสายัณห์ เชาว์ปรีชา สมาคมเครือข่ายสารสนเทศ นายอนันต์ วรธิติพงศ์ สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทย น.ส.สารี อ๋องสมหวัง ผู้แทนมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค นายไพโรจน์ พลเพชร ผู้แทนสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน นางฉันทนา บรรพศิริโชติ ผู้แทนมูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก นายต่อพงศ์ เสลานนท์ ผู้แทนมูลนิธิคนตาบอดไทย ทั้งนี้ คณะกรรมการสรรหา กทช. ทั้ง 17 คน จะต้องดำเนินการสรรหาผู้เหมาะสมเป็น กทช. จำนวน 14 คน เพื่อเสนอต่อวุฒิสภาคัดเลือกให้เหลือ 7 คนต่อไป อนึ่ง การลาออกของคณะกรรมการสรรหา กทช. ชุดเดิมนั้น เกิดขึ้นภายหลังที่ศาลปกครองสูงสุดได้ตัดสินให้ประกาศรายชื่อผู้รับได้คัดเลือกเป็น กทช. จำนวน 14 คน เป็นโมฆะเนื่องจากกระบวนการสรรหาไม่มีความโปร่งใส ทำให้ต้องเริ่มกระบวนการสรรหาใหม่ทั้งหมด ทำให้คณะกรรมการสรรหา กทช. ชุดเดิมแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกทั้งคณะ “มนูญกฤต” ประกาศลาออก 4 ม.ค.47 เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร ประธานวุฒิสภา ได้ประกาศจะลาออกจากตำแหน่งประธานวุฒิสภา ในวันที่ 4 มกราคม 2547 ภายหลังจากที่มีกลุ่มสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) บางส่วนออกมาเคลื่อนไหวกดดันให้ลาออก โดยให้เหตุผลว่าในวันที่ พล.ต.มนูญกฤต แสดงวิสัยทัศน์ เพื่อสมัครรับเลือกเป็นประธานวุฒิสภาได้กล่าวว่าจะอยู่ในตำแหน่งเพียง 2 ปี แต่เมื่อครบ 2 ปี พล.ต.มนูญกฤต กลับไม่ลาออก ส่วน พล.ต.มนูญกฤต ได้ยืนยันว่าไม่เคยกล่าวเช่นนั้น ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้หลายฝ่ายได้แสดงความไม่เห็นด้วยกับการกระทำของสมาชิกวุฒิสภาที่ออกมาเคลื่อนไหว เนื่องจากทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา