กุมภาพันธ์ 2546 : ปรับ ครม. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง และโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง 5 รัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบผ่านร่างระเบียบว่าด้วยการแต่งตั้งผู้ช่วยรัฐมนตรี จำนวน 30 คน ไปประจำ 20 กระทรวง ส่วนที่เหลืออีก 10 แล้วแต่นายกรัฐมนตรีจะสั่งการ, วุฒิสภาลงมติเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแทน 4 ตำแหน่งที่ว่าง ส่วนศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 8 ต่อ 5 ให้การวินิจฉัยของ ป.ป.ช.ถือเป็นที่สิ้นสุด กรณี นายวีรพล ดวงสูงเนิน อดีตอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์, นอกจากนี้ สภาผู้แทนราษฎรมีมติเอกฉันท์ให้ผ่านร่างกฎหมายการประหารชีวิตโดยการฉีดยาพิษแทนการยิงเป้า โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรีใหม่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง และโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี จำนวน 5 คน เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ตามคำกราบบังคมทูลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ขอปรับปรุงรัฐมนตรีบางตำแหน่งเพื่อความเหมาะสมและเกิดประโยชน์แก่ราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 201 และมาตรา 217 ของรัฐธรรมนูญ โดยมีรายชื่อดังต่อไปนี้ ให้นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช รองนายกรัฐมนตรี พ้นจากตำแหน่ง และแต่งตั้งเป็นรมว.กระทรวงพลังงาน ให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รมว.กระทรวงการคลัง พ้นจากตำแหน่ง และแต่งตั้งเป็น รองนายกรัฐมนตรี ให้ ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ รมช.กระทรวงการคลัง พ้นจากตำแหน่ง และแต่งตั้งเป็น รมว.กระทรวงการคลัง ให้นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.กระทรวงพลังงาน พ้นจากตำแหน่ง และแต่งตั้งเป็น รมว.กระทรวงยุติธรรม ให้ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ รมว.กระทรวงยุติธรรม พ้นจากตำแหน่ง และแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรี ครม.อนุมัติตั้ง 30 ผู้ช่วย รมต. เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ให้ความเห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. 2546 มีสาระสำคัญให้ นายกรัฐมนตรีโดยผ่านความเห็นชอบจาก ครม. สามารถแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี จำนวน 30 คน แยกกันทำงานกระทรวงละ 1 คน ส่วนอีก 10 คน ที่เหลือให้ขึ้นอยู่กับนายกฯ ว่าจะให้อยู่สำนักนายกรัฐมนตรี หรือให้ไปอยู่กระทรวงต่างๆ เพิ่มเติม โดยมีวาระในการดำรงตำแหน่งคราวละ 1 ปี ได้รับเงินเดือน 63,500 บาท และเบี้ยประชุมครั้งละ 300 บาท มีอำนาจหน้าที่ คือ ประสานงานระหว่างนายกรัฐมนตรี และสำนักนายกรัฐมนตรี กับรัฐมนตรี สำนักงานรัฐมนตรีและกระทรวง เป็นผู้แทนรัฐมนตรีในการรับฟังข้อเสนอแนะ ข้อร้องเรียนเกี่ยวกับนโยบายกระทรวง เป็นผู้แทนรัฐมนตรีในการเจรจาเรื่องที่ไม่ก่อให้เกิดพันธะทางกฎหมายผูกมัดรัฐมนตรี กระทรวงหรือราชการ เข้าประชุมแทน หรือเข้าประชุมร่วมกับรัฐมนตรีในการประชุมต่างๆ ของฝ่ายบริหาร โดยได้รับอนุญาตจากประธานในที่ประชุม โดยไม่นับเป็นองค์ประชุม และอาจเสนอความเห็นต่อที่ประชุมได้ แต่ไม่มีสิทธิออกเสียงลงมติ ประสานงานกับข้าราชการประจำ และข้าราชการการเมืองในกระทรวงตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ปฏิบัติหน้าที่แทนรัฐมนตรีในงานพิธีการ หรืองานสังคมที่ไม่ขัดต่อระเบียบทางราชการ ปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ ตามที่นายกฯ หรือรัฐมนตรีมอบหมาย คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว คือ อายุ 35 ปีขึ้นไป จบปริญญาตรี มีประสบการณ์ทำงาน หากเคยรับราชการต้องมีตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้อำนวยการกอง และต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น หากจะเป็นต้องลาออกตำแหน่งเดิม นอกจากนี้ต้องไม่เป็นผู้ต้องห้ามตามมาตรา 109 ของรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ การแต่งตั้งตำแหน่งดังกล่าว จะต้องให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน โดยรัฐมนตรีแต่ละกระทรวงจะเป็นผู้เสนอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณา และอีกส่วนหนึ่งจะเปิดรับสมัครที่สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี จนถึงวันที่ 7 มีนาคมนี้ วุฒิสภาเลือก 4 ตุลาการศาล รธน. วุฒิสภาลงมติเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแทนตำแหน่งที่ว่างจำนวน 4 ตำแหน่ง ตามมาตรา 261 (3) ของรัฐธรรมนูญ โดยผู้ได้รับคัดเลือกแบ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ จำนวน 3 คน คือ 1) นายมานิต วิทยาเต็ม อดีตอธิบดีกรมศุลกากร 2) นายสุธี สุทธิสมบูรณ์ อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี 3) นางเสาวนีย์ อัศวโรจน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์ 1 คน คือ พล.ต.อ.สุวรรณ สุวรรณเวโช อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ มีผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจำนวนทั้งสิ้น 8 คน มาจากสายรัฐศาสตร์ 2 คน และสายนิติศาสตร์ 6 คน ซึ่งวุฒิสภาได้ลงมติเลือกเหลือเพียง 4 คนดังกล่าว โดยวุฒิสภาจะนำรายชื่อผู้ได้รับคัดเลือกทั้ง 4 ขึ้นทูลเกล้าเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยต่อไป ศาล รธน. ยืนตามมติ ป.ป.ช. คดี “วีรพล” ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 8 ต่อ 5 เสียง ยืนยันว่าคำวินิจฉัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ถือเป็นที่สิ้นสุด คณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงฐานความผิดทางวินัยตามที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดได้ ทำให้นายวีรพล ดวงสูงเนิน ต้องพ้นจากตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และต้องคืนเงินเดือนทั้งหมดนับแต่ปลัดสำนักนายกฯ มีคำสั่งไล่ออกจากตำแหน่งอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เมื่อปี 2544 กรณีที่ ป.ป.ช.วินิจฉัยว่า นายวีรพล ดวงสูงเนิน อดีตอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ มีความผิดวินัยร้ายแรงเห็นควรให้ออกจากราชการ ฐานทุจริตการเช่าซื้อคอมพิวเตอร์มูลค่า 12 ล้านบาท แต่คณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) กลับคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช. ให้นายวีรพล มีความผิดไม่ร้ายแรง และเสนอให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้กลับเข้ารับราชการในตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำให้ ป.ป.ช. ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเกี่ยวกับอำนาจในการปฏิบัติหน้าที่ของ ป.ป.ช. ว่าการวินิจฉัยของ ป.ป.ช. ถือเป็นที่สิ้นสุดหรือไม่ตามมาตรา 266 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยและมีมติดังกล่าว ผ่านวาระ 3 กม.ฉีดยาแทนยิงเป้า สภาผู้แทนราษฎรมีมติเอกฉันท์ 353 เสียง เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแก้ไขเสร็จแล้ว ในวาระ 2-3 เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยร่างกฎหมายดังกล่าวมีสาระสำคัญ คือ ให้เปลี่ยนวิธีการลงโทษประหารชีวิตจากการยิงเป้ามาเป็นการฉีดยาสลบแล้วจึงฉีดสารพิษเข้าร่างกายให้เสียชีวิตแทน ทั้งนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวจะนำเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาต่อไป อนึ่ง การพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางคนได้ตั้งข้อสังเกตว่า หากประหารชีวิตโดยฉีดสารพิษจะมีปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมในการทำลายศพหรือไม่ และยังได้เสนอให้มีการจัดทำบัญชีรายชื่อยา และสารพิษที่นำมาใช้ในการประหารชีวิตด้วย