มกราคม 2546 : เรียกคืนเงิน ส.ส. และ ส.ว.สีเทา สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเตรียมทำหนังสือแจ้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และอดีต ส.ส. จำนวน 22 คน และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และอดีต ส.ว. จำนวน 10 คน ให้คืนเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง รวมทั้งผลประโยชน์อย่างอื่น รวมเป็นเงินเกือบ 50 ล้านบาท ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 97 พล.ต.ต.เสกสันต์ อุ่นสำราญ อดีต ผบก.ภ.จังหวัดสระแก้ว ได้รับเลือกเป็น ส.ว.สระแก้วคนใหม่ ป.ป.ช. รับไต่สวนกรณี กกต. ฮั้วซื้อรถกระบะ 55 ล้านบาท คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มีมติตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อตรวจสอบกรณีการสลายม็อบโครงการท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย ส่วนศาลปกครองสูงสุดชี้ขาดว่า การสรรหา กทช. และ กสช. เป็นโมฆะ ทำให้ต้องเริ่มกระบวนการสรรหาทั้งสองคณะใหม่อีกครั้ง นอกจากนี้ ชาวเขมรกว่าพันคนบุกเผาสถานทูต และกิจการร้านค้าของคนไทยในกรุงพนมเปญ รวมทั้งทำร้ายคนไทยได้รับบาดเจ็บหลายคน เรียกคืนเงิน ส.ส. และ ส.ว. สีเทา สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเตรียมทำหนังสือแจ้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และ อดีต ส.ส. จำนวน 22 คน และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และอดีต ส.ว. จำนวน 10 คน เพื่อเรียกเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง รวมทั้งผลประโยชน์อย่างอื่นคืน รวมเป็นเงินเกือบ 50 ล้านบาท เนื่องจากเป็นผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเข้าสู่สภาแล้วถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ (ใบเหลือง) หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง) ในภายหลัง การเรียกเงินคืนดังกล่าวเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 97 ที่ระบุให้ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว. ที่ได้รับเลือกตั้งเข้าสู่สภามาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องคืนเงินประจำตำแหน่ง และผลประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับในขณะเข้าดำรงตำแหน่ง ปัจจุบันสถานะของทั้ง 32 คน มีทั้งที่เป็นและไม่ได้เป็น ส.ส. และ ส.ว. เนื่องจากบางคนได้ใบเหลือง จึงลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมและได้กลับเข้ามาเป็น ส.ส. และ ส.ว. อีกครั้ง ส่วนผู้ที่ได้ใบแดง ทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่งและต้องคืนเงินเดือนเช่นกัน โดยการเรียกเงินคืนจะเริ่มนับจากวันที่เข้าดำรงตำแหน่งจนถึงวันที่ กกต. ประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่ต่างกัน ทำให้จำนวนเงินเรียกคืนแต่ละคนไม่เท่ากัน ทั้งนี้ ส.ส. และ ส.ว. บางส่วนไม่เห็นด้วยกับการเรียกคืนเงินดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าไม่ใช่ความผิดของตน อีกทั้งไม่สามารถหาเงินมาคืนได้ และจะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าต้องคืนเงินดังกล่าวหรือไม่ ผลเลือกตั้งซ่อม ส.ว. สระแก้ว คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงผลการเลือกตั้งซ่อมสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จังหวัดสระแก้ว อย่างไม่เป็นทางการเมื่อวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมา แทน พล.ท.โกวิทย์ พัฑฒฆายน ส.ว.สระแก้ว ที่ถึงแก่กรรมด้วยโรคหัวใจ ปรากฏว่า พล.ต.ต.เสกสันต์ อุ่นสำราญ อดีต ผบก.ภ.จังหวัดสระแก้ว และเป็นนายตำรวจคนสนิทของนายเสนาะ เทียนทอง ที่ปรึกษาพรรคไทยรักไทย เป็นผู้ได้รับคะแนนสูงสุดจำนวน 107,759 คะแนน โดยมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 182,740 คน จากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 376,650 คน คิดเป็น 48.52% ทั้งนี้ หากไม่มีผู้ร้องเรียนหรือคัดค้านผลการเลือกตั้ง กกต. คาดว่าจะประกาศผลอย่างเป็นทางการภายใน 1 เดือน ป.ป.ช. สอบ กกต. ฮั้วซื้อรถกระบะ 55 ล้านบาท คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ลงมติ 5 ต่อ 4 เสียง ให้รับเรื่อง กรณี ร.ต.วิจิตร อยู่สุภาพ เลขาธิการ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อนุมัติจัดซื้อรถกระบะประจำ กกต. จังหวัด จำนวน 75 คัน มูลค่า 55 ล้านบาท จากบริษัท อีซูซุ สยามซิตี้ จำกัด ไว้สอบสวนว่ากระทำผิด พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 หรือ พ.ร.บ. ฮั้ว หรือไม่ หลังจากที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตรวจสอบพบความผิดปกติในการจัดซื้อรถดังกล่าว โดยเห็นว่าอาจทำผิดกฎหมายในลักษณะเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท อีซูซุฯ เนื่องจากในวันเปิดซองประมูล บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ประเทศไทย จำกัด เป็นผู้เสนอราคาต่ำที่สุด อันดับสอง คือ บริษัท อีซูซุฯ แต่หลังจากเปิดซองแล้ว บริษัท อีซูซุฯ ได้ขอปรับราคาลงต่ำกว่าคู่แข่ง โดย กกต. ก็ได้อนุมัติซื้อรถของบริษัท อีซูซุฯ ทั้งที่การเสนอราคาดังกล่าวไม่เป็นธรรมกับผู้เสนอราคารายอื่น โดย กกต. อ้างว่า รถกระบะโตโยต้าสิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่า อะไหล่ การซ่อมบำรุงราคาสูงกว่า ซึ่ง สตง. เห็นว่าเป็นการส่อเจตนาไม่สุจริต สตง. จึงส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. และ กกต. ในฐานะต้นสังกัดพิจารณาไต่สวนกรณีดังกล่าว ซึ่ง ป.ป.ช. ได้ลงมติรับเรื่องไว้พิจารณาแล้ว ส่วน กกต. ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป ตั้งอนุกรรมการตรวจสอบการสลายม็อบโครงการท่อก๊าซฯ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้มีมติตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาและตรวจสอบกรณีเหตุการณ์รุนแรงจากการสลายการชุมนุมของผู้คัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซและสร้างโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2545 ที่หน้าโรงแรมเจบี อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยมี น.พ.ประดิษฐ์ เจริญไทยทวี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นประธานคณะอนุกรรมการฯ คณะอนุกรรมการฯ ดังกล่าวตั้งขึ้นเนื่องจาก นายบรรจง นะแส 1 ใน 12 แกนนำคัดค้านโครงการฯ ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม ได้ยื่นหนังสือและเอกสารรายละเอียดพร้อมหลักฐานต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อขอให้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งหลักฐาน ได้แก่ เทปบันทึกภาพตั้งแต่เริ่มชุมนุมจนกระทั่งเกิดการปะทะกันของทั้งสองฝ่าย อนึ่ง เมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา พนักงานอัยการจังหวัดสงขลา มีความเห็นสั่งฟ้อง 12 ผู้ต้องหาเพิ่มจาก 4 เป็น 6 ข้อหา คือ 1) มั่วสุมทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองโดยมีอาวุธ 2) ไม่เลิกมั่วสุมตามคำสั่งของเจ้าพนักงานซึ่งสั่งการตามอำนาจที่กฎหมายให้ไว้ 3) ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร, ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยมีและใช้อาวุธและร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป 4) ร่วมกันทำร้ายเจ้าพนักงาน ซึ่งกระทำการตามหน้าที่ 5) ร่วมกันทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า ทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ 6) พกอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันสมควร สรรหา กทช. และ กสช. เป็นโมฆะ ศาลปกครองสูงสุดชี้ขาดว่า ประกาศรายชื่อผู้ได้รับการเสนอเป็นกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) และกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์แห่งชาติ (กสช.) ทั้งสองคณะ จำนวนคณะละ 14 คน ที่จะนำเสนอให้วุฒิสภาเลือกเหลือเพียงคณะละ 7 คนในขั้นสุดท้ายนั้น เป็นโมฆะ เมื่อวันที่ 10 และ 13 มกราคมที่ผ่านมา ตามลำดับ เนื่องจากกระบวนการสรรหาทั้งสองไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอน ไม่ได้มาตรฐาน และไม่เป็นธรรม ทำให้ต้องเริ่มกระบวนการสรรหาทั้งสองคณะใหม่อีกครั้ง กรณีที่นายประมุท สูตะบุตร ผู้สมัครรับคัดเลือกเป็นกรรมการ กทช. และนายพิทยา ว่องกุล ผู้สมัครรับคัดเลือกเป็นกรรมการ กสช. ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองให้พิจารณาว่ากระบวนการสรรหามีความโปร่งใสหรือไม่ ซึ่งศาลปกครองชั้นต้นได้พิพากษาว่ากระบวนการสรรหาของทั้งสองคณะไม่โปร่งใส ต่อมาคณะกรรมการสรรหาทั้งสองคณะได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ซึ่งศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาดังกล่าว เผาสถานทูตไทยในกัมพูชา เมื่อวันที่ 29 มกราคมที่ผ่านมา ชาวกัมพูชาจำนวนกว่าพันคนได้ประท้วงและบุกเผาทำลายสถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา และยังเผาทำลายธุรกิจร้านค้า โรงแรมของคนไทย รวมทั้งขโมยทรัพย์สิน และทำร้ายคนไทยที่อยู่ในกัมพูชาได้รับบาดเจ็บหลายคน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งให้จัดส่งเครื่องบินของกองทัพอากาศพร้อมหน่วยคอมมานโดและหน่วยรบพิเศษของกองทัพบกไปรับคนไทยที่อาศัยอยู่ในกัมพูชากลับมาโดยด่วนที่สุด พร้อมทั้งลดความสัมพันธ์เหลือแค่ระดับอุปทูต โดยเรียกตัวเอกอัครราชทูตไทยกลับประเทศ และส่งตัวเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยกลับเช่นกัน นอกจากนี้ ยังให้กัมพูชาจับผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้ และให้ชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดแก่ประเทศไทย ทั้งนี้ การตัดสินใจดังกล่าวของนายกรัฐมนตรี สร้างความพึงพอใจแก่คนไทย รวมทั้ง นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และผู้นำพรรคฝ่ายค้าน ยังได้ออกมาแสดงความชื่นชมนายกรัฐมนตรีว่าตัดสินใจเด็ดขาดและถูกต้องแล้ว กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากชาวกัมพูชาไม่พอใจข่าวที่ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รัศมี อังกอร์ ของกัมพูชา ว่า น.ส.สุวนันท์ คงยิ่ง ดาราดังของไทย ได้ให้สัมภาษณ์ดูหมิ่นชาวกัมพูชาในรายการโทรทัศน์ของไทยว่า เกลียดประเทศกัมพูชา เพราะขโมยนครวัดไปจากไทย ซึ่ง น.ส.สุวนันท์ ได้ออกมาชี้แจงว่าไม่เคยให้สัมภาษณ์ดังกล่าว แต่เหตุการณ์กลับลุกลามมากขึ้น เนื่องจากมีการปล่อยข่าวว่าคนกัมพูชาและทูตกัมพูชาในไทยถูกฆ่า อีกทั้งชาวกัมพูชาเชื่อว่าหนังสือพิมพ์ของเขาไม่โกหก หลังเหตุการณ์สงบลง รัฐบาลกัมพูชาได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และจะชดใช้ค่าเสียหายให้ไทยอย่างไม่มีเงื่อนไข พร้อมทั้งจะเร่งหาตัวคนผิดมาลงโทษ โดยให้ไทยร่วมเป็นกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริง ส่วนบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์รัศมี อังกอร์ ได้ออกมายอมรับผิดว่าการลงข่าวดังกล่าวไม่มีการตรวจสอบยืนยันข้อมูลที่แท้จริงก่อน จึงเป็นชนวนทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น