สิงหาคม 2545 : สภาฯ คว่ำกฎหมาย อบต. สภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่รับร่าง พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และรับหลักการร่าง พ.ร.บ.ปฏิรูปการศึกษา คณะกรรมการ ป.ป.ช.ลงมติว่า นายพิเชษฐ สถิรชวาล รมช.อุตสาหกรรม จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน จำนวน 48 ล้านบาท ส่วนศาลฎีกา มีมติเห็นพ้องกับ กกต.ว่า นายศักดิ์ชัย และนางอุดร จินตะเวช ผู้สมัครลงรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส. จ.อุบลราชธานี จากพรรคชาติไทย ไม่มีสิทธิลงสมัครได้ คณะกรรมการสรรหา กกต. เตรียมเสนอชื่อ 2 ผู้ได้รับเลือกให้วุฒิสภาพิจารณาเลือกเพียง 1 กกต. รับรอง นายถวิล ไพรสณฑ์ เป็น ส.ว. จ.นครศรีธรรมราช คนใหม่ ส่วนนายสหัส พินทุเสนีย์ ส.ว. จ.สระแก้ว ได้รับเลือกให้เป็นรองประธานวุฒิสภาคนที่ 2 แทนนายบุญทัน ดอกไธสง ที่ลาออกไป นอกจากนี้ วุฒิสภามีมติ ผ่านร่าง พ.ร.บ.ประกันสุขภาพแห่งชาติ สภาฯ คว่ำ พ.ร.บ. อบต. สภาผู้แทนราษฎร มีมติไม่รับร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่) พ.ศ. ... ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมาธิการร่วม 2 สภา ด้วยคะแนนเสียง 295 ต่อ109 เสียง เมื่อวันที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ร่างกฎหมายดังกล่าวต้องตกไป ทั้งนี้ รัฐบาลสามารถหยิบยกร่างเดิมของสภาผู้แทนราษฎรขึ้นมายืนยันภายใน 180 วัน เพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป สาเหตุที่ไม่เห็นด้วยเนื่องจากมีการแก้ไขในหลักการ โดยเฉพาะประเด็นที่ให้ประชาชนสามารถเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ได้โดยตรง โดยให้เหตุผลว่าจะทำให้รัฐเสียค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งจำนวนมาก เพราะมี อบต.ทั้งหมด 7,000 แห่ง ต้องใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายดังกล่าวยังไม่รวมถึงกรณี กกต.ให้ใบเหลืองหรือใบแดง และประเด็นที่ นายก อบต.สามารถแต่งตั้งผู้ที่ไม่ใช่สมาชิก อบต.หรือไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นเลขานุการได้ไม่เกิน 2 คนหลังจากสภาฯ มีมติดังกล่าว เครือข่ายสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ทั่วประเทศ ได้ยื่นหนังสือถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อให้ทบทวนร่างกฎหมายดังกล่าวอีกครั้ง เนื่องจากเห็นว่าการที่รัฐบาลคว่ำ พ.ร.บ.ดังกล่าวแสดงถึงการหวงอำนาจ ไม่ต้องการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นและเห็นว่าร่างดังกล่าวส่งเสริมให้ท้องถิ่นมีความเข้มแข็ง พึ่งตนเองได้ ซึ่งหากภายในวันที่ 4 กันยายนนี้นายกรัฐมนตรียังไม่ชี้แจงถึงเหตุผลการคว่ำร่างกฎหมายฉบับนี้ อบต.ทั่วประเทศจะเดินทางมาชุมนุมใหญ่ที่หน้ารัฐสภา สภารับร่าง พ.ร.บ.ปฏิรูปการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร มีมติเอกฉันท์รับหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) 3 ฉบับ เมื่อวันที่ 14-15 สิงหาคม ที่ผ่านมา คือ ร่าง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกระทรวงการศึกษา ร่าง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา และ ร่าง พ.ร.บ.สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรีร่างกฎหมายทั้ง 3 ฉบับนี้ เป็นกฎหมายสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปการศึกษาซึ่งออก ตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทที่กำหนดไว้ จำนวน 23 ฉบับ โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับ การปรับเปลี่ยนระบบโครงสร้างกระทรวงใหม่ การส่งเสริมมาตรฐานและพัฒนาวิชาชีพครู ตลอดจนการพัฒนาบุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งขั้นตอนการคัดเลือกครู เงินเดือน และสวัสดิการครู ตลอดจนบทลงโทษ อนึ่ง ได้มีผู้เสนอร่าง พ.ร.บ.ในลักษณะเดียวกัน จำนวนทั้งสิ้น 4 ฉบับ คือ ร่างของ นายวิจิตร ศรีสะอ้าน ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ร่างของนายวุฒิชัย สงวนวงศ์ชัย และนายสมชัย ฉัตรพัฒนศิริ จากพรรคชาติพัฒนา ร่างของ น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา และนายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ จากพรรคชาติไทย และร่างของคณรัฐมนตรี ภายหลังจากที่สภาได้มีมติรับหลักการ แล้วจะมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญจำนวน 35 คน แปรญัตติภายใน 15 วัน โดยใช้ร่างของรัฐบาลเป็นหลัก “พิเชษฐ” จงใจยื่นบัญชีเท็จ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีมติเอกฉันท์เมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา ว่า นายพิเชษฐ สถิรชวาล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จงใจยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ หรือจงใจปกปิดข้อเท็จจริง ที่ควรแจ้งให้ทราบในรายการหนี้สินจำนวน 48 ล้านบาท หลังจากที่ นายพิเชษฐ ได้แสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ต่อ ป.ป.ช. รวมจำนวน 9 ครั้ง ป.ป.ช.ตรวจสอบพบว่า นายพิเชษฐ มีหนี้สิน อีกจำนวน 48 ล้านบาท ที่ไม่ได้แสดง โดยเมื่อปี 2539 ศาลฎีกาพิพากษา ให้นายพิเชษฐ และลูกหนี้อีก 4 คน ร่วมกันชดใช้หนี้ ให้แก่ ธนาคารเครดิต อะกริกอล อินโดสุเอซ ในฐานะผู้ค้ำประกัน เป็นจำนวน 48 ล้านบาท ซึ่งนายพิเชษฐ ให้เหตุผลว่า สาเหตุที่ไม่ได้แจ้งหนี้สินดังกล่าวเนื่องจากเป็นลูกหนี้ร่วม โดยไม่ทราบว่า จะต้องใช้หนี้ที่แท้จริงจำนวนเท่าใด จึงไม่แจ้งต่อ ป.ป.ช. และถ้าแจ้งก็เกรงว่าจะเสียรูปคดี ซึ่ง ป.ป.ช.เห็นว่านายพิเชษฐ ทราบว่ามีหนี้สินแล้ว แต่ไม่ใส่ในหมายเหตุจึงส่อเจตนาปกปิดบัญชีหนี้สิน หลังคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดังกล่าว รัฐธรรมนูญกำหนดให้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 295 ว่าด้วยเรื่องการให้พ้นจากตำแหน่งและห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เช่นเดียวกับกรณีของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ศาลฎีกาชี้ขาดตัดสิทธิผู้สมัครเลือกตั้งซ่อม จ.อุบลราชธานี ศาลฎีกาชี้ขาดเห็นพ้องกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ตัดสิทธิ นายศักดิ์ชัย และนางอุดร จินตะเวช ผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคชาติไทย ไม่ให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. จ.อุบลราชธานี เขต 10 ในวันที่ 8 กันยายนนี้ เนื่องจากฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 108 ว่าด้วยการที่พรรคการเมืองสามารถส่งผู้สมัครได้เพียงเขตละ 1 คนเท่านั้น หลังจากที่ กกต.ได้ประกาศให้มีการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. จ.อุบลราชธานี ใหม่ แทน นายวิทยา บันทุปา ส.ส.อุบลราชธานี ที่ถูกใบเหลือง เนื่องจากมีหลักฐานเชื่อว่าได้กระทำการทุจริตการเลือกตั้งนั้น ภายหลังการเปิดรับสมัคร นายศักดิ์ชัย จินตะเวช ผู้สมัครจากพรรคชาติไทย ซึ่ง กกต.ได้เคยมีมติเพิกถอนสิทธิการลงสมัครรับเลือกตั้ง หรือให้ใบแดง ไปเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2544 และเพิ่งพ้นกำหนดการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ได้ 1 ปี ตามกฎหมายกำหนด เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากนายศักดิ์ชัย ถูกใบแดง จึงต้องพ้นจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองนั้น โดยเมื่อลงสมัครจึงเป็นสมาชิกพรรคได้ไม่ถึง 90 วัน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 107 กำหนด และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง มาตรา 85/1 วรรค 4 ยังระบุว่า หาก กกต.มีคำสั่งเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งผู้สมัครคนใดแล้ว ให้พิจารณาดำเนินคดีอาญาแก่ผู้สมัครผู้นั้นด้วย ซึ่งคดีของนายศักดิ์ชัย กำลังอยู่ในขั้นดำเนินการทางอาญา จึงทำให้นายศักดิ์ชัยมีคุณสมบัติไม่ครบ พรรคชาติไทยจึงยื่นหนังสือถึง กกต.เพื่อถอนตัวนายศักดิ์ชัย ออกจากการลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้ โดยส่ง นางอุดร จินตะเวช ภรรยาของนายศักดิ์ชัย ลงสมัครแทน แต่ไม่สามารถจะถอนชื่อนายศักดิ์ชัยได้ เนื่องจากกฎหมายห้ามผู้สมัครรับเลือกตั้งถอนตัว แม้จะพบว่าได้ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งก็ตาม ดังนั้น ทั้งนายศักดิ์ชัยและนางอุดร จังยังคงสภาพผู้สมัครรับเลือกตั้ง ซึ่ง กกต. วินิจฉัยแล้วเห็นว่าการกระทำดังกล่าวขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 108 จึงตัดสิทธิผู้สมัครทั้งสอง ผู้สมัครทั้งสองได้ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาในเรื่องที่ถูก กกต.ตัดสิทธิ แต่ศาลฎีกามีคำสั่งยกฟ้องคำร้องดังกล่าว จึงทำให้ทั้งสองไม่สามารถลงสมัครได้ สรรหา กกต.ใหม่ คณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ลงคะแนนเลือกผู้เหมาะสมดำรงตำแหน่ง กกต. จำนวน 1 คน คือ พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก จากผู้สมัครที่มีคุณสมบัติครบตามกฎหมายกำหนดจำนวน 24 คน นอกจากนี้ ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาประกอบด้วยผู้พิพากษา 81 คน ได้เสนอชื่อผู้เหมาะสมอีก1 คน คือ นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา โดยผู้ได้รับการเสนอชื่อทั้งสองจะนำเสนอต่อที่ประชุมวุฒิสภา เพื่อคัดเลือกเหลือเพียงคนเดียว จากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากระบวนการสรรหาคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในรอบที่ 6 และ 7 ขัดรัฐธรรมนูญ ทำให้ พล.อ.ศิรินทร์ ธูปกล่ำ ประธาน กกต.ต้องพ้นจากตำแหน่ง และให้มีการสรรหาใหม่ โดยคณะกรรมการสรรหา กกต.จะคัดเลือกจากผู้สมัคร จำนวน 1 คน และศาลฎีกาเสนอชื่อผู้เหมาะสมอีก 1 คน แล้วเสนอชื่อทั้ง 2 ให้วุฒิสภาพิจารณาคัดเลือกเหลือเพียงคนเดียว กกต.รับรองผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ว.นครศรีธรรมราช คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเอกฉันท์รับรอง นายถวิล ไพรสณฑ์ เป็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จ.นครศรีธรรมราชแทนนายทวี แก้วคง ส.ว.นครศรีธรรมราช ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ที่ผ่านมา นายถวิล ได้คะแนนเป็นอันดับ 1 คือ 158,159 คะแนน ส่วนอันดับ 2 คือ นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ที่ได้ 124,265 คะแนน วุฒิสภาเลือกรองประธานคนที่สอง ที่ประชุมวุฒิสภาได้ลงมติเลือก นายสหัส พินทุเสนีย์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จ.สระแก้ว เป็นรองประธานวุฒิสภาคนที่ 2 ด้วยคะแนน 103 ต่อ 82 ในรอบ 2 ชนะนายสัก กอแสงเรือง ส.ว.กทม. แทนนายบุญทัน ดอกไธสง ที่ได้ลาออกไป เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม ที่ผ่านมา จากผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นรองประธานคนที่ 2 จำนวน 6 คน คือ 1) นายสมเกียรติ ศรลัมพ์ ส.ว.นครสวรรค์ 2) นายสมพร คำชื่น ส.ว.แพร่ 3) นายสมพงษ์ สระกวี ส.ว.สงขลา 4) นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว.กทม.5) นายสัก และ 6) นายสหัส ทั้งนี้ นายสหัส เป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับนายเสนาะ เทียนทอง ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ซึ่งหลายฝ่ายได้ตั้งข้อสังเกตว่านายสหัส ได้รับตำแหน่งเพราะเหตุนี้ พ.ร.บ.ประกันสุขภาพ วุฒิสภาลงมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่เสนอโดยคณะกรรมาธิการวุฒิสภา ในวาระที่ 3 ด้วยคะแนน 88 ต่อ 3 เสียง โดยร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวจะนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาอีกครั้ง หากสภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นด้วย จะต้องมีการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมสองสภาขึ้นพิจารณาแก้ไข แต่หากเห็นด้วยก็จะประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป ร่างกฎหมายดังกล่าวมีเป้าหมาย เพื่อต้องการสร้างหลักประกันให้กับประชาชนทั้ง 60 ล้านคน โดยประชาชนจะได้รับประโยชน์คือ 1) ความเสมอภาคและความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงการได้รับบริการ 2) ระบบการรักษาพยาบาลจะมีคุณภาพที่เพียงพอ โดยมีการ กำหนดมาตรฐานในเรื่องคุณภาพยา คุณภาพแพทย์ ซึ่งสาระสำคัญหลักคือ จะจัดตั้งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติขึ้น ประกอบด้วยคณะกรรมการ 2 ชุด คือ คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข เพื่อทำหน้าที่หลักในการจัดสรรงบประมาณ และควบคุมบริการทางด้านการแพทย์ โดยต่อไปโรงพยาบาลแต่ละแห่งจะมีอำนาจในการบริหารงาน จัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์และยาได้เอง ซึ่งไม่ต้องอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ นายแพทย์สาธารสุขจังหวัด (สสจ. ) เหมือนก่อน แต่จะอยู่ภายใต้การควบคุมเงินและตรวจสอบคุณภาพ ตลอดจนมาตรฐานโดยสำนักงานฯ โดยตรง นอกจากนี้ คนไข้หรือญาติสามารถฟ้องร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการรักษาพยาบาลกับผู้รักษาผิดได้ โดยผ่านคณะกรรมการควบคุมคุณภาพฯ และยังได้นำกองทุนประกันสังคมกับกองทุนสวัสดิการข้าราชการ รัฐวิสาหกิจรวมเข้าไว้ด้วยกันภายใต้การบริหารจัดการของสำนักงานฯ เป็นต้น ทั้งนี้ ร่างกฎหมายฉบับนี้มาจากการนำเสนอของคณะรัฐมนตรี โดยสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติรับหลักการ ในวาระที่ 1 เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2544 ซึ่งในคราวนั้นได้มีผู้เสนอร่างเข้าพิจารณาทั้งสิ้น 6 ฉบับคือ 1) ร่างของคณะรัฐมนตรี 2) น.พ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ ส.ส.พรรคไทยรักไทย 3) ร่างของนายอำนวย คลังผา และว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี ส.ส.พรรคไทยรักไทย 4) ร่างของ นายสุวัฒน์ วรรณศิริกุล และนายชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.พรรคไทยรักไทย 5) ร่างของ นายปรีชา มุสิกกุลและคณะ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และ 6) ร่างของนายสิทธิ กิตติธเนศวร และพ.ต.อ.ทิน วงศ์ปลั่ง ส.ส.พรรคชาติไทย ซึ่งสภาฯ มีมติให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญจำนวน 35 คน เพื่อแปรญัตติและนำเข้าสู่สภาฯ อีกครั้ง โดยสภาฯ ลงมติผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้ ในวาระ 2 และ 3 โดยไม่มีผู้ใดคัดค้านหรือแก้ไขถ้อยคำ และเมื่อผ่านเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นจำนวน 34 คน โดยคณะกรรมาธิการวุฒิสภาได้ปรับปรุงแก้ไขและตัดหลายมาตราออกไป เช่น มาตรา 9, 10 และ 11 ที่ให้รวมกองทุนประกันสังคมกับกองทุนข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ ไว้ภายใต้กองทุนประกันสุขภาพแห่งชาติ แต่เมื่อร่างผ่านวุฒิสภาอีกครั้ง วุฒิสภาได้ลงมติให้คงมาตราทั้งสามนี้ไว้เช่นเดิม อนึ่ง ร่างกฎหมายฉบับนี้ ได้ผ่านการทำประชาพิจารณ์กับโรงพยาบาล แพทย์ บุคลากรสาธารณสุข และประชาชน หลายครั้งในหลายจังหวัดซึ่งขณะนี้กลุ่มชมรมแพทย์เพื่อวิชาชีพได้ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านในประเด็นที่ให้สิทธิคนไข้หรือญาติคนไข้ฟ้องผู้ให้บริการทางสาธารณสุขเพราะจะทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างแพทย์ผู้ให้บริการและคนไข้ และยังทำให้การรักษาต้องใช้ความละเอียดซึ่งอาจทำให้เสียเวลาในการรักษามากขึ้น นอกจากนี้ ยังไม่เห็นด้วยกับการรวมกองทุนประกันสังคมกับกองทุนสวัสดิการข้าราชการ รัฐวิสาหกิจไว้ด้วยกันเพราะเป็นเงินจำนวนมากแต่ให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติบริหารจัดการซึ่งมีอำนาจมากเกินไป