กรกฎาคม 2545 : ศาล รธน. ชี้สรรหา กกต. โมฆะ โปรดเกล้าฯ ประกาศเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญนิติบัญญัติ วันที่ 1 สิงหาคมนี้ ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดการสรรหากรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รอบที่ 6 และ 7 ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 138 (1) ทำให้ พล.อ.ศิรินทร์ ธูปกล่ำ ประธาน กกต. ต้องพ้นจากตำแหน่งทันที คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แจกใบเหลือง ส.ส.อุบลราชธานี เขต 10 และสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ 8 กันยายนนี้ วุฒิสภา รับหลักการร่าง พ.ร.บ.ปฏิรูประบบราชการ และผ่านร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) 3 ฉบับ นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีอนุมัติแก้กฎหมาย 6 ฉบับตามที่คณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อการพัฒนาประเทศ เสนอมา โปรดเกล้าฯ เปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญนิติบัญญัติ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ พ.ศ. 2545 ในวันที่ 1 สิงหาคม 2545 อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 161 และ 164 และมาตรา 221 ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ศาล รธน. ชี้ขาดกระบวนการสรรหา กกต. ศาลรัฐธรรมนูญลงมติด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 4 และงดออกเสียง 2 เสียง ชี้ขาดว่ากระบวนการสรรหา ของคณะกรรมการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในรอบที่ 6 และ 7 ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 138 (1) ทำให้ผู้ที่ได้รับการสรรหาในรอบดังกล่าว คือ พล.อ.ศิรินทร์ ธูปกล่ำ ประธาน กกต. ต้องพ้นจากตำแหน่งทันที และให้ตั้งคณะกรรมการสรรหา กกต. ชุดใหม่ขึ้น เพื่อทำการสรรหา กกต. 1 คน ภายใน 30 วัน ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ทั้งนี้ คณะกรรมการสรรหาฯ จะคัดเลือกผู้ที่มายื่นใบสมัครและผ่านการคัดเลือกจำนวน 1 คน และที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาพิจารณาสรรหาผู้สมควรเป็น กกต. อีก 1 คน แล้วเสนอให้วุฒิสภาพิจารณา เลือกเหลือเพียง 1 คนเท่านั้น อนึ่ง ผลการชี้ขาดดังกล่าวจะไม่มีผลต่อการกระทำที่ได้ทำมาในขณะที่ดำรงตำแหน่ง และไม่ต้องคืนเงินเดือน นอกจากนี้ พล.อ.ศิรินทร์ ยังสามารถสมัครเป็น กกต. ได้ หลังการชี้ขาดของศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีการตั้งคณะกรรมการสรรหา กกต. ชุดใหม่ จำนวน 10 คน มีนายอิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ เป็นประธานคณะกรรมการสรรหาฯ นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นรองประธานฯ ส่วนอีก 4 คน เป็นอธิการบดี จาก 4 สถาบัน และ 4 คน จากตัวแทนพรรคการเมือง กกต. แจกใบเหลือง ส.ส.อุบลฯ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สั่งให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส) จ.อุบลราชธานี ใหม ่ ในวันที่ 8 กันยายนนี้ แทนนายวิทยา บันทุปา ส.ส.อุบลราชธานี เขต 10 พรรคราษฎร ที่ถูกใบเหลือง เนื่องจาก กกต. มีหลักฐานอันควรเชื่อว่านายวิทยา ได้กระทำการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ เลือกตั้ง ทำให้การเลือกตั้งมิเป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรม โดยคาดว่าจะเปิดรับสมัครในวันที่ 19-23 สิงหาคมนี้ อนึ่ง นายวิทยา ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2544 วุฒิสภารับร่างปฏิรูประบบราชการ วุฒิสภาลงมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) 2 ฉบับ คือ 1) ร่าง พ.ร.บ.ระเบียบบริหาร ราชการแผ่นดิน และ 2) ร่าง พ.ร.บ.ปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎร ได้ให้ความเห็นชอบร่างทั้งสองแล้ว โดยวุฒิสภาได้ลงมติร่าง พ.ร.บ. ฉบับที่ 1 ด้วยคะแนน 141 ต่อ 3 งดออกเสียง 1 เสียง และฉบับที่ 2 ด้วยคะแนน 134 ต่อ 2 งดออกเสียง 1 เสียง นอกจากนี้ยังได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ 1 ชุด จำนวน 34 คน เพื่อพิจารณาทั้ง 2 ร่าง และ ยื่นแปรญัตติภายใน 21 วัน โดยคณะกรรมาธิการฯ ประกอบด้วย สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จำนวน 30 คน ตัวแทนรัฐบาล และบุคคลภายนอกอีก 4 คน วุฒิสภาผ่าน พ.ร.ก. 3 ฉบับ วุฒิสภาได้ลงมติผ่านร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรได้ให้ความเห็นชอบแล้ว จำนวน 3 ฉบับ เมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยร่าง พ.ร.ก. ดังกล่าว คือ 1) ร่าง พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนฟื้นฟูและพัฒนา ระบบสถาบันการเงินระยะที่สอง พ.ศ. 2545 โดยลงมติเห็นชอบด้วยคะแนน 133 ต่อ 4 เสียง และ งดออกเสียง 1 เสียง 2) ร่าง พ.ร.ก.โอนสินทรัพย์บางส่วนในบัญชีสำรองพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยเงินตรา พ.ศ. 2545 โดยลงมติเห็นชอบด้วยคะแนน 137 ต่อ 3 เสียง และงดออกเสียง 1 เสียง 3) ร่าง พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 โดยลงมติ เห็นชอบด้วยคะแนน 137 ต่อ 3 เสียง และงดออกเสียง 2 เสียง ครม.อนุมัติแก้ กม. 6 ฉบับ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติให้พิจารณาปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและสังคม จำนวน 6 ฉบับ ให้เหมาะสมกับกาลสมัย ตามที่คณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อการพัฒนาประเทศ ที่มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน เสนอมา โดยกฎหมายทั้ง 6 ฉบับประกอบด้วย 1. พ.ร.บ.ควบคุมการขายทอดตลาด พ.ศ. 2474 โดยให้แก้ไขเนื้อหาให้จำกัดการกำกับดูแลการค้าของเก่า เฉพาะที่ไม่เกี่ยวกับรถยนต์ โบราณวัตถุ ทองคำ และอัญมณี โดยให้ยกเลิกระบบการขออนุญาตเมื่อมีการขาย แต่ให้ใช้ระบบการกำกับด้วยการให้ผู้ค้าของเก่าแจ้งให้ตำรวจทราบ ถึงรายละเอียดต่างๆ ของสินค้า ภายในระยะเวลาที่กำหนดและการประกอบกิจการขายทอดตลาดต้องได้รับอนุญาตทั้งผู้ประกอบการ และผู้ดำเนินการโดยควรมอบให้เป็นอำนาจของท้องถิ่น 2. พ.ร.บ.ควบคุมการขอทาน พ.ศ. 2484 โดยให้แก้ไขเนื้อหาว่าบุคคลใดก็ตามที่ไม่ได้มีสภาวะทางกาย หรือทางจิตที่พิการจนไม่สามารถหาเลี้ยงชีพด้วยการทำงานปกติและไม่มีฐานะที่จะดูแลตนเองได้ หรือไม่มีผู้อุปถัมภ์ค้ำจุน ห้ามกระทำการขอทาน 3. พ.ร.บ.ควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ. 2487 โดยเห็นควรให้มีการปรับปรุงให้อำนาจในการกำกับดูแล เป็นของท้องถิ่นที่ให้กำหนดหลักเกณฑ์ตามแต่ละท้องถิ่นนั้นๆ ซึ่งเมื่อกำหนดชัดเจนแล้วควรใช้ ระบบการกำกับไม่ใช่ควบคุมอย่างใดอดีต และให้ครอบคลุมไปถึงการเรี่ยไรการจัดทำวัตถุมงคล เพื่อให้เช่าหรือจำหน่ายด้วย 4. พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 โดย ให้คงมีอยู่ต่อไป แต่ยังไม่มีข้อเสนอแนะให้แก้ไข 5. พ.ร.บ.โรงรับจำนำ พ.ศ. 2505 ควรปรับปรุงให้มีการแก้ไข โดยยกเลิกการควบคุมโดยระบบ คณะกรรมการจากส่วนกลาง แต่ควรกำหนดไว้ในกฎหมายว่าท้องถิ่นแต่ละประเภทควรมีหรือไม่มี โรงรับจำนำ หรือมีได้ไม่เกินจำนวนเท่าใด โดยใช้พื้นที่จำนวนประชากร และฐานะของประชาชน เป็นเกณฑ์กำหนด นอกจากนี้ยังให้ท้องถิ่นมีอำนาจในการออกใบอนุญาตและการควบคุม รวมทั้ง ค่าธรรมเนียมที่เก็บได้ก็ควรตกเป็นของท้องถิ่น 6. พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 โดยแก้ไขเพื่อให้เกิดความรัดกุมและจำกัด เฉพาะกรณีที่ผู้ออกเช็คมีเจตนาไม่ใช้เงินตั้งแต่ต้น โดยไม่ครอบคลุมถึงการออกเช็คเพื่อใช้เป็นหลักประกัน ในการชำระหนี้และการออกเช็ควันที่ล่วงหน้าโดยสุจริต อนึ่ง คณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อการพัฒนาประเทศ ได้ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2544 ตามมติคณะรัฐมนตรี เพื่อทำหน้าที่พิจารณาปรับปรุงกฎหมายที่อาจเป็นอุปสรรคในการแก้ปัญหา ตามนโยบายรัฐบาล ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง รวมทั้งยกเลิกหรือ ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้เหมาะสมและทันสมัย