ธันวาคม 2546 :งดทูลเกล้าฯ พ.ร.บ.ราชภัฏ คณะรัฐมนตรีไม่นำร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยราชภัฏ ขึ้นทูลเกล้าฯ หลังพบข้อผิดพลาด คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เปิดรับสมัครข้าราชการที่สนใจเกษียณก่อนกำหนด หรือเออร์ลี่รีไทร์ คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เตรียมปรับปรุงโครงสร้างส่วนราชการ ส่วนรัฐบาลประกาศนโยบายแก้ไขปัญหาความยากจนให้หมดไปภายใน 6 ปี และคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณเป็นเงิน 373.40 ล้านบาท ให้กับโครงการเพิ่มทักษะการใช้ภาษาอังกฤษของกระทรวงศึกษาธิการ นอกจากนี้ ที่จังหวัดบุรีรัมย์ได้มีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) โดยตรงเป็นครั้งแรกและแห่งแรกตามกฎหมายใหม่ ส่วนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้กำหนดให้วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2547 เป็นวันเลือกตั้งซ่อม ส.ว.จังหวัดพิจิตร แทนนายวิชิต พูลลาภ ที่เสียชีวิตเนื่องจากประสบอุบัติเหตุรถชน งดทูลเกล้าฯ พ.ร.บ.ราชภัฏ คณะรัฐมนตรีมีมติไม่นำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) มหาวิทยาลัยราชภัฏ ขึ้นทูลเกล้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และขอให้รัฐสภารับคืนไปก่อน พร้อมเตรียมหารือเพื่อหาแนวทางแก้ไข จากการที่รัฐสภาได้ผ่านร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยราชภัฏ และส่งให้นายกรัฐมนตรีเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าลงพระปรมาภิไธยเพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายนั้น ปรากฏว่าสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ตรวจสอบพบว่ามีข้อผิดพลาดเกี่ยวกับบทบัญญัติต่างๆ ที่ขัดแย้งกันเอง จึงแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบ เนื่องจากเกรงว่าหากนำขึ้นทูลเกล้าฯ จะเกิดข้อผิดพลาดเช่นเดียวกับร่าง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้พระราชอำนาจยับยั้ง โดยในกรณีนี้ฝ่ายรัฐบาลมีข้อเสนอว่าควรนำร่างดังกล่าวส่งคืนรัฐสภา เพื่อหาทางแก้ไขข้อผิดพลาด การกระทำดังกล่าวทำให้พรรคฝ่ายค้าน นักกฎหมาย สมาชิกวุฒิสภาบางส่วน แสดงความคิดเห็นว่าอาจขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 93 ที่บัญญัติให้นายกรัฐมนตรีนำร่าง พ.ร.บ. ที่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้วขึ้นทูลเกล้าฯ ภายใน 20 วัน นับแต่วันที่ได้รับร่าง แต่นายกฯ กลับขอให้รัฐสภารับร่างคืนไป เสมือนว่าไม่ได้รับร่างดังกล่าว ทั้งนี้ พรรคฝ่ายค้านได้เสนอให้นายกฯ นำขึ้นทูลเกล้าฯ ไปตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญ พร้อมกับขอพระราชทานอภัยโทษที่ร่างดังกล่าวมีข้อบกพร่อง พร้อมกับเริ่มกระบวนการใหม่ทั้งหมด ทั้งนี้ ในวันที่ 5 มกราคม 2547 ประธานรัฐสภาจะเชิญประธานคณะกรรมาธิการทุกคณะของทั้งสองสภาเข้าร่วมประชุม เพื่อหารือว่าจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างไรโดยไม่ขัดรัฐธรรมนูญ โดยอาจจะมีการแก้ไขข้อบังคับของสภา เพื่อเปิดช่องให้นำร่าง พ.ร.บ. กลับมาแก้ไขได้ หรืออาจจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ พร้อมขอพระราชทานอภัยโทษตามที่พรรคฝ่ายค้านเสนอ อนึ่ง บทบัญญัติที่ขัดกันดังกล่าว ได้แก่ ในมาตรา 18(8) ระบุให้สภามหาวิทยาลัยมีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนศาสตราจารย์พิเศษ และมีหน้าที่พิจารณาเสนอเรื่องเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งและถอดถอน แต่ในมาตรา 52 กลับระบุว่าศาสตราจารย์พิเศษ แต่งตั้งโดยสภามหาวิทยาลัย นอกจากนี้ มาตรา 18(9) กำหนดให้สภามหาวิทยาลัยมีอำนาจและหน้าที่ แต่งตั้งและถอดถอนอาจารย์พิเศษ แต่ในมาตรา 31(7) กลับระบุว่า อธิการบดีมีอำนาจและหน้าที่แต่งตั้งและถอดถอนอาจารย์พิเศษ เกษียณอายุราชการก่อนกำหนด คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เตรียมนำมาตรการและแนวทางปฏิบัติใหม่ที่ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีแล้วมาใช้กับระบบราชการ คือ 1) มาตรการพัฒนาการบริหารกำลังคนภาครัฐเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงตามโครงการ “ทางเลือกใหม่ให้ชีวิต” ของข้าราชการ โดยเปิดให้ข้าราชการที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป หรืออายุราชการ 25 ปีขึ้นไป สามารถเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด หรือเออร์ลี่รีไทร์ ซึ่งจะได้รับเงินตอบแทน 8-15 เท่าของเงินเดือนปัจจุบัน นอกเหนือจากบำเหน็จบำนาญปกติ เพื่อให้ระบบราชการมีความกระชับยิ่งขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลให้โควต้าแต่ละหน่วยงานไม่เกิน 10% และตั้งงบประมาณไว้ 1.3 แสนล้านบาท โดยจะเปิดรับสมัครในวันที่ 19 มกราคม ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2547 2) การนำระบบพนักงานราชการมาใช้คู่ขนานกับลูกจ้างประจำ โดยจะจูงใจให้ลูกจ้างประจำของรัฐมาเป็นพนักงานราชการโดยสมัครใจ เป็นการเซ็นสัญญาจ้างงาน และได้รับค่าตอบแทนมากกว่าร้อยละ 20 แต่ไม่มีขั้นหรือระดับซี และใช้อำนาจรัฐไม่ได้ ซึ่งจะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2547 เป็นต้นไป อนึ่ง ยังมีอีก 2 เรื่องที่ ก.พ.ชุดใหญ่ได้ให้ความเห็นชอบและมีคำสั่งให้คณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.ร.) ไปศึกษารายละเอียดก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา คือ 1) การปรับปรุงระบบจำแนกตำแหน่งแบบใหม่ โดยจะยกเลิกระบบซี 11 ระดับ แล้วแบ่งโครงสร้างการบริหารงานใหม่ออกเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้บริหารระดับสูง ได้แก่ ปลัดกระทรวง อธิบดี กลุ่มผู้บริหารระดับกลาง ได้แก่ ผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการกอง กลุ่มผู้ปฏิบัติที่ใช้ความรู้ทักษะในวิชาชีพ และกลุ่มผู้ปฏิบัติงานและสนับสนุน 2) แนวทางการแต่งตั้งผู้บริหารในระบบเปิด โดยสามารถแต่งตั้งโยกย้ายข้ามกระทรวง และเปิดโอกาสให้คนนอกที่มีไม่ใช่ข้าราชการเข้ามาทำงานในระบบราชการได้ เตรียมปรับโครงสร้างส่วนราชการ เมื่อวันที่ 29 ธันวาคมที่ผ่านมา ได้มีการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) โดยมี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้และข้อดีข้อเสียในการปรับปรุงโครงสร้างส่วนราชการจำนวน 4 กลุ่ม คือ 1) การยุบรวมกระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเข้าไว้ด้วยกัน 2) การยุบกรมพัฒนาชุมชนจากกระทรวงมหาดไทย มาสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นกรมส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน โดยจะมอบหมายให้ดูแลเฉพาะสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ 3) การควบรวมกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) 4) การรวบรวมหน่วยงานด้านน้ำ ได้แก่ กรมประปา กรมชลประทาน และกรมอุทกภัย เข้าไว้ด้วยกัน แล้วตั้งเป็นทบวงน้ำ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้นำรายละเอียดของทั้ง 4 กลุ่ม เข้าหารือกับคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบราชการ (อ.ก.พ.ร.) แล้วจึงนำกลับมาเสนอ ก.พ.ร. ต่อไป นโยบายแก้ปัญหายากจน รัฐบาลภายใต้การนำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศนโยบายแก้ไขปัญหาความยากจนทั่วประเทศให้หมดไปภายใน 6 ปี โดยในวันที่ 6 ธันวาคมนี้ จะเปิดให้ประชาชนที่ได้รับความเดือนร้อนทุกประเภทมาลงทะเบียนไว้ที่ที่ว่าการอำเภอ ใน 8 จังหวัดนำร่อง คือ เชียงใหม่ พิษณุโลก สงขลา สุราษฎร์ธานี นครราชสีมา อุดรธานี นครปฐม และชลบุรี ส่วนอีก 67 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร จะเริ่มในวันที่ 5 มกราคม จนถึง 31 มีนาคม 2547 สำหรับผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัดสามารถลงทะเบียนได้ที่จังหวัดที่ตนอาศัยอยู่ปัจจุบัน เพราะใช้ระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์ทั่วประเทศ โดยนำบัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้าน และหลักฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สัญญาซื้อขายทรัพย์สิน มาแสดง ทั้งนี้ รัฐบาลได้เน้นว่าต้องการให้ผู้ลงทะเบียนแจ้งข้อเท็จจริงเท่านั้น เพื่อรัฐบาลจะได้หาแนวทางในการแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วขึ้น อนึ่ง รัฐบาลได้แบ่งปัญหาความยากจนออกเป็น 7 ด้าน ประกอบด้วย 1) ปัญหาที่ดินทำกิน 2) ปัญหาคนเร่ร่อน 3) ปัญหาผู้ประกอบอาชีพผิดกฎหมาย 4)ปัญหาการให้ความช่วยเหลือนักเรียน/นักศึกษา ให้มีรายได้จากอาชีพที่เหมาะสม 5) ปัญหาการถูกหลอกหลวง 6) ปัญหาหนี้สินภาคประชาชน 7)ปัญหาที่อยู่อาศัยของคนจน และหากมีผู้เดือนร้อนในปัญหาอื่นๆ ก็สามารถลงทะเบียนไว้ได้เช่นกัน งบเรียนภาษาอังกฤษเอื้ออาทร เมื่อวันที่ 23 ธันวาคมที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนวงเงินรวม 373.40 ล้านบาท ให้กับโครงการเพิ่มทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ ของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งแบ่งเป็น 3 โครงการย่อย ประกอบด้วย 1) โครงการพัฒนาทักษะการใช้ภาษาอังกฤษและและเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอนของครู 2) โครงการส่งเสริมความรู้ภาษาอังกฤษทางสถานีวิทยุ โดยให้เน้นการจัดกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น อาทิ บุคลากรด้านการเรียนการสอน นอกจากนี้ ควรขยายจำนวนการผลิตซีดี เพื่อแจกจ่ายในกลุ่มเป้าหมายให้มากยิ่งขึ้น 3) โครงการจัดตั้งศูนย์พัฒนาความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ เพื่อเป็นศูนย์กลางที่ช่วยส่งเสริมการปฏิบัติงานของสถาบัน องค์การ หน่วยงาน ในลักษณะเครือข่ายที่ดำเนินการจัดฝึกอบรมความรู้ด้านภาษาอังกฤษให้มีประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อนและสนองตอบต่อความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแท้จริง รวมทั้งเพื่อให้มีฐานข้อมูลหลักสูตรการฝึกอบรมภาษาอังกฤษที่เป็นระบบเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมต่อไป เลือกตั้งนายก อบจ.โดยตรงครั้งแรก เมื่อวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา ได้มีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และสมาชิกสภา อบจ.บุรีรัมย์ ตาม พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนจังหวัดฉบับใหม่ ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2546 ที่ระบุให้มีการเลือกตั้งนายก อบจ.โดยตรงครั้งแรก ซึ่ง อบจ.บุรีรัมย์ เป็นแห่งแรกที่ได้มีการเลือกตั้งดังกล่าว ซึ่งผลปรากฏว่า พ.ต.อ.ชวลิต ชิดชอบ หัวหน้ากลุ่มบุรีรัมย์รักไทย ได้คะแนน 283,768 คะแนน ชนะ พ.ต.อ.ไพโรจน์ เลิศวิไล ผู้สมัครอิสระซึ่งเป็นอดีตรองผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.บุรีรัมย์ ได้ 185,510 คะแนน ทั้งนี้ ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2547 อบจ.ทั่วประเทศ 74 แห่ง จะครบวาระพร้อมกัน และจะมีการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม 2547 กกต.สั่งเลือกตั้งซ่อม ส.ว.พิจิตร คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดให้วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2547 เป็นวันเลือกตั้งซ่อมสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จังหวัดพิจิตร แทนนายวิชิต พูลลาภ ที่เสียชีวิตเนื่องจากประสบอุบัติเหตุรถชน เมื่อวันที่ 28 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งรัฐธรรมนูญมาตรา 134 กำหนดให้มีการเลือกตั้งภายใน 45 วัน นับตั้งแต่วันที่ตำแหน่งนั้นว่างลง โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณในการเลือกตั้งครั้งนี้ประมาณ 20 ล้านบาทและมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 68%