ติดตามประชาธิปไตย (Thai)
มกราคม 2563 : เปิดแผนรัฐบาลปี 63 วางกรอบลุยแก้ปัญหาปากท้อง

  • เปิดแผนรัฐบาลปี 63 วางกรอบลุยแก้ปัญหาปากท้องแต่ละกลุ่มเป้าหมาย
  • รัฐบาลโชว์ ‘ผลงานเด่น’ ช่วง 5 เดือนแรก
  • พระบรมราชโองการเผยแพร่ พ.ร.ฎ.ลดภาษีที่ดิน-สิ่งปลูกสร้างปี 63
  • ครม. คลอดระเบียบราชการใช้อิเล็กทรอนิกส์แทนสำเนา ลดต้นทุนภาครัฐ
  • คลอดแล้ว! 7คณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
  • ผวาไฟสงครามสหรัฐ-อิหร่าน นายกฯ สั่งรับมือ คุมเข้มกลุ่มเสี่ยงเข้าไทย
  • สภาฯ ฉลุยงบปี 63 เอกฉันท์ แต่ยังไม่พ้นพงหนาม
  • สภาฯ แจ้ง'กรณ์-ไวพจน์' สิ้นสุดสมาชิกภาพ ส.ส. ส่งผลมี ส.ส. 497 คน
  • พลิก!! กกต.คำนวณปาร์ตี้ลิสต์ใหม่
  • กรณ์ เปิดใจทิ้งประชาธิปัตย์!! ประกาศเดินหน้าระดมจอมยุทธ์ลุยการเมือง
  • กกต. แจงขั้นตอนสอบเงินกู้พรรคการเมือง โทษหนักคดีอาญา-ยุบพรรค
  • ศาล รธน. สั่งยกคำร้อง ไม่ยุบ ‘อนค.’ คดีล้มล้างการปกครอง
  • ‘ครม. สัญจรนราฯ’ ไฟเขียว 1.8 หมื่นล้าน ดันเขต ศก.พิเศษจะนะ
  • ครม. เห็นชอบรายงานผลการทำงาน ศอ.บต. คาดครึ่งปีหลังเปิดใช้สนามบินเบตง
  • ครม. เห็นชอบ 12 มาตรการแก้ฝุ่นพิษ
  • ครม. อนุมัติปรับเบี้ยผู้พิการจาก 800 เป็น 1,000 บาท
  • ครม. อนุมัติเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มเชื่อมตะวันออก-ตะวันตก

    เปิดแผนงานรัฐบาล 2563 เร่งแก้ปัญหาปากท้อง กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ ลูกจ้าง และผู้ประกอบการ SMEs และ startups

          เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2562 นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในปี พ.ศ. 2563 ที่กำลังจะมาถึงนี้ รัฐบาลมุ่งมั่นเดินหน้าดูแลยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน โดยเน้นมาตรการแก้ปัญหาปากท้องที่จะออกแบบให้เหมาะกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย ดังนี้
          1. กลุ่มเกษตรกร มุ่งสร้างเกษตรครบวงจร และเกษตร BCG

          โดยทำการประเมินผลของมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ทำมาในปี 2562 เพื่อพิจารณาทบทวนออกมาตรการที่จะนำไปสู่การสร้างเกษตรครบวงจรและเกษตร BCG โดยจะต้องใช้ตลาดนำการผลิต กล่าวคือ การใช้ข้อมูลความต้องการของตลาดในประเทศ ตลาดส่งออก และตลาดสินค้าเกษตร BCG และเกษตรแปรรูป ที่ชัดเจนมาช่วยกำหนดแผนการผลิตพืชแต่ละชนิดให้กับเกษตรกร ควบคู่ไปกับแผนบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรตามบริบทของพื้นที่ แผนการทำเกษตรแปลงใหญ่และการใช้นวัตกรรมเพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต ในระยะเปลี่ยนผ่าน อาจจะยังต้องมีการสนับสนุนต้นทุนการผลิตสำหรับพืชบางชนิด ทั้งนี้ การทำประกันภัยพืชผลจากความเสี่ยงของภัยธรรมชาติยังเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญ สุดท้าย นโยบายที่รัฐบาลจะมุ่งไปสู่ คือ นโยบายรักษาเสถียรภาพของราคาสินค้าเกษตรผ่านมาตรการที่เหมาะสมสำหรับพืชแต่ละชนิด เช่น มาตรการสินเชื่อชะลอการขาย สินเชื่อรวบรวมข้าวเพื่อดูดซับปริมาณผลผลิตจากท้องตลาดในช่วงที่ผลผลิตออกพร้อมกัน หรือมาตรการส่งเสริมให้นำพืชผลทางการเกษตรไปใช้มากขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการแทรกแซงกลไกราคาตลาด อย่างเช่น นโยบายส่งเสริมน้ำมันไบโอดีเซล บี10 เป็นต้น

          2. กลุ่มผู้มีรายได้น้อย ปรับและกำหนดเกณฑ์เพื่อขึ้นทะเบียนผู้มีรายได้น้อย และพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างครอบคลุม

          ทำการศึกษาทบทวนโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยให้นำเอาข้อมูลผู้มีบัตรสวัสดิการ 14.6 ล้านคน มาวิเคราะห์และพิจารณาทบทวนการกำหนดเกณฑ์คุณสมบัติของผู้มีรายได้น้อย เพื่อนำไปสู่การขึ้นทะเบียนผู้มีรายได้น้อยประจำปี 2563 เพื่อคัดกรองให้ได้ผู้มีรายได้น้อยจริงมาเข้าสู่มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิต 4 ด้านหลัก คือ 1) สวัสดิการขั้นพื้นฐาน ที่ควรจะจัดสรรตามความจำเป็นที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุ ผู้พิการ เกษตรกร 2) การพัฒนาทักษะทางอาชีพ ที่สอดคล้องกับบริบทของการทำงานและการจ้างงานในพื้นที่ 3) การหางานให้ทำ ทั้งงานที่มีนายจ้าง การรับงานไปทำที่บ้าน และอาชีพอิสระ 4) การเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ เพื่อแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ทั้งหมดนี้ เพื่อนำไปสู่การให้โอกาสกับผู้มีรายได้น้อย เพื่อช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยหลุดพ้นจากความยากจนได้อย่างยั่งยืน

          3. กลุ่มผู้สูงอายุ จัดสวัสดิการที่เหมาะสมและส่งต่อการจ้างงาน

          ประชากรไทยที่มีอายุเกิน 60 ปี มีจำนวนประมาณ 11.35 ล้านคน ในจำนวนนี้ 8.4 ล้านคนได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ที่เหลือได้รับบำนาญของหน่วยงานที่เคยสังกัด มีผู้สูงอายุที่ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรวม 5 ล้านคน ทั้งนี้ ผู้สูงอายุ 4.06 ล้านคน ยังคงทำงานอยู่ โดยเป็นแรงงานนอกระบบรวม 3.59 ล้านคน ซึ่งส่วนมากคืออาชีพเกษตรกร นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับการดูแลกลุ่มผู้สูงอายุ โดยได้มอบหมายกระทรวงที่เกี่ยวข้องพิจารณามาตรการส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุ การจัดสวัสดิการที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุที่มีความแตกต่างกัน เช่น ผู้สูงอายุติดเตียง ติดบ้าน ติดสังคม รวมตลอดถึงมาตรการส่งเสริมให้บุตรหลานดูแลผู้สูงอายุในครอบครัว เพื่อสร้างสังคมกตัญญู

          4. กลุ่มลูกจ้าง ยกระดับคุณภาพชีวิต

          โดยที่ไทยมีลูกจ้าง 14.6 ล้านคน ที่ถึงแม้จะมีรายได้เกิน 100,000 บาทต่อปี จึงไม่ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แต่อาจมีค่าครองชีพที่สูง โดยเฉพาะลูกจ้างที่ทำงานในเมือง จึงได้มอบหมายให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องร่วมกับภาคเอกชน ในการกำหนดมาตรการดูแลลดภาระค่าครองชีพให้กับลูกจ้าง ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐพิจารณาหามาตรการช่วยเหลือบรรเทาภาระหนี้นอกระบบให้กับกลุ่มลูกจ้างต่อไปด้วย นอกจากนี้ ในรายที่ถูกเลิกจ้างงาน รัฐบาลจะได้เข้าช่วยพัฒนาทักษะและหางานให้ทำต่อไป

          5. กลุ่ม ผู้ประกอบการ SMEs และ startups

          กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขนาดจิ๋ว เล็ก ถึงกลาง รวมถึงสตาร์ทอัพ นับเป็นฟันเฟืองหลักในระบบเศรษฐกิจของไทยที่รัฐบาลไม่เคยละเลยมาโดยตลอด และจะยกระดับการดูแลพัฒนาผู้ประกอบการในปีหน้า ไม่ว่าจะเป็นด้านนวัตกรรม ความรู้ แหล่งเงินทุน และการปลดล็อคเงื่อนไขที่ทำให้เกิดข้อจำกัดต่อผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ

    รัฐบาลโชว์ผลงานเด่นช่วง 5 เดือนแรก

          เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2562 นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลงานเด่นของรัฐบาลในช่วง 5 เดือนแรก ครอบคลุม 3 ด้านสำคัญ คือ คมนาคม รายได้เกษตรกร และผู้มีรายได้น้อย ดังนี้

          1. การขยายโครงสร้างคมนาคม
          ดูแลประชาชนในการเดินทางและลดมลพิษ ด้วยการขยายโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม ซึ่งนับเป็นผลงานต่อเนื่องมาจากรัฐบาลที่แล้ว เฉพาะในกรุงเทพมหานคร ได้มีการขยายโครงข่ายรถไฟฟ้าครอบคลุมทั่ว กทม. อาทิเช่น สายสีน้ำเงิน (หัวลำโพง-บางแค, บางซื่อ-ท่าพระ) 14 กม., สายสีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) 19 กม., สายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี) 22 กม., สายสีแดงอ่อน (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) 15 กม., สายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) 26.3 กม., สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) 34.5 กม. และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) 30 กม.

          เมื่อรถไฟฟ้าเปิดใช้บริการครบทั้งหมด จะช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางของคนกรุง ลดปริมาณการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล นำไปสู่การลดมลพิษทางอากาศในที่สุด นอกจากนี้ รัฐบาลได้เปิดทำการอาคารพักผู้โดยสารหลังที่ 2 ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง พัทยา ซึ่งสามารถรองรับผู้โดยสารจากทั้งในและต่างประเทศได้ 3 -5 ล้านคนต่อปี โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา จะยกระดับส่งเสริมการเชื่อมโยงการเดินทางสู่พื้นที่ EEC เพื่อส่งเสริมทั้งภาคการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมในพื้นที่ ทำให้เกิดการจ้างงานและการกระจายความเจริญสู่เศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่โดยรอบ EEC

          2.รายได้เกษตรกร
          ดูแลพี่น้องเกษตรกร ทั้งโครงการประกันรายได้สำหรับพืชเศรษฐกิจหลักหลายชนิด ซึ่งได้เริ่มจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างตรงเข้าบัญชีเกษตรกรไปแล้ว และยังมีมาตรการคู่ขนานเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาของสินค้าเกษตร เช่น การอุดหนุนปัจจัยการผลิตสำหรับชาวนาผู้ปลูกข้าว ช่วยเหลือค่าปลูก 500 บาทต่อไร่ ไม่เกิน 20 ไร่ต่อครัวเรือน ช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว 500 บาทต่อไร่ ไม่เกิน 20 ไร่ต่อครัวเรือน รวมตลอดถึงมาตรการสินเชื่อชะลอการขาย สินเชื่อรวบรวมผลผลิต นอกจากนี้ นโยบายรักษาเสถียรภาพราคาปาล์มน้ำมัน ด้วยการกำหนดให้น้ำมันไบโอดีเซลบี 10 เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วพื้นฐาน ได้ส่งผลให้ราคาปาล์มสูงขึ้น เกิดประโยชน์โดยตรงกับเกษตรกร โดยไม่ต้องใช้งบประมาณของรัฐบาลเข้าไปพยุงราคา

          3.มาตรการดูแลผู้มีรายได้น้อย
          ดูแลผู้มีรายได้น้อย ด้วยมาตรการลดค่าครองชีพผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เช่น ขยายระยะเวลามาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าไม่เกินครัวเรือนละ 50 หน่วย และมาตรการช่วยเหลือค่าน้ำไม่เกินครัวเรือนละ 100 บาท ไปจนถึงเดือนกันยายน 2563 และยังคงมาตรช่วยเหลือค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ เช่น ค่าเดินทางเดือนละไม่เกิน 500 บาท ค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคเดือนละ 200/300 บาท คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 5% เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการ อีก 1% โอนเข้ากองทุนการออมแห่งชาติในนามเจ้าของบัตรสวัสดิการ เป็นต้น

          การพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อย ผ่านการพัฒนาทักษะอาชีพ การหางานให้ทำ และการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ โดยมาตรการดูแลผู้มีรายได้น้อย กำลังอยู่ในขั้นตอนการทบทวนปรับปรุงเพื่อให้ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้สามารถหลุดพ้นจากความยากจนได้อย่างยั่งยืน

    พระบรมราชโองการเผยแพร่ พ.ร.ฎ.ลดภาษีที่ดิน-สิ่งปลูกสร้างปี 63

          เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2563 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศพระบรมราชโองการ ให้มีการตราพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง สำหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างบางประเภท ความว่า

          พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ไว้ ณ วันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2563 เป็นปีที่ 5 ในรัชกาลปัจจุบัน มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรลดภาษีที่ดิน และ สิ่งปลูกสร้างสำหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างบางประเภท

          ทั้งนี้ ยังได้ระบุเหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างบางประเภท เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพความจำเป็นทางเศรษฐกิจ สังคม เหตุการณ์ กิจการ หรือสภาพแห่งท้องที่ จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้

          อ่านฉบับเต็มได้ที่ www.ratchakitcha.soc.go.th

    ‘ครม.’ คลอดระเบียบราชการ ใช้อิเล็กทรอนิกส์แทนสำเนา ลดต้นทุนภาครัฐ

          เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ครม. เห็นชอบการปรับปรุงระเบียบ ระบบราชการ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของการปฏิรูปการบริหารงานภาครัฐ โดยทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เสนอ เพื่อให้ ครม. พิจารณาเห็นชอบแนวทางการทบทวนการจัดเก็บค่าธรรมเนียมอนุมัติ อนุญาตของทางราชการ เนื่องจากปัจจุบันมีการใช้ทางอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น หรือบางเรื่องการเก็บค่าธรรมเนียมเป็นต้นทุนกับภาครัฐ จากวันนี้เป็นต้นไปประชาชนไปขอข้อมูลหรือรับบริการจากส่วนราชการ ไม่ต้องมีสำเนาเอกสาร ใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียวก็เพียงพอ ถือเป็นผลงานของระบบปฏิรูปราชการ ดังนั้นเพื่อเป็นการยกระดับการทำงานของส่วนราชการทาง ก.พ.ร. จึงเสนอแนวทางหลายประเด็น คือ การขอใบคำขอและใบแทน ถ้าเป็นกรณีการจัดเก็บต้นทุนการดำเนินการมากกว่ารายได้ของการจัดเก็บ ทาง ก.พ.ร. จึงเสนอให้พิจารณายกเลิก เนื่องจากไม่คุ้มค่าต่อการดำเนินงานของรัฐ

          ในเรื่องของใบอนุญาตก็ให้พิจารณายกเลิก หรือทบทวนขั้นตอนการให้บริการ ในส่วนใบอนุญาตถ้าเป็นประเภทขอใบอนุญาตก็ให้เป็นใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับใบอนุมัติ การรับรองการจดทะเบียน การรับแจ้งและการตรวจสอบ ส่วนเรื่องใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับด้านจริยธรรม เช่น ขออนุญาตสุรา ยาสูบ การพนัน นั้นไม่ยกเลิกจะต้องมีการเก็บเหมือนเดิมเพราะเป็นแหล่งรายได้ และถือว่าเป็นกิจการที่จะต้องควบคุม เพราะฉะนั้นขอเสนอให้ส่วนราชการไปพิจารณาว่าอะไรที่ยกเลิกการเก็บได้ก็ให้กลับมานำเสนอ ครม. ทราบภายใน 3 เดือน ทั้งนี้ หากสามารถยกระดับและยกเครื่องระบบราชการได้ทั้งหมดก็จะเป็นผลดีและง่ายต่อการทำธุรกิจในประเทศไทย

    คลอดแล้ว! 7 คณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ

          โดยที่พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 ตามมาตรา 5 วรรคหนึ่ง (3) บัญญัติให้คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ จำนวนไม่เกินเจ็ดคน จากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เป็นที่ประจักษ์ในด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ด้านวิทยาศาสตร์ ด้านวิศวกรรมศาสตร์ด้านกฎหมาย ด้านการเงิน หรือด้านอื่นที่เกี่ยวข้อง และเป็นประโยชน์ต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์

          อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 วรรคหนึ่ง (3) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 อนุมัติให้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ จำนวน 7 คน ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ดังนี้

          1. นายปริญญา หอมเอนก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์

          2. พลเอก มโน นุชเกษม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

          3. พันตำรวจเอก ญาณพล ยั่งยืน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านวิศวกรรมศาสตร์

          4. นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย

          5. นายวิเชฐ ตันติวานิช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการเงิน

          6. นายบดินทร์ ทรัพย์สมบูรณ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านสาธารณสุข

          7. รองศาสตราจารย์ปณิธาน วัฒนายากร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

          ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป

    'เศรษฐพงค์' ชี้โลกกำลังเข้าสู่ยุค 'New Economy'

          เมื่อวันศุกร์ที่ 24 มกราคม 2563 พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคภูมิใจไทย ได้กล่าวถึงผลกระทบในแวดวงธุรกิจในทุกอุตสาหกรรม(https://youtu.be/ebNUKklqknY) ว่า

           “ มีความเป็นไปได้อย่างมากว่า ภายใน 5-10 ปีข้างหน้า 5G บนผิวโลกกับ LEO network บนอวกาศจะเชื่อมโยงกัน จนเป็นเหตุให้ทุกธุรกิจไม่ว่าจะเป็นการผลิต การให้บริการ ในทุก sector จะสามารถเชื่อมต่อกับความ real time ของการบอกตำแหน่งและแผนที่ รวมไปถึง sensor ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น อุณหภูมิ สภาวะอากาศ การใช้พลังงาน พืชพันธุ์ในระบบการเกษตร การแพร่กระจายโรค ไปจนถึงการสื่อสารโทรคมนาคมที่มองเห็นภาพวิเคราะห์ที่ real time และเสมือนจริงในรูปแบบใหม่ในอุตสาหกรรมสื่อและบันเทิง (https://www.space.com/5g-in-space-internet-satellites.html)

          ทั้งนี้ เนื่องจากระบบสื่อสาร 5G บนพื้นโลกที่มี sensor ราคาถูกมากมายนับพันล้านชิ้นกำลังจะส่งข้อมูลขึ้นไปบนอวกาศไปยังเครือข่าย LEO satellite ที่จะถูกยิงขึ้นสู่ห้วงอวกาศนับหลายพันจนถึงหมื่นดวงภายใน 5-10 ปีนี้ ซึ่งทุกวันนี้ก็มีการ launch ดาวเทียมพวกนี้เกือบทุกสัปดาห์ และจะกลายเป็นเกือบทุกวันในปีต่อไป ซึ่งมันจะทำหน้าที่ที่หลากหลาย ไม่ว่าถ่ายภาพทางอากาศ ไปจนถึงการแปลความจากอุปกรณ์ IoT นับพันล้านชิ้นบนผิวโลก(https://spaceflightnow.com/launch-schedule/)

          โครงการต่างๆ ของ SpaceX Amazon Google Facebook Apple และอีกมากมาย กำลังทำให้เราจะมี access สู่ Broadband Internet ได้ทุกจุดบนผิวโลก และมองเห็นโลกเราได้ในทุกเสี้ยววินาที (https://youtu.be/giQ8xEWjnBs)

          และดาวเทียม LEO เหล่านั้นจะอ่านข้อมูลจาก sensor ต่างๆ บนโลก (รวมทั้งมือถือของเราก็เป็น sensor ตัวหนึ่ง) และประมวลผลแปลความในระบบเครือข่ายแล้วส่งข้อมูลมายังมือถือเราอีกครั้งด้วยข้อมูลแบบ real time เช่น เราสามารถมองเห็นจุดทุกจุดบนพื้นโลกในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น อุณหภูมิ การแพร่กระจายโรคติดต่อ สถานการณ์ เหตุการณ์ฉุกเฉิน สภาวะ PM 2.5 สภาพการณ์จราจร และข้อมูลพืชพรรณต่างๆ ทุกจุดทั่วโลก เป็นต้น ซึ่งขณะนี้ Apple ก็พยายามจะก้าวหนีที่จะถูก disrupt จากกิจการอวกาศรูปแบบใหม่ (New Space) (https://techcrunch.com/2019/12/20/apple-reportedly-working-on-satellite-technology-for-direct-wireless-iphone-data-transmission/)

          โดยมีความชัดเจนว่า ภายใน 5-10 ปี ภาพบน google map รวมไปถึงบริการบอกตำแหน่งต่างๆ ทุก platform จะ real time มองเห็นข้อมูลทุกรูปแบบบริการบนมือถือเรา พูดง่ายๆว่า เราสามารถเห็นผิวโลกของเราทุกจุดในเวลาจริงตลอดเวลาอย่างน้อยก็จาก google บนมือถือของเรา (https://youtu.be/ZP9Gslb5kx0) จนทำให้การให้บริการแบบดั้งเดิมที่ก้าวไม่ทันจะจบสิ้นลง ซึ่งทางวิทยาศาสตร์มองว่า disruption ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยในวันนี้ แต่การเปลี่ยนแปลงแบบ exponential กำลังเกิดขึ้นจริงภายใน 5-10 ปีนี้ต่างหากที่จะทำให้เรารู้สึกได้จริงโดยไม่ต้องมีการ discuss กันอีกแล้วว่า disruption คืออะไร?

          สิ่งที่มีความเป็นไปได้ในภาพจริง คือ

           (1) การรายงานข่าวสารและการแพร่ภาพ จะทำได้โดยบุคคลทั่วไปมากขึ้นในอีกระดับแบบก้าวกระโดด จนองค์กรและบริษัทด้านสื่อและบันเทิงต้องเปลี่ยนรูปแบบไปอย่างมากสุดๆ เช่น การถ่ายภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว (vdo) จากโทรศัพท์มือถือและทางอากาศด้วยโดรนและดาวเทียม LEO จะทำงานร่วมกัน จนบุคคลทั่วไปสามารถผลิตข้อมูลส่งขึ้นดาวเทียม เพื่อสร้างธุรกิจใหม่ๆ ที่ยังไม่มีให้เห็นในวันนี้

           (2) การใช้พลังงานทุกจุดบนโลก สามารถถูกวิเคราะห์และบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพอย่างเหลือเชื่อจาก sensor ในทุกรูปแบบพลังงาน ไม่ว่าพลังงานแบบดั้งเดิม หรือพลังงานทางเลือกเช่น พลังงานแสงอาทิตย์

           (3) การวิเคราะห์การเคลื่อนย้ายคนทั่วโลกจะเห็นแบบ real time จากข้อมูลการเคลื่อนที่ของเครื่องบินและเรือในมหาสมุทร ไปจนถึงพลังงานความร้อนของสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนที่บนผิวโลก จนทำให้ผลการวิเคราะห์มีความแม่นยำ real time เช่น การแพร่ระบาดของโลก การวิเคราะห์ด้านการท่องเที่ยว ไปจนถึงระบบ logistic ที่ชาญฉลาดจะเกิดขึ้นชัดเจน

           (4) ธุรกิจโทรคมนาคม เช่น ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ จะมี traffic เส้นทางใหม่ ยกจากผิวโลกขึ้นสู่ platform บนอวกาศด้วย LEO broadband satellite network จนผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศต่างๆ ต้องคิด model ทางธุรกิจใหม่ทั้งหมด

           (5) ระบบการเงินการธนาคารจะเชื่อมต่อแบบไม่มีอาณาเขตของประเทศอีกต่อไป ด้วยการทำธุรกรรมบนอุปกรณ์ที่หลากหลายไม่เพียงแต่บนมือถือจนเราจะลืมตู้ ATM ไปเลย การธนาคารจะเปลี่ยนไป

           (6) ในยุคของ Gen Alpha ระบบและรูปแบบการศึกษาจะหลากหลาย และจะเริ่มเป็นอิสระจากปริญญาและสถาบัน เพราะความรู้และ know how จะหาเองได้อย่างเหลือเชื่อ เขาถึงชอบพูดกันว่า โรงเรียนและมหาวิทยาลัยจะเปลี่ยนบทบาทไปอย่างสิ้นเชิง

           (7) กฎหมายที่ออกมาในปัจจุบัน และองค์กรที่ทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมายจะยืนงง เพราะมันใช้กับความเป็นจริงไม่ได้อีกต่อในโลกอนาคต เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการเก็บภาษี เป็นต้น

          อย่างไรก็ตาม ยังทันเวลาในการปรับตัวและเปลี่ยน business model ใหม่ให้ทันภายใน 2 ปีนี้ หลังจากนั้นต้องคิดเอาเอง”

    ผวาไฟสงครามสหรัฐ-อิหร่าน นายกฯ สั่งรับมือ คุมเข้มกลุ่มเสี่ยงเข้าไทย

          เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2563 พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งการขอให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพ ติดตามและประเมินสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิหร่านอย่างใกล้ชิด โดยให้ประสานกับหน่วยงานข่าว เพิ่มความเข้มการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสี่ยงในการผ่านเข้าออกประเทศไทยและในโลกไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง

          ทั้งนี้ ขอให้เฝ้าระวังและตั้งอยู่ในความไม่ประมาท พร้อมทั้งให้ประสานการทำงานร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการดูแลความปลอดภัยของบุคคลและสถานที่สำคัญรวมทั้งแหล่งผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องในไทย และขอให้เตรียมความพร้อมสนับสนุนการเคลื่อนย้ายคนไทยกลับภูมิลำเนา หากเหตุการณ์ขยายตัวและมีความรุนแรงขึ้น

          วันเดียวกัน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า จากสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างประเทศสหรัฐฯ และอิหร่านที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ทางกระทรวงพลังงานได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินและเตรียมการหากเกิดสถานการณ์ที่วิกฤติเพิ่มขึ้น ซึ่งจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ราคาน้ำมันดิบล่าสุดขยับขึ้น 4% อยู่ที่ 69 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

          โดยได้มีการประชุมหารือและได้เตรียมมาตรการเพื่อรองรับเหตุดังกล่าวซึ่งได้มีการเตรียมปริมาณสำรองน้ำมันดิบไว้ให้เพียงพอ โดย ณ วันที่ 5 มกราคม 2563 ไทยมีปริมาณสำรองน้ำมันดิบประมาณ 2,988 ล้านลิตร ปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่อยู่ระหว่างขนส่งอีก 1,144 ล้านลิตร น้ำมันสำเร็จรูป 1,468 ล้านลิตร รวมจำนวนวันที่สามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้ทั้งหมด 50 วัน ส่วนปริมาณสำรองก๊าซ LPG ทั้งหมดประมาณ 101 ล้านกิโลกรัม สำรองได้ 17 วันสำหรับใช้ในภาคครัวเรือน

          ทั้งนี้ ได้มีการบริหารจัดการเพื่อกระจายความเสี่ยงระยะยาว โดยกลุ่ม ปตท. ได้ปรับลดสัดส่วนการนำเข้าน้ำมันจากตะวันออกกลางที่เคยสูงถึงกว่า 74% และล่าสุดปรับลดเหลือประมาณ 50% ขณะที่ด้านการผลิตปิโตรเลียมในประเทศ ปัจจุบันผลิตน้ำมันดิบได้ประมาณ 1.3 แสนบาร์เรล/วัน โดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติจะขอความร่วมมือในการงดส่งออกน้ำมันดิบซึ่งจะได้ปริมาณน้ำมันดิบเพิ่มมากขึ้นประมาณ 25,000 บาร์เรล/วัน และหากมีเหตุฉุกเฉิน สามารถเพิ่มการผลิตภายในประเทศให้มากขึ้นอีก 36,000 บาร์เรล/วัน โดยจะขอความร่วมมือกับโรงกลั่นน้ำมันให้หาทางออกด้านเทคนิคเพื่อใช้น้ำมันดิบในประเทศทั้งหมด

          ด้านบริหารราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจะมีการใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการบริหารจัดการราคาน้ำมันในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน ซึ่งขณะนี้สถานะกองทุนน้ำมันฯ อยู่ที่ 37,378 ล้านบาท แบ่งเป็นกองทุนสำหรับน้ำมัน 42,592 ล้านบาท และบัญชีแอลพีจีติดลบที่ 5,214 ล้านบาท โดยในวันศุกร์ที่ 10 มกราคม 2563 กระทรวงพลังงานจะการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อประเมินสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และวางแนวทางรับมือต่อไป

          ก่อนหน้านี้ ในเช้าตรู่วันที่ 3 มกราคม 2563 พล.ต. กัสเซ็ม โซไลมานี ผู้บัญชาการกองกำลังปฏิวัติอิหร่าน (ไออาร์จีซี) ได้ถูกปลิดชีพโดยขีปนาวุธของสหรัฐอเมริกาขณะเดินทางออกจากสนามบินนานาชาติในกรุงแบกแดด ประเทศอิรัก

          กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แถลงว่า โซลามานีกำลังพัฒนาแผนโจมตีนักการทูตและทหารอเมริกันในอิรักและทั่วตะวันออกกลาง สหรัฐฯ จึงต้องใช้ปฏิบัติการป้องกันอย่างเด็ดขาด ปกป้องบุคลากรอเมริกันในต่างแดนด้วยการปลิดชีพกาเซ็ม โซลามานี

          พล.ต. โซไลมานี เสียชีวิตพร้อม นายอาบู มาห์ดี อัล-มูฮันดิส รองผู้บัญชาการกองกำลังฮัชด์ หรือ พีเอ็มเอฟ ซึ่งเป็นเครือข่ายนักรบชีอะห์ในอิรักที่มีความใกล้ชิดกับอิหร่าน

    งบปี 63 ผ่านเอกฉันท์ แต่ไม่พ้นวิบากกรรม

          เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2563 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติโหวตเห็นชอบรับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 มูลค่า 3.2 ล้านล้านบาท ในวาระสาม ด้วยเสียง 253 ต่อ 0 งดออกเสียง 196 ไม่ลงคะแนน 1 เสียง

          แต่หลังจากนั้นมีการร้องเรียนว่า ส.ส. บางคนได้ทำการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน ซึ่งหากเป็นเช่นนี้จะส่งผลอย่างไรต่อกฎหมายสำคัญฉบับนี้

          เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2563 นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ลงนามในเอกสารคำขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยร่างพระราชบัญญัติร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 หลังมี ส.ส. เสียบบัตรแทนกันในการลงมติร่าง พ.ร.บ.งบฯ

          เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2563 นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟสบุ๊กส่วนตัว ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องกรณีประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งความเห็นของ ส.ส.ขอให้วินิจฉัยว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ว่าจะต้องล้มไปหรือไม่ ว่า ศาลรับคำร้องดังกล่าวแล้ว ซึ่งกระทรวงการคลังไม่สามารถก้าวล่วงการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้ ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่า กรณีนี้ทำให้หลายฝ่ายมีความกังวลถึงผลกระทบที่อาจส่งผลถึงทำให้ ไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ทันในเดือนมีนาคมนี้

          "จากข้อกังวลดังกล่าว ผมจึงได้ร่วมหารือกับผู้บริหารของกระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดเตรียมมาตรการรองรับในทุกๆ กรณี รวมถึงการเตรียมการล่วงหน้าในระยะยาวด้วย โดยที่ประชุมได้เสนอมาตรการ เพื่อรองรับในหลายแนวทางด้วยกัน และพร้อมที่จะนำมาใช้ได้อย่างทันท่วงที ทั้งเรื่องของการเบิกจ่ายเงินเดือนข้าราชการ และเงินลงทุนของภาครัฐ เงินลงทุนรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งหน้าที่ของกระทรวงการคลัง คือเป็นหน่วยงานสำคัญในการดูแลงบประมาณ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไป " นายอุตตม กล่าว

    สภาฯ แจ้ง 'กรณ์-ไวพจน์' สิ้นสุดสมาชิกภาพ ส.ส. ส่งผลมี ส.ส. 497 คน

          เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2563 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายศุภชัย โพสุ รองประธานสภาฯ คนที่ 2 เป็นประธานประชุม ได้แจ้งเพื่อทราบต่อที่ประชุมว่า รับทราบเรื่องสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรลาออกจาการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ด้วย นายกรณ์ จาติกวณิช ได้มีหนังสือขอลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา เป็นเหตุให้สมาชิกภาพของนายกรณ์ สิ้นสุดลงตามาตรา 101(8) ของรัฐธรรมนูญและรับทราบเรื่องสมาชิกภาพความเป็นสมาชิกสภาฯ ของ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ สิ้นสุดลง ด้วยศาลจังหวัดพัทยาได้อ่านคำพิพากษา ศาลฎีกาให้ลงโทษ พ.ต.ท.ไวพจน์ จำคุก 4 ปี ปรับ 200 บาท โดยไม่รอลงอาญา เป็นเหตุให้สมาชิกภาพของ พ.ต.ท.ไวพจน์ สิ้นสุดลงตามมาตรา 101(13) ของรัฐธรรมนูญ ดังนั้น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ขณะนี้จำนวน 497 คน องค์ประชุมกึ่งหนึ่ง ไม่น้อยกว่า 249 คน

          ในครั้งแรก หลังจากนายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ประกาศลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้ต้องพ้นจาก ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ โดยอัตโนมัตินั้น มีรายงานว่า สำหรับลำดับบัญชีรายชื่อถัดไปคือ นายดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง แต่เนื่องจากนายดวงฤทธิ์ ลาออกไปก่อนหน้านี้แล้ว จึงทำให้ นายจักรพันธ์ ปิยพรไพบูลย์ ได้เลื่อนลำดับขึ้นเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ แทนนายกรณ์

          แต่ต่อมาเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2563 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกเอกสารข่าวชี้แจงว่า กกต. มีมติประกาศผลการคำนวณจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อใหม่ หลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ของนายชาติชาย วรพิพัฒน์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 จ.จันทบุรี พรรคประชาธิปัตย์ เป็นเวลา 10 ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษา จากกรณีปราศรัยใส่ร้ายด้วยข้อความอันเป็นเท็จเพื่อจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมตามมาตรา 73 วรรคหนึ่ง (5) ของ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. โดยวิธีการคำนวณ เป็นไปตามมาตรา 131 ของกฎหมายเดียวกัน คือ นำคะแนนรวมทั้งประเทศที่ทุกพรรคการเมืองได้รับจากการเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 และการเลือกตั้ง ส.ส.เขต 8 เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2562 ที่ กกต. ประกาศผลการเลือกตั้งครบทั้ง 350 เขตเลือกตั้ง ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2562 ซึ่งรวมถึงคะแนนของพรรคประชาชนปฏิรูป ด้วยนั้น มาเป็นตัวตั้ง แล้วตัดคะแนนของนายชาติชาย ที่ได้รับในการเลือกตั้งเขต 2 จ.จันทบุรี จำนวน 19,711 คะแนน ออกจากผลรวมคะแนนทั้งประเทศ ของพรรคประชาธิปัตย์ แล้วคิดคำนวณตามมาตรา 129 วรรคสี่ และวรรคห้า

          ซึ่งปรากฏผลการคำนวณที่เปลี่ยนแปลงไป โดยพรรคประชาธิปัตย์ได้รับการจัดสรร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลดลงจากเดิม 20 คน เหลือ 19 คน และพรรคไทรักธรรม จากที่ไม่ได้รับจัดสรร ก็ได้รับการจัดสรรหา ส.ส.บัญชีรายชื่อ เพิ่มจำนวน 1 คน คือ นายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค หัวหน้าพรรคไทรักธรรม ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรค ลำดับที่ 1

          ทั้งนี้ การคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ใหม่ครั้งนี้ ไม่มีการนำผลการเลือกตั้ง ส.ส.เขต 5 นครปฐม แทนตำแหน่งที่ว่าง เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2562 และการเลือกตั้ง ส.ส.เขต 7 ขอนแก่น แทนตำแหน่งที่ว่าง เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2562 มารวมคำนวณด้วย เนื่องจากการเลือกตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างทั้ง 2 ครั้ง ไม่ได้เป็นผลจากมีการทุจริตการเลือกตั้งเกิดขึ้นตามที่มาตรา 131 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. กำหนด

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนายพีระวิทย์ เคยได้รับจัดสรรเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ มาแล้ว หลังการประกาศผลการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2562 แต่ก็เป็น ส.ส.อยู่ได้เพียง 65 วัน ก็ต้องพ้นจากการเป็น ส.ส.เนื่องจากมีการเลือกตั้ง ส.ส.เชียงใหม่ เขต 8 แทนตำแหน่งที่ว่าง และมีการนำผลคะแนนมาคำนวณใหม่ ส่งผลให้นายพีระวิทย์ กลับไปเป็นผู้สมัครอยู่ในบัญชีของพรรคไทรักธรรม เช่นเดิม

          ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ที่จำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อต้องลดลงนั้น ทำให้ปัจจุบัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับสุดท้ายของพรรค ก็คือ นายจักรพันธ์ ปิยพรไพบูลย์ ซึ่งเพิ่งเข้ามาทำหน้าที่ เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2563 แทนนายกรณ์ จาติกวณิช ที่ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง และกลับไปเป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ เช่นเดิม

          สำหรับ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ จังหวัดกำแพงเพชรนั้น เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2563 ศาลจังหวัดพัทยา จ.ชลบุรี มีคำพิพากษาว่ามีความผิดในคดีที่ “13 นปช.” ร่วมกันชุมนุม บุกรุกไปยังโรงแรม รอยัลคลิฟ บีช พัทยา ก่อความวุ่นวายขัดขวางการประชุมอาเซียน ซัมมิท ปี 2552 และไม่มาฟังคำพิพากษา ในวันที่ 3 ธันวาคม 2562 ศาลจึงได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาลับหลังจำเลย โดยศาลฎีกาพิพากษายืน ให้จำคุก พ.ต.ท.ไวพจน์ 4 ปี ปรับ 200 บาท โทษจำคุกไม่รอลงอาญา และให้ออกหมายจับ พ.ต.ท.ไวพจน์ จำเลยที่ 3 มารับโทษตามคำพิพากษาศาลฎีกาต่อไป โดยหมายจับมีอายุความ 10 ปี นับจากออกหมายจับเป็นต้นไป

    กกต.แจงขั้นตอนสอบเงินกู้พรรคการเมือง โทษหนักคดีอาญา-ยุบพรรค

          วันที่ 15 มกราคม 2563 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เผยแพร่เอกสารชี้แจงกรณีการตรวจสอบรายได้ของพรรคการเมืองว่า

          ตามที่มีการให้ข้อมูลว่ามีพรรคการเมืองที่มีรายการกู้เงินในเอกสารงบการเงินประจำปีของพรรคการเมืองที่นายทะเบียนพรรคการเมืองประกาศให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไปนั้น สำนักงาน กกต. ชี้แจงและให้ข้อมูลการดำเนินการเกี่ยวกับการตรวจสอบรายได้ของพรรคการเมืองว่า กรณีมีเรื่องร้องเรียน เป็นกรณีที่มีผู้ยื่นคำร้องกล่าวหาว่าพรรคเมืองใดกระทำการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง เช่น กรณีมีผู้ยื่นคำร้องเมื่อเดือน พฤษภาคม 2562 กล่าวหาว่าพรรคอนาคตใหม่ทำสัญญากู้ยืมเงินจากนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โดยกรณีดังกล่าวเมื่อมีการยื่นคำร้อง กกต. ได้ดำเนินการ คือ

          1. คดีอาญา ได้ดำเนินการสืบสวนตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวน และการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2561 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาและวินิจฉัยชี้ขาดของ กกต.และ

          2. คดียุบพรรคการเมือง ซึ่ง กกต.ได้มีมติให้นายทะเบียนพรรคการเมืองพิจารณาและดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ซึ่งปรากฏว่าพรรคอนาคตใหม่กระทำการฝ่าฝืนมาตรา 72 แห่ง พ.ร.ป.พรรคการเมือง จึงเป็นเหตุให้ กกต. ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (3) แห่ง พ.ร.ป.พรรคการเมือง พ.ศ. 2560

          ส่วนกรณีที่ไม่มีเรื่องร้องเรียน เป็นกรณีการตรวจสอบรายได้จากงบการเงินของพรรคการเมืองตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ซึ่งกำหนดให้พรรคการเมืองทุกพรรคการเมืองต้องจัดทำงบการเงินประจำปีของพรรคการเมืองส่งให้แก่นายทะเบียนพรรคการเมืองภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด หรือภายในเดือน พ.ค.ของปีถัดไป และเมื่อได้รับงบการเงินดังกล่าวแล้ว นายทะเบียนพรรคการเมืองต้องประกาศให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไป ซึ่งการตรวจสอบรายได้ของพรรคการเมืองจากงบการเงินประจำปี นายทะเบียนพรรคการเมืองจะดำเนินการตรวจสอบได้ก็ต่อเมื่อพรรคการเมืองจัดส่งงบการเงินประจำปีในแต่ละปีให้นายทะเบียนพรรคการเมืองแล้ว

          ทั้งนี้ เมื่อ พ.ร.ป.พรรคการเมือง พ.ศ. 2560 และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 22/2561 เรื่อง การให้ประชาชนและพรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ลงวันที่ 11 ธันวาคม 2561 ใช้บังคับ ทำให้พรรคการเมืองตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง พ.ศ.2550 และพรรคการเมืองตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง พ.ศ. 2560 สามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ และได้จัดให้มีการประชุมใหญ่เพื่อรับรองงบการเงินของพรรคการเมือง

          ทั้งนี้ นายทะเบียนพรรคการเมืองอยู่ระหว่างการตรวจสอบรายได้ของพรรคการเมือง ซึ่งปรากฏตามงบการเงินประจำปี 2557-2561 หากตรวจสอบแล้วพบว่าพรรคการเมืองใดกระทำการเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง พ.ศ. 2560 นายทะเบียนพรรคการเมืองจะได้แจ้งให้พรรคการเมืองดังกล่าวชี้แจงข้อเท็จจริงและแสดงพยานหลักฐานภายในระยะเวลาที่กำหนด ตามมาตรา 7 แห่ง พ.ร.ป.พรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ต่อไป

    กรณ์ เปิดใจทิ้งประชาธิปัตย์!! ประกาศเดินหน้าระดมจอมยุทธ์ลุยการเมือง

          เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2563 นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) หลายสมัย ได้ประกาศคำแถลงลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Korn Chatikavanij" โดยเปิดใจถึงการตัดสินใจในครั้งนี้ว่า ขอบคุณพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ให้โอกาสตนตลอดมา โดยที่โอกาสสำคัญที่สุดคือ การเป็นรัฐมนตรีคลังในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่ง

          หลังจากเสร็จภารกิจได้ร่วมพิจารณาอนุมัติงบประมาณแผ่นดินจนรัฐบาลสามารถเดินหน้าได้เต็มที่ในการขับเคลื่อนนโยบายแล้ว ตนจึงได้ยื่นใบลาออกตามที่ตั้งใจไว้

          แต่โดยที่ตนมีความฝัน ที่อยากจะสร้างการเมืองแห่งความเปลี่ยนแปลง การเมืองที่กล้าคิด กล้าทำ มีความรอบคอบแต่ไร้ความกลัว มีความเด็ดเดี่ยวแต่มีคุณธรรม เป็นการเมืองที่จะชวนผู้คนในสังคมไทยที่มีศักยภาพ มาร่วมกันออกแบบและขับเคลื่อนประเทศไทยไปด้วยกันจึงตัดสินใจเดินหน้าสร้างทางเลือกทางการเมืองที่คนไทยแสวงหา เป็นการเมืองที่ต้องกล้าคิด กล้าทำ กล้าแม้แต่จะพลั้งพลาด และเป็นการเมืองที่มั่นใจในศักยภาพของคนไทย เป็นการเมืองที่มีเป้าหมายเปลี่ยนแปลงประเทศในหลากหลายมิติ ด้วยความเชื่อว่าหากเราไม่กล้าเปลี่ยน ไม่กล้าท้าทายตัวเอง คนไทยจะลำบาก เพราะเราจะแข่งขันไม่ได้

    ศาล รธน. สั่งยกคำร้อง ไม่ยุบ ‘อนค.’ คดีล้มล้างการปกครอง

          เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2563 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 มีคำวินิจฉัยยกคำร้องในคดีที่นายณฐพร โตประยูร ยื่นขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่าการกระทำของพรรคอนาคตใหม่ ผู้ถูกร้องที่ 1 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ผู้ถูกร้องที่ 2 นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ผู้ถูกร้องที่ 3 และคณะกรรมการบริหารพรรค ผู้ถูกร้องที่ 4 เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่

          โดยศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่า จากคำร้องเป็นกรณีกล่าวอ้างว่าข้อบังคับ นโยบายพรรคและสัญลักษณ์ของพรรคอนาคตใหม่ มีลักษณะเป็นการใช้สิทธิเพื่อล้มล้างการปกครองและเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 14(1) จากบทบัญญัติดังกล่าว จะพบว่าเป็นอำนาจหน้าที่ กกต. และนายทะเบียนพรรคการเมือง ต้องตรวจสอบว่าคำขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองถูกต้องหรือไม่ เมื่อตรวจสอบถูกต้องครบถ้วนแล้ว นายทะเบียนจะรับจัดตั้งพรรคและประกาศในราชกิจจนุเบกษา

          ซึ่งกรณีดังกล่าวปรากฏข้อเท็จจริงว่า ในกระบวนการยื่นคำขอจดจัดตั้งพรรคการเมืองอนาคตใหม่มีการยื่นเอกสารข้อบังคับพรรค พร้อมคำประกาศอุดมการณ์และสัญลักษณ์พรรค นายทะเบียนพรรคการเมืองได้ตรวจสอบความถูกต้องและรับจดจัดตั้งโดยความเห็นชอบของ กกต. และมีประกาศจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ข้อบังคับพรรคอนาคตใหม่จึงไม่มีลักษณะเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองฯ หากภายหลังพบว่าข้อบังคับพรรคไม่เป็นไปตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ก็เป็นอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนพรรคการเมืองต้องรายงานต่อ กกต. ให้มีมติเพิกถอนข้อบังคับพรรค ตามมาตรา 17(3) ได้ กรณีนี้จึงไม่มีข้อเท็จจริงเพียงพอว่าเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองฯ

          ส่วนกรณีที่ผู้ร้องอ้างว่าผู้ถูกร้อง มีแนวคิดคลั่งไคล้ปรัชญาตะวันตก และเป็นปฏิปักษ์กษัตริย์นิยม มีการแสดงความเห็นทั้งก่อนและหลังการจัดตั้งพรรคการเมืองรวมถึงการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนและการแสดงความเห็นต่อสังคมในช่องทางต่างๆ ศาลเห็นว่าการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงเพียงพอในระดับที่ทำให้เกิดผลและกระทบสิทธิและเสรีภาพจนถึงขนาดที่วิญญูชนอาจคาดการณ์ได้ว่าน่าจะเกิดผลเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองโดยการกระทำนั้นจะต้องดำเนินการอยู่ ไม่ห่างไกลเกินกว่าเหตุ แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีเป็นเพียงข้อมูลข่าวสารจากเว็ปไซต์ สื่อสิ่งพิมพ์และสื่ออินเตอร์เน็ต จึงยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ถูกร้องทั้ง 4 มีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองกรณีจึงไม่เพียงพอรับฟังได้ว่าเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ตามมาตรา 49 วรรคหนึ่ง ส่วนการกระทำจะเป็นความผิดตามกฎหมายอื่นใดหรือไม่ ต้องว่ากันตามกระบวนการและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องต่อไป ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยว่าการกระทำของพรรคอนาคตใหม่ไม่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

          อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเป็นเอกฉันท์วินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสี่ตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้างไม่เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง

    ‘ครม.สัญจรนราฯ’ไฟเขียว 1.8 หมื่นล้าน ดันเขต ศก.พิเศษจะนะ

          เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2563 น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) จ.นราธิวาส ว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบการพัฒนาจังหวัดชายแดนใต้ ประกอบด้วย 3 เรื่อง ได้แก่

          1. เขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งตามที่รัฐบาลต้องการขยายผลเมืองต้นแบบ ตามนโยบาย สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน รัฐบาลเห็นชอบ อ.จะนะ จ.สงขลา เป็นเมืองต้นแบบที่ 4 เมืองอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต เนื่องจากในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนใต้ ยังไม่มีนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับแรงงานในพื้นที่ที่มีอยู่มาก และเป็นพื้นที่ที่มีความพร้อมด้านกายภาพ เป็นพื้นที่ชายฝั่ง จึงมีความเหมาะสมที่จะดำเนินการท่าเรือน้ำลึก เพื่อให้นิคมอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นสามารถใช้ประโยชน์จากการนำเข้าและส่งออกสินค้าได้อย่างสะดวก

          ทั้งนี้ ครม. จึงอนุมัติในหลักการของแผนเร่งด่วนการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ อ.จะนะ ซึ่งประกอบด้วย ด้านผังเมือง พื้นที่ใน 3 ตำบล ได้แก่ นาทับ ตลิ่งชัน และสะกอม ด้านโครงข่ายการขนส่งทางน้ำ โครงการท่าเรือน้ำลึกสงขลา ด้านโครงข่ายการขนส่งทางบก แผนแม่บทจราจรเชื่อมทางหลวง ทางหลวงชนบท ถนนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ด้านพลังงาน โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติ/ชีวมวล/แสงอาทิตย์/ลม เพื่อขับเคลื่อนสู่เป้าประสงค์การพัฒนาให้เป็นเมืองต้นแบบที่ 4

          ในภาพรวมโครงการ มีเนื้อที่ 16,753 ไร่ ใช้เงินลงทุนประมาณ 18,680 ล้านบาท คาดว่าจะก่อให้เกิดการจ้างงานประมาณ 1 แสนอัตรา มีกิจกรรม 6 ประเภท 1. พื้นที่เขตอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมเบา จำนวน 4,253 ไร่ 2. พื้นที่อุตสาหกรรมหนัก จำนวน 4,000 ไร่ 3. พื้นที่เขตอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้า จำนวน 4,000 ไร่ จำนวน 4 โรง กำลังผลิตรวม 3,700 เมกะวัตต์ 4.พื้นที่เขตอุตสาหกรรมต่อเนื่องกับกิจกรรมหลังท่าเรือ จำนวน 2,000 ไร่ 5. พื้นที่เขตอุตสาหกรรมศูนย์รวมและกระจายสินค้า จำนวน 2,000 ไร่ และ 6. พื้นที่ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จและแหล่งที่พักอาศัย จำนวน 500 ไร่

          ครม. เห็นชอบแผนการขับเคลื่อนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส ซึ่งเป็นแผนบริหารจัดการที่ดินสำหรับการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส ให้ ศอ.บต. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบจัดซื้อที่ดินเอกชน บริษัทสวนยางไทย จำนวน 1,683 ไร่ ในพื้นที่ อ.ยี่งอ และ อ.เมืองนราธิวาส ในกรอบวงเงิน 390 ล้านบาท การบริหารจัดการที่ดิน แบ่งเป็น สามส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 ให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเช่า จำนวน 600 ไร่ ในพื้นที่ ต.ละหาร อ.ยี่งอ เพื่อจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม ตามอำนาจหน้าที่ของการนิคมแห่งประเทศไทย ส่วนที่ 2 ให้เอกชนเช่า เนื้อที่รวม 1,003 ไร่ โดยกรมธนารักษ์เปิดประมูลเพื่อสรรหาผู้ลงทุนตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด และส่วนที่ 3 เป็นพื้นที่สำหรับใช้ประโยชน์ของทางราชการในพื้นที่ ต.ละหาร อ.ยี่งอ พื้นที่รวม 79 ไร่ เช่น สร้างศูนย์อบรมพัฒนาทักษะแรงงานเพื่อรองรับนิคมอุตสาหกรรมและการลงทุนและการพัฒนาและส่งเสริมนักธุรกิจรุ่นใหม่ยุค 4.0

          2. ครม. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินทำกิน 3 ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ ต.ปูโยะ และ ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... เนื้อที่ประมาณ 542–2-53 ไร่, ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ ต.ปะลุรู ต.โต๊ะเต็ง และ ต.ริโก๋ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... ครอบคลุมพื้นที่ จำนวน 5 แห่ง รวมเนื้อที่ประมาณ 266-3-30.3 ไร่ และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่ ต.บางปอ อ.เมืองนราธิวาส และ ต.ดุซงญอ ต.ช้างเผือก ต.จะแนะ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... จำนวน 25 แปลง เนื้อที่รวมประมาณ 1,047 – 1 - 28.9 ไร่

          ทั้งนี้ พระราชกฤษฎีกาฯ ทั้ง 3 ฉบับ จะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรใน จ.นราธิวาสทำให้มีที่ดินทำกินเพียงพอต่อการครองชีพ ส่งผลให้มีความมั่นคงทางอาชีพและมีแรงจูงในการพัฒนาอาชีพต่อไป รวมทั้งสามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาการถูกชักจูงให้เคลื่อนไหวก่อความไม่สงบเรียบร้อยได้ในระดับหนึ่ง

          3. เห็นชอบกรอบแนวทางการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงผ่านโครงการตำบลมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ของ ศอ.บต. โดยให้มีสภาสันติสุขตำบล เป็นกลไกในการบริหารราชการระดับตำบล ขับเคลื่อนโครงการฯ โดยให้นายอำเภอมีอำนาจแต่งตั้งสภาสันติสุขตำบล ประกอบด้วย 5 ภาคส่วน ได้แก่ ภาคส่วนราชการที่เป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในตำบล เช่น ปลัดอำเภอ ทหาร ตำรวจ พัฒนากร, ผู้ปกครองท้องที่ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน, องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, ผู้นำศาสนาหรือองค์กรศาสนาทุกศาสนาในพื้นที่ตำบล, ภาคประชาชน เช่น ปราชญ์ชาวบ้าน ตัวแทนกลุ่มเยาวชน กลุ่มสตรี โดยสภาสันติสุขตำบลมีหน้าที่ในการให้ข้อเสนอแนะและข้อคิดเห็นในการจัดทำแผนพัฒนาโครงการตำบลฯ นำไปสู่การส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก เชื่อมโยงเศรษฐกิจชุมชนกับระดับจังหวัด และพัฒนาสังคมและทรัพยากรมนุษย์ ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนใต้

    ครม. เห็นชอบรายงานผลการทำงาน ศอ.บต. คาดครึ่งปีหลังเปิดใช้สนามบินเบตง

          เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2563 ที่มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ จ.นราธิวาส น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ว่า ครม. เห็นชอบรายงานผลการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนใต้ (ศอ.บต.) ตั้งแต่รัฐบาลมีโครงการ 3 เหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยังยืน ซึ่งมีการพัฒนาการท่องเที่ยว การสร้างสกายวอล์ก ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง การสนับสนุนสร้างโฮมสเตย์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ มีมากกว่า 80 แห่ง ส่วนด้านการคมนาคม โครงการก่อสร้างท่าอากาศยานเบตง ที่ อ.เบตง จ.ยะลา จะมีการเริ่มทดสอบให้ใช้บริการได้เร็วๆ นี้ คาดว่าช่วงครึ่งปีหลังจะเปิดให้บริการได้ โดยรองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 1.5 ล้านคนต่อปี รวมถึงการเร่งรัดการสร้างสะพานสุไหงโก-ลก แห่งที่ 2 ในส่วนการเกษตร ศอ.บต.การสนับสนุนให้เกษตรกรปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ไผ่ ซึ่งเป็นพืชที่สร้างรายให้กับประชาชนอย่างมาก โดยเฉพาะไผ่ที่ใช้ในพลังงานชีวมวล

          ทั้งนี้ ยังมีการพัฒนาด่านชายแดน 9 แห่ง ใน 4 จังหวัด คือ สตูล นราธิวาส และสงขลา ให้มีความทันสมัย ทั้งในเรื่องการตรวจลงตราให้มีความปลอดภัย โดยในด่านชายแดนทั้งหมดไทย-มาเลเชีย ภาพรวมมูลค่าการค้าขายประมาณ 7 แสนล้าน แต่เฉพาะใน 9 ด่าน 4 จังหวัดประมาณ 5.7 แสนล้าน

    ครม. เห็นชอบ 12 มาตรการแก้ฝุ่นพิษ

          เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2563 ที่มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ จ.นราธิวาส นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ว่า ครม. เห็นชอบในหลักการ 12 มาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 โดยรัฐบาลขอชี้แจงเพื่อความชัดเจนว่ารัฐบาลไม่ได้มีความเห็นว่าเรื่องฝุ่นเป็นเรื่องปกติ ไม่เคยคิดว่าจะไม่ให้ความสำคัญ ซึ่ง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบหมายให้ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวในวันที่ 23 มกราคมนี้ โดยจะมีการเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อที่จะพูดคุยในระดับปฏิบัติการให้ชัดเจนร่วมกัน เราไม่ได้มีอะไรติดขัดกับมาตรการ แต่อยากให้การดำเนินการเป็นไปได้จริงไม่ได้ออกมาตรการเฉยๆ

          จากนั้นจะมีการแถลงผลการประชุมอย่างชัดเจนตามมา เช่น พื้นที่ กทม. ทำอะไรไปแล้วบ้าง พื้นที่ปริมณฑลทำอะไรบ้าง และในจังหวัดต่างๆ ผู้ว่าฯ จะมีอำนาจรับผิดชอบตรงไหนอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจำกัดพื้นที่ให้รถยนต์เข้ามา หรือรถกระบะเข้ามาในพื้นที่ไหนได้บ้าง รวมถึงเรื่องการเผาในที่โล่งจะนำไปหารือด้วย เพื่อให้สามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างจริงจัง

          เมื่อถามว่า มาตรการเร่งด่วนดังกล่าวมีเรื่องที่ให้โรงเรียนสามารถหยุดเรียนได้หรือไม่ นางนฤมล กล่าวว่า ถ้าเป็นเรื่องของโรงเรียนอยู่ในอำนาจของผู้อำนวยการสามารถพิจารณาได้ว่าจะปิดโรงเรียนหรือไม่

    ครม. อนุมัติปรับเบี้ยผู้พิการจาก 800 เป็น 1,000 บาท

          เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม. อนุมัติเพิ่มเบี้ยผู้พิการจากปัจจุบัน 800 บาทต่อคนต่อเดือน เป็น 1,000 บาทต่อคนต่อเดือน ตามที่คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเสนอ เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะค่าครองชีพในปัจจุบัน เพราะจะสามารถช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของคนพิการได้ และไม่ทำให้ค่าใช้จ่ายทางการคลังเพิ่มมากขึ้นจนเกินไป สถานะทางการเงินของผู้พิการ ซึ่งจากการสำรวจพบว่าส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทและมีรายได้น้อยมาก เฉลี่ยเดือนละ 4,326 บาท การปรับปรุงเบี้ยผู้พิการให้ตอบสนองความต้องการที่จำเป็นจะช่วยให้ผู้พิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

          ทั้งนี้ ข้อมูลจากฐานทะเบียนกลาง กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2562 มีจำนวนคนพิการที่ทำบัตรผู้พิการ 2.02 ล้านคน การปรับเบี้ยผู้พิการเพิ่มขึ้นนี้ จะทำให้ต้องขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม จำนวน 4,852 ล้านบาท/ปี โดยจะเริ่มจ่ายตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2563 ให้แก่ผู้พิการที่มีบัตรประจำตัวผู้พิการและผ่านคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ใช้งบประมาณผ่านกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ปีงบประมาณ 2564

          น.ส.รัชดา กล่าวว่า นายกฯ ยังได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดังนี้

          1. ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ให้ทุกส่วนราชการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่คนพิการเช่น ทางลาดขึ้นลงอาคาร ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การออกแบบอาคารเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่คนพิการ โดยกำหนดให้เป็นเงื่อนไขในการขออนุญาตก่อสร้างอาคาร

          2. ด้านการสร้างอาชีพ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ดำเนินการ 1) จัดทำบัญชีคนพิการโดยแยกประเภทตามความพิการ คุณวุฒิเฉพาะด้านของคนพิการ เพื่อเป็นข้อมูลในการจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐและการทำงานที่บ้าน 2) กำหนดเป้าหมายการรับคนพิการเข้าทำงานในแต่ละภาคส่วนให้ชัดเจน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการขอความร่วมมือจากภาคเอกชน ให้กระทรวงแรงงาน ติดตามและตรวจสอบการจ้างงานคนพิการของนายจ้างหรือผู้ประกอบการต่างๆ ให้ดำเนินการถูกต้องเป็นไปตามที่กฎกระทรวงกำหนด เพื่อให้คนพิการได้เข้าทำงานจริงและเปิดโอกาสให้ได้รับการพัฒนาทักษะ ความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพ

          3. ด้านสิทธิประโยชน์ ให้กระทรวงแรงงาน (สำนักงานประกันสังคม) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พิจารณาแนวทางปรับปรุงสิทธิประโยชน์ในการได้รับบริการด้านสุขภาพของคนพิการที่มีงานทำและเป็นผู้ประกันตนตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม และคนพิการที่ยังไม่มีงานทำและเป็นผู้ได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้มีความสอดคล้องเท่าเทียมกัน

    ครม. อนุมัติเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มเชื่อมตะวันออก-ตะวันตก

          เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม. มีมติอนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี) ระยะทางรวม 13.4 กิโลเมตร มีจำนวน 11 สถานี เป็นสถานีใต้ดินทั้งหมด เริ่มต้นที่บางขุนนนท์ จนถึงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย มีจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายอื่นๆ 7 จุด ได้แก่ บางขุนนนท์ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ยมราช ศิริราช ราชเทวี ราชปรารภ และศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย

          สำหรับรูปแบบการลงทุนจะเป็นแบบภาครัฐจะลงทุนเฉพาะค่างานจัดการกรรมสิทธิ์ที่ดินเท่านั้น ส่วนภาคเอกชนจะลงทุนค่างานโยธาโครงการ ซึ่งภาครัฐจะทยอยจ่ายคืนให้ระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปี เอกชนจะลงทุนค่างานระบบไฟฟ้า ขบวนรถไฟฟ้า การบริหารการเดินรถ และซ่อมบำรุงรักษาตลอดเส้นทาง ระยะเวลาในการเดินรถจำนวน 30 ปี นับตั้งแต่โครงการเปิดให้บริการ โดยเอกชนจะเป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสาร รับความเสี่ยงด้านรายได้ค่าโดยสาร รายได้จากการพัฒนาเชิงพาณิชย์ และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการดำเนินงาน

          รองโฆษกฯ กล่าวต่อว่า สำหรับงบประมาณ เป็นวงเงินจากภาครัฐจำนวน 110,673 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าจัดการกรรมสิทธิ์รวมกับค่าจ้างสำรวจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 14,666 ล้านบาท และเป็นเงินสนับสนุนให้เอกชนที่เกิดขึ้นตามจริงในการก่อสร้างงานโยธา จำนวน 96,012 ล้านบาท ขณะที่วงเงินจากภาคเอกชน จำนวน 32,116 ล้านบาท แบ่งเป็นค่างานระบบรถไฟฟ้า จำนวน 31,000 ล้านบาท และค่าจ้างที่ปรึกษาบริหาร จำนวน 1,116 ล้านบาท โดยสัดส่วนการลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนจะอยู่ที่ 86:15 ด้านผลตอบแทนทางด้านการเงินอยู่ที่ร้อยละ 0.0 ผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจ อยู่ที่ร้อยละ 19.45 ขณะที่กรอบระยะเวลาในการดำเนินโครงการ จะมีการคัดเลือกเอกชนเพื่อร่วมลงทุนโครงการจนถึงเดือนตุลาคมนี้ การสำรวจอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน 2562 – ธันวาคม 2565 การก่อสร้างโครงการฝั่งตะวันตกจะเริ่มตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน 2563 – มีนาคม 2569 และพร้อมเปิดให้บริการในปี 2569 ส่วนฝั่งตะวันออกคาดว่าจะเปิดใช้บริการได้ในปี 2566


    From : http://www.fpps.or.th


  •