ปฏิรูปการเมือง
การให้การศึกษาทางการเมือง สร้างผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งที่มีคุณภาพ (5)

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
ทิพย์พาพร ตันติสุนทร


6. วัยผู้ใหญ่ การศึกษาอบรมของผู้ใหญ่ควรออกแบบเพื่อให้ใครก็ตามที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ที่ไม่ได้อยู่ในการศึกษาในระบบโรงเรียน ผู้ใหญ่จำนวนมากในสังคมสมัยใหม่มีความเข้าใจน้อยมากในเรื่องระบบการเมืองไทยและบทบาทความเป็นพลเมืองในสังคมประชาธิปไตย ผู้คนเหล่านี้จึงมีความสามารถที่จำกัดจากการขาดพื้นฐานความรู้ความเข้าใจและทักษะประชาธิปไตยตั้งแต่ต้น จึงทำให้ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างเข้าใจ

      เพื่อให้พวกเขาเป็นพลเมืองที่มีความตระหนักและมีส่วนร่วมอย่างมีวัฒนธรรมทางการเมือง โครงการศึกษาอบรมพิเศษต่างๆ จะต้องได้รับการออกแบบ เพื่อที่จะทำให้คนเหล่านี้ได้เป็นพลังสำคัญในการเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองอย่างมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องทางการเมือง และตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อชะตากรรมของประเทศร่วมกัน โครงการศึกษาอบรมและกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ เป็นการเตรียมและจัดให้มีไว้ในทางที่สอดคล้องกับการศึกษาผู้ใหญ่ ซึ่งการศึกษาในกลุ่มนี้ควรให้เขาได้เรียนรู้ถึงสิทธิและกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งในเรื่องสิทธิมนุษยชน สิทธิชุมชน สิทธิผู้บริโภค สิทธิในการรวมกลุ่มทางการเมือง การสร้างความรู้ความเข้าใจการเมืองการปกครองอย่างรู้ทันทางการเมือง เข้าใจระบบเศรษฐกิจและความสำคัญของอิทธิพลด้านสื่อมวลชน รวมทั้งเรื่องธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เป็นประเด็นปัญหาในระดับชุมชนท้องถิ่น ระดับชาติ และโลกอีกทั้งยังต้องช่วยทำให้เกิดทักษะการรวมกลุ่ม การเป็นผู้นำ การคิดวิเคราะห์ติดตามข่าวสาร สถานการณ์ทางการเมือง การตัดสินใจทางการเมืองอย่างมีวิจารณญาณ ปลอดจากการครอบงำ การสร้างเครือข่ายและการมีสำนึกต่อสังคมประเทศชาติ

      การสร้างกระบวนการเรียนรู้และการกล่อมเกลาทางการเมืองผ่านการให้การศึกษาทางการเมืองในแนวทางประชาธิปไตยนี้ เป็นการเสริมสร้างจิตสำนึกของความเป็นพลเมืองที่มีวัฒนธรรมทางการเมืองให้เกิดขึ้นตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ให้อยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างระยะยาวและจะส่งผลต่อการสร้างความสามารถในการมีส่วนร่วมของสมาชิกในสังคมที่จะรับผิดชอบต่อการเมืองของประเทศได้ด้วย ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทย ที่มีประสบการณ์การเมืองที่วนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์ดังได้กล่าวมาแล้ว นอกจากนี้ การวางรากฐานทั้งรูปแบบและเนื้อหาของการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองประชาธิปไตยแล้วต้องไม่ละเลยเรื่องสิทธิมนุษยชน ที่ให้ความสำคัญและเห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์อย่างมีศักดิ์ศรีเสมอกัน หลักความเสมอภาค ความยุติธรรมและเสียงทุกเสียงมีคุณค่าและความหมายก็ล้วนมาจากหลักของความเป็นมนุษย์หรือสิทธิมนุษยชน กระทั่งมีคำกล่าวว่า “สิทธิมนุษยชนเป็นดั่งลมหายใจของประชาธิปไตย” นั่นเอง

      การเสริมสร้างวัฒนธรรมการเมืองในระบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จึงจำเป็นที่จะต้องวางรากฐานจากการให้การศึกษาทางการเมืองเพื่อให้พลเมืองสามารถที่จะอยู่ในสังคมประชาธิปไตยได้กระทั่งเป็นวิถีชีวิต เข้าใจว่าการเมืองเกี่ยวข้องกับทุกชีวิต และทุกๆ คนควรจะปฏิบัติตนอย่างไรให้เป็นผู้สนับสนุนการเมืองในครรลองประชาธิปไตยกระทั่งเป็นพลเมืองผู้มีวัฒนธรรมการเมือง ซึ่งการจะเป็นเช่นนี้ได้ จำเป็นที่รัฐจะได้ออกแบบระบบการศึกษาและการกล่อมเกลาทางสังคมไปในแนวทางที่สนับสนุนให้เกิดสังคมพลเมืองประชาธิปไตย ซึ่งจำเป็นต้องมีความเห็นพ้องต้องกันทางการเมือง คือเป็นเจตจำนงทางการเมือง (politicalwill)จากภาคการเมือง สถาบันทางการเมือง และนักการเมือง และสร้างเจตจำนงทั่วทั้งสังคม (general will) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ใหม่ในการปฏิรูปประเทศด้วยการปฏิรูปคนหรือพลเมืองให้เป็นผู้มีวัฒนธรรมทางการเมือง เพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเมืองให้เกิดความต่อเนื่องและมั่นคง

      การสร้างการศึกษาเช่นนี้จะเป็นการเปลี่ยนทัศนคติประชาชนให้สนใจการเมืองมากขึ้น เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ ไม่ใช่ประโยชน์ของปัจเจกหรือคณะพวกพ้อง ความเข้าใจเช่นนี้จะเป็นมูลฐานในการตัดสินใจในการเลือกทางการเมืองหรือการเลือกตั้ง ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างการเตรียมพร้อมให้แก่ผู้ลงคะแนนเสียงทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ให้มีความสามารถที่จะเลือกทางเมืองหรือเป็นผู้เลือกตั้งที่มีคุณภาพ เพื่อผลักดันให้การเมืองและนักการเมืองมีคุณภาพ ซึ่งเป็นการยกระดับทั้งการศึกษา การเมืองเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศให้พัฒนาก้าวหน้ามากขึ้น กระทั่งจะสามารถที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองด้วยกระบวนการประชาธิปไตยที่พร้อมจะเคารพความคิดเห็นที่แตกต่าง ไม่ใช้ความรุนแรงในทุกกรณี รู้จักประนีประนอมเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ อันเป็นวิธีการประชาธิปไตย และจากความพร้อมเช่นนี้ ก็จะทำให้ผลจากการเลือกตั้งมีความเที่ยงธรรมและเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปอีกด้วย


      นอกจากแผนการให้การศึกษาทางการเมืองที่จะเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองนี้จะมีตามระบบการศึกษาที่กล่าวข้างต้นแล้ว จำเป็นที่จะมีแผนการศึกษาเฉพาะสำหรับผู้สนใจที่จะเข้าไปมีบทบาทในการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างแข็งขัน ซึ่งโดยปกติมีทั้งส่วนราชการและองค์กรภาคเอกชน ได้จัดทำโครงการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างแพร่หลาย อาทิ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง สภาพัฒนาการเมือง กรมการปกครองสถาบันพระปกเกล้า และองค์กรพัฒนาเอกชน เช่น สถาบันนโยบายศึกษาโดยการสนับสนุนของมูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ จากประเทศเยอรมัน ซึ่งสถาบันต่างๆ นี้ ได้จัดทำหลักสูตรที่หลากหลาย ตั้งแต่ระดับเยาวชนไปจนถึงผู้บริหารระดับสูงของประเทศ

      อย่างไรก็ดี ความพยายามในการพัฒนาประชาธิปไตยผ่านทั้งระบบการศึกษาที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการดังกล่าวมาข้างต้น จำเป็นที่หน่วยงานดังกล่าวมาข้างต้นจะได้ทบทวนบทบาทในการส่งเสริมประชาธิปไตยของตน ซึ่งทำกันอย่างแยกส่วนและไม่มีเอกภาพ หรือบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่างๆ ให้หันมาพิจารณาทำงานร่วมกันผลักดันให้เกิดความเห็นพ้องในการผลักดันอย่างมียุทธศาสตร์ร่วมกันเพื่อที่จะได้แบ่งงานกันได้ชัดเจน โดยมีทิศทางร่วมกัน และเพื่อการสนับสนุนงบประมาณที่มาจากแหล่งเดียวกัน คือภาษีอากรของประชาชนจะให้ประโยชน์คุ้มค่า ทำให้แผนการปฏิรูปประเทศขับเคลื่อนด้วยการปฏิรูปวัฒนธรรมทางการเมืองนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และมีประสิทธิภาพเกิดวัฒนธรรมทางการเมืองที่เป็นวัฒนธรรมของพลเมือง มีความต่อเนื่องและสร้างเสถียรภาพของระบอบประชาธิปไตย

บทสรุปและยุทธศาสตร์ การให้การศึกษาทางการเมืองเพื่อการปฏิรูปการเมือง

      เนื่องด้วยระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย มักจะกำหนดรูปแบบความคิด กระบวนวิธี และเป้าหมายปลายทางที่ถือเอาความต้องการที่มีฐานการเลือกมาจากปัจเจกชนคนส่วนใหญ่เป็นสำคัญ ส่วนในระบบการเมืองแบบเผด็จการสังคมนิยมมักจะกำหนดรูปแบบความคิด กระบวนวิธี และเป้าหมายที่ถือเอาความต้องการที่มีฐานการเลือกมาจากเฉพาะกลุ่มคนและรัฐเป็นสำคัญ

      สำหรับประเทศไทยในปัจจุบัน เราอิงฐานการเลือกที่มาจากปัจเจกชนคนส่วนใหญ่ ฉะนั้นกิจกรรมและสถาบันทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง จึงเป็นเรื่องที่ปัจเจกชนคนส่วนใหญ่เป็นฝ่ายเข้าร่วมมีบทบาทในการกำหนดทางเลือก ซึ่งการดำเนินกิจการดังกล่าวจะต้องถือเป็นสิทธิและหน้าที่ของประชาชน ซึ่งความสามารถและภาระรับผิดชอบก็ต้องอยู่ที่ประชาชนด้วยเช่นกัน ดังนั้น ระบบดังกล่าวนี้จึงพึงหวังบทบาทการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นหลัก แม้ว่าจะอาศัยตัวแทนและผู้แทนหมุนเวียนกันเข้ามาทำหน้าที่เป็นครั้งคราวก็ตาม แต่สิทธิหน้าที่ในชั้นต้นและภาระความรับผิดชอบในบั้นปลาย ถือว่าจะต้องผูกพันอยู่กับประชาชน ด้วยเหตุผลดังกล่าวระบอบประชาธิปไตยจึง เป็นระบอบที่ชะตากรรมของบ้านเมืองนั้นตกอยู่ภายใต้การกำหนดของประชาชน (People Determinism) ซึ่งเป็นระบบทีต้องพึ่งความสามารถและความรับผิดชอบของประชาชนเป็นหลักนั่นเอง หาใช่เป็นระบบที่มุ่งแสวงหาความเป็นเลิศของฝ่ายปกครองแต่อย่างใดไม่ความรับผิดชอบตนเองของประชาชน จึงมีความสำคัญสูงยิ่งกว่าการมอบความรับผิดชอบไว้ในฝ่ายปกครองแต่เพียงฝ่ายเดียว22 การสร้างความสามารถของประชาชนในทางการเมืองเช่นนี้จึงขึ้นอยู่กับการให้การศึกษาอย่างเป็นระบบและมีเป้าหมายชัดเจน

      ด้วยเหตุนี้ การกำหนดยุทธศาสตร์ในการให้การศึกษาทางการเมืองหรือการศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง เพื่อการมีวัฒนธรรมทางการเมืองอันจะส่งผลดีต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองและการเลือกตั้ง จึงเป็นสิ่งจำเป็นโดยเฉพาะในช่วงของการปฏิรูปการเมืองครั้งสำคัญท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองอย่างสูงยิ่ง การสร้างกรอบและแผนของยุทธศาสตร์ในการสร้างคนในทุกภาคส่วนในแนวทางประชาธิปไตย จึงเป็นทางเลือกที่ทุกภาคส่วนควรให้การสนับสนุน

      ยุทธศาสตร์การให้การศึกษาทางการเมืองเพื่อเสริมสร้างคนไทยให้มีวัฒนธรรมทางการเมืองประชาธิปไตยในทุกช่วงอายุและทุกภาคส่วนนี้ ควรที่รัฐจะให้การสนับสนุนให้เป็นเจตจำนงทางการเมือง โดยมีนโยบายของรัฐกำกับทุกกระทรวงและทุกสถาบันของรัฐให้มีแนวคิดและแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน โดยมีงบประมาณสนับสนุนที่เพียงพอต่อการผลักดันยุทธศาสตร์ให้เกิดความเป็นเอกภาพร่วมกันทั้งสังคม ไม่ใช่ปล่อยให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งปฏิบัติตามลำพังโดยขาดการประสานและบูรณาการร่วมกันดังเช่นที่เคยปฏิบัติกันอยู่ในอดีตและปัจจุบัน

      การให้การศึกษาทางการเมืองตามยุทธศาสตร์นี้ เพื่อสร้างระบบให้มีเอกภาพร่วมกันทั้งสังคม จำเป็นที่หลักสูตรและแนวทางการให้การศึกษานี้จะต้องบูรณาการเข้ากับการเรียนการสอนตามหลักสูตรที่มีอยู่ในทุกระบบทั้งที่ในระบบการศึกษาทุกชั้นรวมทั้งหลักสูตรของเหล่าทัพทั้ง 4 เหล่าทัพคือ กองทัพบก เรือ อากาศ และตำรวจ ซึ่งเขาเหล่านี้จะเติบโตไปเป็นพลเมืองในเครื่องแบบ (Citizen in Uniform) อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรของกระทรวงต่างๆ เช่น กระทรวงมหาดไทยที่มีวิทยาลัยการปกครองและหลักสูตรการอบรบกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หลักสูตรขององค์กรอิสระในโครงการต่างๆ รวมทั้งหลักสูตรและโครงการต่างๆ ภายใต้การกำกับของรัฐสภาด้วยเป็นต้น

      นอกจากการมีแนวทางการจัดการศึกษา และกลุ่มเป้าหมายที่คลอบคลุมทั้งสังคมดังข้างต้นแล้ว รัฐควรมีแผนการประชาสัมพันธ์เพื่อการขับเคลื่อนแนวทางของยุทธศาสตร์อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างการตื่นตัวและการรับรู้ไปพร้อมๆ กันทั้งสังคม รวมทั้งการบริหารจัดการด้านมาตรการกลไกที่จะสนับสนุนให้ยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนในทุกภาคส่วน ไม่ให้เกิดการปฏิบัติกระจุกตัวอยู่เฉพาะในส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือเฉพาะส่วนกลางที่กรุงเทพฯ เท่านั้น แต่ต้องนำไปสู่การรับรู้และการปฏิบัติในทุกภูมิภาคทุกภาคส่วน และทุกองค์กร สถาบันทางการเมือง และสังคมอีกด้วย

      การกำหนดยุทธศาสตร์ จำเป็นต้องมีแผนปฏิบัติการเป็นระยะที่ชัดเจน ทั้งแผนระยะต้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อพัฒนาและประเมินการทำงานให้ต่อเนื่อง โดยเล็งผลเลิศที่การเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพในตัวประชาชน คือ การปฏิรูปประชาชนในทางการเมืองว่ามีพัฒนาการเพิ่มมากขึ้นในการตื่นตัว มีสำนึกทางสังคม การสนใจเรื่องการเมือง และมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งสามารถไปใช้สิทธิทางการเมืองด้วยการไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งอย่างผู้มีสำนึกรับผิดชอบต่อประเทศ ไม่ใช่เพราะการมีกฎหมายบังคับ เป็นต้น และหากเป็นไปตามแผนและยุทธศาสตร์นี้ ก็เชื่อได้ว่าคนไทยจะมีคุณลักษณะที่เป็นคุณภาพใหม่ที่ใส่ใจและติดตามข่าวสารบ้านเมืองมากขึ้น มีใจเปิดรับและเคารพการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกัน และพร้อมที่จะร่วมมือในการหลอมรวมความแตกต่างให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อความเป็นเอกภาพของสังคม ซึ่งจำเป็นที่ทุกๆ คนจะผ่านการแสวงหาความคิด ความรู้ อย่างทั่วด้าน เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจทางการเมืองหรือการเลือกตั้ง ซึ่งประชาชนผู้เป็นพลเมืองของรัฐที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย แต่มิได้เป็นผู้ใช้อำนาจโดยตรง โดยมอบให้ผู้ปกครองไปใช้แต่ก็ยังคงสงวนไว้ซึ่งสิทธิที่จะให้ความยินยอมหรือไม่ให้ความยินยอมในการเข้าสู่อำนาจ การรักษาอำนาจ การใช้อำนาจ และการพ้นจากอำนาจของผู้ปกครองได้ตามความต้องการของผู้ลงคะแนนเสียง ด้วยเหตุนี้ ผู้เป็นเจ้าของเสียงหรือประชาชนจึงมีหน้าที่ต้องกำกับ คุบควบ ตรวจสอบถอดถอน และเลือกตั้งผู้ปกครองเข้ามาใหม่ด้วย

      ผลจากการที่ประชาชนได้รับการศึกษาทางการเมืองอย่างต่อเนื่องจะทำให้ประชาชนมีความเข้าใจได้ว่า การเลือกตั้งช่วยสร้างอิทธิพลและความสำคัญทางการเมืองของประชาชน เพราะการเลือกตั้งเป็นการใช้อำนาจทางการเมืองโดยตรงของประชาชน ซึ่งจะส่งอิทธิพลต่อการได้มาซึ่งอำนาจทางการเมืองของผู้ปกครอง รวมถึงการจำกัด ควบคุม ตรวจสอบ และสลายการครอบงำอิทธิพลของกลุ่มผูกขาดเฉพาะกลุ่มต่างๆ อีกด้วย นอกจากนี้สาระสำคัญสูงสุดในยุทธศาสตร์การให้การศึกษาทางการเมืองนี้ ก็เพื่อชี้ให้ประชาชนเห็นความสำคัญในการพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของประเทศและความมั่นคงของประเทศคือจุดเชื่อมโยงให้ประชาชนออกมามีส่วนร่วมทางการเมืองด้วยความรับผิดชอบอย่างเต็มที่โดยไม่ปล่อยให้เป็นภาระของผู้หนึ่งผู้ใด หรือคณะกลุ่มบุคคลใดทั้งสิ้น

      เพื่อให้ข้อเสนอยุทธศาสตร์นี้ ควรได้รับการสนับสนุนและสามารถนำไปสู่การปฏิบัติทั่วด้านอย่างเป็นรูปธรรมมีดังนี้ คือ

1. ให้รัฐบาลโดยมติคณะรัฐมนตรีกำหนดให้ยุทธศาสตร์การให้การศึกษาทางการเมืองเพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรมการเมืองประชาธิปไตยเป็นวาระแห่งชาติ ถือเป็นเจตจำนงทางการเมือง (political will) ของรัฐบาล

2. ให้รัฐบาลกำหนดเป็นนโยบายให้ทุกกระทรวง องค์อิสระ และหน่วยงานของรัฐทั้งหมดดำเนินแผนตามยุทธศาสตร์ที่ได้เห็นพ้องร่วมกัน

3. ให้รัฐบาลตรากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสร้างวัฒนธรรมทางการเมือง บังคับใช้ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานตามแผน

4. ให้รัฐบาลริเริ่มจัดตั้งสถาบันให้การศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง (CivicEducation Institute) เพื่อเป็นศูนย์กลางคลังความรู้และผู้เชี่ยวชาญในองค์การพัฒนาองค์ความรู้ และหลักสูตรให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายในการสนับสนุนให้องค์กรและสถาบันต่างๆ ในการจัดการจัดศึกษาเพื่อพัฒนาความรู้ ความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยเพื่อขยายฐานการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง ดังเช่นที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในประเทศเยอรมัน และเกาหลีใต้ เป็นต้น

      ดังนั้น การไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งในทุกระดับ ทั้งในระดับตำบลเทศบาล จังหวัด หรือการเลือกตั้งระดับชาติ ของประชาชนที่ผ่านระบบการศึกษาใหม่ การกล่อมเกลาทางสังคมใหม่ตามยุทธศาสตร์ข้างต้นนี้ ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์การปฏิรูปคนหรือประชาชนทุกระบบทั้งสังคม จึงเป็นการไปใช้สิทธิด้วยสำนึกใหม่ของผู้ที่มีคุณภาพใหม่ มีความเป็นอิสระ มีจุดยืนเพื่อประเทศ คือการสร้างผู้ลงคะแนนเสียงที่มีคุณภาพ เพื่อผลการเลือกตั้งที่มีคุณภาพ อันเป็นหลักประกันระบบรัฐสภาในระบอบประชาธิปไตยที่สร้างการยอมรับและมีความชอบธรรมที่จะทำให้เกิดเสถียรภาพทางการเมืองอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง ไม่หวนกลับไปสู่วงจรอุบาทว์ทางการเมืองเช่นที่เป็นอยู่อีกต่อไป

-------------------------------------------------------------------------------
22เชาวนะ ไตรมาศ. (2542) การเลือกแบบใหม่ ทำไมคนต้องไปเลือกตั้ง. กรุงเทพฯ : สถาบันนโยบายศึกษา, หน้า 3.


From : http://www.fpps.or.th