|

มกราคม 2555 : ยิ่งลักษณ์ ปรับ ครม. หลัง 5 เดือน
ยิ่งลักษณ์ ปรับ ครม. หลัง 5 เดือน
เยียวยาเหยื่อการเมืองปี 48 – 53
พ.ร.ก.การเงิน 4 ฉบับมีผลบังคับใช้
วุฒิสภาผ่านงบประมาณปี 55
เริ่มใช้เลข 13 หลักยื่นภาษี
กองทุนพัฒนาสตรี 100 ล้าน ต่อจังหวัด
ทุ่มเงินฟื้นฟูประเทศกว่า 2.27 ล้านล้านบาท
รัฐบาลจับมือ กทม. ป้องกันน้ำท่วมปี 55
ผลสำรวจคอร์รัปชั่น 25-30% ต่อโครงการ
ปรับเงินเดือนราชการ
นิติราษฎร์ล่ารายชื่อแก้ ม.112
แผนแปรรูป ปตท.- การบินไทย
ขยายเวลาลดภาษีดีเซลต่อ 1 เดือน
ลดหย่อนภาษี : ซ่อมบ้าน-รถ จมน้ำ
มาตรการช่วยเหลือโรงงานน้ำท่วม
ยิ่งลักษณ์ปรับ ครม. หลัง 5 เดือน
หลังเข้าบริหารประเทศได้ครบ 5 เดือน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ทำการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งแรก มีผู้ถูกปรับออกจากตำแหน่งทั้งสิ้น 10 คน และสลับตำแหน่งอีก 6 คน รวมที่มีการปรับเปลี่ยนทั้งสิ้น 16 ตำแหน่ง โดยนำขึ้นทูลเกล้าฯ ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2555
สำหรับรัฐมนตรีที่มีการปรับย้ายกระทรวง ประกอบด้วย - นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง โยกจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ไปเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
- นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์ โยกจากรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไปเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข
- พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา โยกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไปเป็นรองนายกรัฐมนตรี
- พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ตท. 10 เพื่อนร่วมรุ่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โยกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
- นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ โยกจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ
- นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล โยกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ไปเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ในส่วนของรัฐมนตรีหน้าใหม่ที่เข้ามาแทนผู้ที่ถูกปรับออก 10 ตำแหน่ง ได้แก่ - นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
- นางนลินี ทวีสิน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
- นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตผู้บริหารเครือชินคอร์ป เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
- นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
- นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
- นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
- นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ อดีตผู้บริหารบริษัทไทยคม เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
- นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
- นายศักดา คงเพชร เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ
- ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
ทุ่ม 2 พันล้านเยียวยาเหยื่อการเมือง
เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2555 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบข้อเสนอของคณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) ชุดที่มีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน ให้จ่ายเงินเพื่อเป็นการเยียวยาบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์รุนแรงตั้งแต่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จนถึง เมษายน 2553 ให้ประชาชนทุกกลุ่ม รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐ สื่อมวลชน และภาคเอกชน ตลอดจนครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้รับประโยชน์ โดยตั้งวงเงินงบประมาณไว้ที่ 2 พันล้านบาท
ผู้ที่เสียชีวิตจะได้รับการเยียวยา 4.5 ล้านบาทต่อราย บวกกับเงินช่วยเหลือค่าปลงศพอีกรายละ 2.5 แสนบาท หากมีการรักษาพยาบาลก่อนเสียชีวิต จะได้รับเงินค่ารักษาตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 2 แสนบาท และยังจะได้รับเงินเยียวยาความสูญเสียทางด้านจิตใจด้วยอีกรายละ 3 ล้านบาท รวมเงินทั้งหมดประมาณ 7.75-7.95 ล้านบาทต่อคน
ผู้ทุพพลภาพจะได้รับเงิน 4.5 ล้านบาทต่อราย บวกค่ารักษาตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 2 แสนบาท และเงินเยียวยาความสูญเสียทางด้านจิตใจอีกรายละ 3 ล้านบาทเช่นกัน รวมทั้งหมด 7.5 ล้านบาท
สำหรับผู้ที่สูญเสียอวัยวะนั้น หากสูญเสียอวัยวะสำคัญ จะได้ค่าชดเชยในอัตราร้อยละ 80 ของกรณีเสียชีวิต หรือ 3.6 ล้านบาทต่อราย หากสูญเสียอวัยวะไม่สำคัญ ได้ในอัตราร้อยละ 40 ของกรณีเสียชีวิต คือ 1.8 ล้านบาท ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บแต่ไม่สูญเสียอวัยวะ หากได้รับบาดเจ็บสาหัส จะได้ค่าชดเชยในอัตราร้อยละ 25 ของกรณีเสียชีวิต หรือ 1.1 ล้านบาท หากบาดเจ็บไม่สาหัส ได้ในอัตราร้อยละ 15 ของกรณีเสียชีวิต หรือ 6.7 แสนบาท หากบาดเจ็บเล็กน้อย ได้ในอัตราร้อยละ 5 ของกรณีเสียชีวิต หรือ 2.2 แสนบาท
นอกจากนี้ ครม. ยังได้ประชุมวาระลับ อนุมัติงบกลางปี 2555 อีก 43 ล้านบาท เพื่อใช้ในการขอประกันตัวผู้ต้องขังคดีอาญาที่เกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง เพื่อให้ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
พ.ร.บ. การเงิน 4 ฉบับมีผลใช้บังคับ
เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2555 ได้มีการประกาศพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) 4 ฉบับ ในเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา (www.ratchakitcha.soc.go.th) มีผลให้กฎหมายการเงินทั้ง 4 ฉบับ มีผลบังคับใช้แล้ว ได้แก่- พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555
- พ.ร.ก.ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2555
- พ.ร.ก.กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ. 2555
- พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย พ.ศ. 2555
ทั้งนี้ กฎหมายฉบับแรก มีสาระสำคัญให้กระทรวงการคลังกู้เงินบาทและเงินตราต่างประเทศได้ในจำนวน 350,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนวางระบบบริหารจัดการน้ำและอนาคตประเทศ โดยกำหนดระยะเวลาดำเนินการไม่เกิน 31 ธันวาคม 2557
ส่วนกฎหมายฉบับที่สอง ระบุว่า ในระหว่างการชำระคืนเงินกู้ของกองทุนฟื้นฟูสถาบันการเงินมูลค่า 1.14 ล้านล้านบาท ให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ มีหน้าที่รับผิดชอบชำระดอกเบี้ย (เดิมจ่ายจากงบประมาณแผ่นดิน) ส่วนเงินต้นให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นำส่งเงินกำไรสุทธิที่ต้องนำส่งรัฐตามกฎหมายว่าด้วย ธปท. เป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 90% เข้าบัญชีสะสม ให้ ธปท. มีอำนาจเรียกให้สถาบันการเงินนำส่งเงินของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครองเงินฝากตามที่ ธปท. ประกาศกำหนด แต่เมื่อรวมอัตราดังกล่าวกับอัตราที่กำหนดให้สถาบันการเงินนำส่งเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากแล้วต้องไม่เกิน 1% ต่อปีของยอดเงินฝากถัวเฉลี่ยของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครองเงินฝาก (ปัจจุบันเรียกเก็บ 0.4% ของเงินฝากรวม)
เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2555 พรรคประชาธิปัตย์ได้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ผ่านนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ขอให้วินิจฉัยว่าการออกพระราชกำหนด 2 ฉบับแรกขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 184 หรือไม่ ด้วยเหตุผลว่าไม่ใช่ความจำเป็นเร่งด่วนและทั้งสองเรื่องควรจะได้รับการพิจารณาของรัฐสภาและออกเป็นพระราชบัญญัติ
มาตรา 184 วรรค 1 กำหนดว่า ในกรณีเพื่อความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยของสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ พระมหากษัตริย์จะทรงตราพระราชกำหนดให้ใช้บังคับได้เช่นพระราชบัญญัติ และในวรรค 2 ระบุว่า การตราพระราชกำหนดจะกระทำได้เฉพาะเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ เท่านั้น
วุฒิสภาผ่านงบประมาณปี 55
เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2555 ที่ประชุมวุฒิสภามีมติเสียงข้างมาก 82 ต่อ 49 เสียงเห็นชอบกับ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 จำนวน 2.3 ล้านล้านบาท โดยขั้นตอนต่อจากนี้นายกรัฐมนตรีจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ภายใน 20 วัน นับแต่วันที่ได้รับ ร่าง พ.ร.บ. จากรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 150
เริ่มใช้เลข 13 หลัก เสียภาษี
กรมสรรพากรเปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 กรมสรรพากรกำหนดให้ผู้เสียภาษีสรรพากรทุกประเภท ใช้เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร 13 หลัก แทนเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร 10 หลักที่ใช้อยู่เดิม ในการยื่นแบบแสดงรายการ การชำระภาษี การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย การติดต่อราชการกับกรมสรรพากร รวมทั้งการจัดทำเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การจัดทำใบกำกับภาษี การจัดทำใบเสร็จรับเงิน เป็นต้น ทั้งนี้ กรมสรรพากรได้ผ่อนปรนให้ผู้เสียภาษีสามารถใช้หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ใบกำกับภาษี ใบรับและใบส่งของ ที่จัดพิมพ์ไว้แล้วโดยใช้เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรเดิมต่อไปได้จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2556
กองทุนพัฒนาสตรี 100 ล้านต่อจังหวัด
เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2555 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบจัดตั้งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติ โดยจัดสรรเงินให้จังหวัดละ 100 ล้านบาท แต่จะแบ่งตามเกณฑ์จำนวนประชากร โดยกองทุนดังกล่าวมียุทธศาสตร์ คือ สร้างโอกาสให้ผู้หญิงเข้าถึงแหล่งทุน พัฒนาและสร้างโอกาสในการงานและอาชีพ ดูแลการถูกกดขี่ข่มเหง ซึ่งจะทำในระดับชุมชนและระดับประเทศ เพื่อเสริมสร้างและให้มีความเข้าใจในสตรี ที่ถือเป็นการยกระดับสตรีขึ้น ทั้งนี้ จะมีการคัดเลือกตัวแทนกลุ่มสตรีระดับจังหวัดและระดับชาติ รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิมาเป็นตัวแทน โดยให้รีบดำเนินการเพื่อประกาศกองทุนดังกล่าวในวันที่ 8 มีนาคม 2555 ซึ่งเป็นวันสตรีสากล
ทุ่มเงินฟื้นฟูประเทศกว่า 2.27 ล้านล้านบาท
เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2555 ที่ประชุม คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ที่มีนายวีรพงษ์ รามางกูร เป็นประธาน ได้เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์ในการใช้เงินฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ รวม 5 เรื่องหลักเพื่อนำเสนอต่อรัฐบาลในลำดับต่อไป ได้แก่- การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในกรอบวงเงิน 2.27 ล้านล้านบาท เพื่อรองรับการเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558 และเป็นการเตรียมพร้อมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุนจากต่างประเทศในระยะเวลา 10 ปีจากนี้ไป ประกอบด้วยการลงทุนในรถไฟสายใหม่ รถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้ามหานคร และรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนระหว่างเมืองหลัก และการทำถนนวงแหวนรอบที่ 3 ของกรุงเทพมหานคร รวมทั้งการพัฒนาการขนส่งทางอากาศและทางน้ำ การลงทุนด้านพลังงาน การสื่อสารและสาธารณูปโภค โดยจะใช้เงินงบประมาณ 1.13 ล้านล้านบาท อีก 1.13 ล้านล้านบาทจะมาจากการร่วมทุนของภาคเอกชนและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ
- การวางระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ มูลค่า 350,000 ล้านบาท ตามข้อเสนอของ กยน.โดย 300,000 ล้านบาท จะใช้วางระบบลุ่มน้ำเจ้าพระยา และอีก 50,000 ล้านบาท นำไปวางระบบอีก 17 ลุ่มน้ำ โดยบางโครงการจะแล้วเสร็จใน 1 ปี และบางโครงการอาจเริ่มได้ในปี 2556
- การสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจไทย (ยังไม่กำหนดวงเงิน)
- การพัฒนาพื้นที่ใหม่ทางเศรษฐกิจ (ยังไม่กำหนดวงเงิน)
- การพัฒนาธุรกิจประกันภัย วงเงิน 50,000 ล้านบาท
สำหรับแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำมูลค่า 350,000 ล้านบาทนั้น จะมีแผนปฏิบัติการเพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วนและแผนปฏิบัติการบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำแบบบูรณาการและยั่งยืน ที่ประกอบด้วยแผนงานใน 8 ด้าน คือ- การฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าและระบบนิเวศน์ใน 7 ลุ่มน้ำสำคัญ ได้แก่ ปิง วัง ยม น่าน สะแกกรัง ป่าสัก ท่าจีน
- การบริหารจัดการเขื่อนเก็บน้ำหลักและการจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำของประเทศประจำปี
- การฟื้นฟูและปรับปรุงประสิทธิภาพสิ่งปลูกสร้างเดิม
- การพัฒนาคลังข้อมูลระบบพยากรณ์และเตือนภัย ที่จะมีการจัดตั้งศูนย์คลังข้อมูลน้ำแห่งชาติเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยต่างๆ ให้เป็นเอกภาพและสร้างความน่าเชื่อถือ มีการสร้างแบบจำลองการพยากรณ์และระบบเตือนภัย ระบบการสื่อสารข้อมูลการเตือนภัยจากน้ำ เน้นทำความเข้าใจลดความขัดแย้งมวลชน
- แผนงานเผชิญเหตุเฉพาะที่ เป็นการพัฒนาระบบป้องกันอุทกภัยในพื้นที่สำคัญ อาทิเช่น แหล่งชุมชน นิคมอุตสาหกรรม แหล่งมรดกวัฒนธรรม ให้มีการเตรียมพร้อม
- การกำหนดพื้นที่รับน้ำนอง และมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการใช้พื้นที่เพื่อการรับน้ำ ที่จะกำหนดพื้นที่กักเก็บน้ำเพื่อป้องกันความเสียหายในพื้นที่สำคัญ รวมถึงกำหนดมาตรการชดเชยความเสียหายเป็นกรณีพิเศษให้
- การจัดตั้งองค์กรเพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ ที่สามารถตัดสินใจได้ฉับพลันในยามวิกฤติ โดยในระยะเร่งด่วนให้มีคณะกรรมการเฉพาะกิจ มีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกฯ ที่ได้รับมอบหมายเป็นประธาน
- การสร้างความเข้าใจ การยอมรับและการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการอุทกภัยขนาดใหญ่ของทุกภาคส่วน ให้ภาครัฐและภาคีที่เกี่ยวข้องได้รับความร่วมมือจากชุมชน ประชาชน ในการทำงาน และจะต้องสื่อสารข้อมูลไปยังประชาชนให้เกิดความเข้าใจ ลดความขัดแย้ง และความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับการดำเนินการ
รัฐบาลจับมือ กทม. ป้องน้ำท่วมปี 55
เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2555 รัฐบาลกับกรุงเทพมหานคร บรรลุข้อตกลงร่วมในการบริหารจัดการน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วมในปี 2555 ดังต่อไปนี้- รัฐบาลจะให้รัฐมนตรีบางกระทรวงเข้าไปช่วย กทม. ในการดำเนินการป้องกันน้ำท่วม
- กทม. จะนำงบประมาณ 1,964 ล้านบาทที่ได้รับไปแล้ว ไปใช้ดำเนินการใน 4 เรื่อง คือ ซ่อมแซมเขื่อนตามแนวลำน้ำ ติดตั้งเครื่องดันน้ำ ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ และปรับปรุงระบบระบายน้ำของคลองภาษีเจริญ
- กทม. ยินดีโอนงบประมาณให้ทหารบกและทหารพัฒนาไปดำเนินการขุดลอกคูคลองสายหลัก 29 คลอง
- กองทัพเรือจะสร้างเครื่องดันน้ำเพิ่มขึ้น 100 เครื่อง เพื่อเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็น
- กองทัพเรือ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จะร่วมกันติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำถาวร ตามจุดต่างๆ ที่ กทม. ร้องขอ
- กองทัพบกจะดำเนินการขุดลอกคูคลองขนาดเล็ก 347 คลองใน กทม. โดยใช้งบ 770 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) จะจัดสรรงบประมาณให้กองทัพบกโดยตรง
- กระทรวงมหาดไทยจะร่วมกับ กทม. ประสานหมู่บ้านหรือเอกชนเข้าไปแก้ไขปัญหาท่อระบายน้ำภายในหมู่บ้านของประชาชนที่อุดตัน
- กทม.จะถอดงบประมาณจัดทำระบบเตือนภัย 24 ล้านบาทมารวมกับงบฯ ของ กยน. เพื่อนำมารวมกับงบจัดทำระบบเตือนภัยของประเทศให้เชื่อมโยงเป็นระบบเดียวกัน ต่อไป กทม. จะรู้ข้อมูลน้ำตั้งแต่ต้นทาง
- ในกรณีที่น้ำเหนือมีปริมาณมากเช่นปี 2554 รัฐบาลจะบริหารจัดการน้ำโดยปล่อยให้ไหลมาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีการบล็อกหรือกีดขวาง เช่นที่มีการบล็อกคลองระพีพัฒน์จนทำให้น้ำสะดุด เกิดการยกตัวสูง
- กระทรวงมหาดไทยจะทำความเข้าใจกับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เขตจังหวัดติดต่อกับ กทม. ไม่ให้มีการเผชิญหน้าเช่นปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการทำลายเขื่อนหรือปิด-เปิดประตูน้ำ
- กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะจัดทำแผนเผชิญเหตุน้ำท่วมและให้มีคลังเครื่องมือไว้ใช้สำหรับการเผชิญเหตุน้ำท่วม ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสูบน้ำ เครื่องดันน้ำ เรือ เสื้อชูชีพ เพื่อไม่ต้องไปเร่งรัดจัดซื้อเวลาเกิดเหตุเช่นที่ผ่านมา
- กทม. ยืนยันจะแก้ปัญหาการบุกรุกตามแนวคลองขนาดเล็กให้เสร็จเรียบร้อยใน 6 เดือน หรือภายในเดือนกรกฎาคม 2555 ส่วนการบุกรุกคลองขนาดใหญ่ เช่น คลองเปรมประชากร คลองบางซื่อ ขอให้มีมาตรการร่วมกันระหว่างรัฐบาลและ กทม.
ผลสำรวจคอร์รัปชั่น 25-30% ต่อโครงการ
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเปิดเผยผลการสำรวจดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชั่นไทย เดือนธันวาคม 2554 จากการสำรวจตัวอย่างประชาชน ผู้ประกอบการและข้าราชการทั่วประเทศจำนวน 2,400 ตัวอย่าง พบว่า มีการจ่ายเงินใต้โต๊ะถึง 25-30% ของมูลค่างาน คิดทั้งปีกว่า 2 แสนล้านบาท กิจกรรมที่มีโอกาสคอร์รัปชั่นมากที่สุดคือการซ่อมและสร้างถนน/สะพาน รองลงมาคือการซื้ออุปกรณ์ของภาครัฐ การจ่ายเงินชดเชยช่วยน้ำท่วม การชดเชยพันธุ์พืช/สัตว์ การให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆ ตามนโยบายของรัฐ
นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานภาคีเครือข่ายต้านคอร์รัปชั่นกล่าวว่า สาเหตุที่ภาคเอกชนยังมีการจ่ายเงินใต้โต๊ะให้กับนักการเมืองและหน่วยงานภาครัฐก็เพราะต้องการให้ได้สัญญาการทำงาน หากไม่จ่ายก็จะไม่ได้ ขณะนี้ภาคีฯ กำลังหารือกันว่าจะมีวิธีการใดที่จะปรับเปลี่ยนกฎ ระเบียบ หรือกฎหมายของทางราชการเพื่อให้ได้งานโดยไม่ต้องจ่ายสินบน และอาจกดดันให้ภาครัฐจัดการกับคนที่ทุจริตด้วย
ปรับเงินเดือนข้าราชการ
เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2555 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนราชการในทุกวุฒิการศึกษาเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เช่น ปริญญาตรีที่จากขั้นต่ำ 9,140 บาท เป็น 15,000 บาท เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ผลจากการปรับเงินเดือนชดเชย จะต้องไม่ทำให้ผู้ซึ่งเคยได้รับเงินเดือนสูงกว่ากลายเป็นผู้ได้รับเงินเดือนต่ำกว่าผู้ดำรงตำแหน่งในประเภทและระดับเดียวกัน ที่บรรจุในวุฒิเดียวกัน
คาดว่าจะใช้งบประมาณ 18,396 ล้านบาท ในการปรับขึ้นเงินเดือนราชการ ในปี 2555 และเพิ่มเป็น 24,500 ล้านบาทในปี 2556
นิติราษฎร์ล่ารายชื่อแก้ ม.112
เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2555 กลุ่มนิติราษฎร์ ได้จัดเวทีเปิดตัวคณะรณรงค์แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 112 (ครก. 112) ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีสาระสำคัญคือให้ยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 ออกจากลักษณะความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของราชอาณาจักร และเปลี่ยนแปลงบทลงโทษให้กำหนดสูงสุดอยู่ที่การจำคุกไม่เกิน 3 ปี สำหรับการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และไม่เกิน 2 ปี ในกรณีที่กระทำต่อพระราชินี รัชทายาท และเกียรติยศของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และยกเว้นความผิดกรณีแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต และให้สำนักราชเลขาธิการมีอำนาจเป็นผู้กล่าวโทษผู้ที่ทำความผิด โดยกลุ่มนิติราษฎร์จะผลักดันร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาโดยการรวบรวมรายชื่อประชาชนอย่างน้อย 10,000 คนภายในเวลา 112 วันเพื่อนำเสนอร่างกฎหมาย
ความเคลื่อนไหวของกลุ่มนิติราษฎร์ในการล่ารายชื่อแก้ไขมาตรา 112 และข้อเสนอในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลบล้างผลพวงของการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ทำให้เกิดความเห็นแย้งอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งในวันที่ 27 มกราคม 2555 ได้มีกลุ่มแนวร่วมคนไทยรักชาติจำนวน 500 คน มาประท้วงและเผาหุ่นที่หน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ในวันที่ 30 มกราคม 2555 กรรมการบริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงมีมติเอกฉันท์ไม่อนุญาตให้ใช้พื้นที่มหาลัยเพื่อเคลื่อนไหวกรณีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ด้วยเหตุผลว่า มหาวิทยาลัยเป็นสถานที่ราชการ การกระทำดังกล่าวอาจทำให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นการดำเนินการของมหาวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยเห็นด้วย อีกทั้งอาจนำมาซึ่งความขัดแย้งอย่างรุนแรงภายในบริเวณมหาวิทยาลัย จนไม่อาจดูแลความปลอดภัยของบุคคลและทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยได้ แต่การแสดงความคิดเห็นยังคงดำเนินได้ตามปกติ
แผนแปรรูป ปตท.- การบินไทย
นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศไทย (กยอ.) เปิดเผยถึงแนวคิดที่จะให้กองทุนวายุภักษ์ระดมทุนจากประชาชนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้วนำไปซื้อหุ้นของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในส่วนที่กระทรวงการคลังถืออยู่ โดยจะเสนอให้ซื้อคืนไม่เกิน 2% จากขณะนี้ที่ถืออยู่ในสัดส่วน 51% เพื่อให้กระทรวงการคลังถือหุ้นไม่เกิน 49% ส่งผลให้ ปตท. หลุดจากการเป็นรัฐวิสาหกิจ และทำให้หนี้ของ ปตท. ที่มีอยู่ 7 แสนล้านบาท หลุดจากการเป็นหนี้สาธารณะ
นอกจากนี้ยังมีแนวคิดจะให้กองทุนวายุภักษ์ซื้อหุ้น บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ในส่วนที่กระทรวงการคลังถืออยู่เกินกว่า 49% เช่นกัน โดยในขณะนี้การบินไทยมีหนี้อยู่ 2 แสนล้านบาท
วิธีการดังกล่าวจะทำให้ลดหนี้สาธารณะลงไปจากปัจจุบันที่ 4.3 ล้านล้านบาท หรือ 41% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี) ลงได้ถึงเกือบ 1 ล้านล้านบาท หรือ 10% ของจีดีพี และจะทำให้รัฐบาลสามารถกู้เงินมาพัฒนาประเทศได้มากขึ้นอีก
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนการชำระหนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 12-13% ของงบประมาณรายจ่าย แม้ว่าอยู่ในกรอบความยั่งยืนทางการคลังไม่เกิน 15% แต่ส่วนใหญ่เป็นการชำระดอกเบี้ย ไม่ใช่เงินต้น ทำให้มีหนี้สะสมเพิ่มขึ้น เป็นปัญหาในระยะยาว
ในปีงบประมาณ 2555 สบน. ได้ของบชำระหนี้ไปจำนวนประมาณ 2.42 แสนล้านบาท แต่ได้รับการจัดสรรให้ 2.22 แสนล้านบาท หรือ 9.33% ของงบประมาณรายจ่าย 2.38 ล้านล้านบาท
ขยายเวลาลดภาษีดีเซลต่ออีก 1 เดือน
เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2555 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล จากเดิมที่จะสิ้นสุดในวันที่ 1 มกราคม 2555 ถึง 31 มกราคม 2555 ออกไปอีกหนึ่งเดือน คือตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อเป็นการลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน รวมทั้งช่วยบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนหลังจากต้องประสบกับวิกฤติอุทกภัยในปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ รัฐบาลได้มีมาตรการลดภาษีดีเซลเหลืออัตรา 0.005 บาทต่อลิตร จากเดิมที่เก็บ 5.04 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2554 จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2554 และต่อมาได้ขยายระยะเวลาไปอีกสองครั้ง คือวันที่ 1 ตุลาคม 2554 - 31 ธันวาคม 2554 และ 1 มกราคม 2555 - 31 มกราคม 2555
ในเบื้องต้นหลังจากเข้าบริหารประเทศ รัฐบาลได้ประกาศยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ตามที่ได้ประกาศไว้ในตอนหาเสียง ทำให้ราคาน้ำมันเบนซินในประเทศลดลงทันที ถึงลิตรละ 7 บาท แต่ต่อมาเมื่อเงินกองทุนน้ำมันลดลงอย่างรวดเร็วจนติดลบ จึงต้องเก็บเงินเข้ากองทุนอีกครั้ง แต่สำหรับน้ำมันดีเซลนั้น ในรัฐบาลประชาธิปัตย์ได้ตรึงราคาไว้ที่ลิตรละ 30 บาท โดยการลดภาษีสรรพสามิตเหลือ 0.005 บาท จากที่ควรเก็บในอัตราลิตรละ 5.04 บาท เมื่อรัฐบาลเพื่อไทยเข้ามาบริหารได้เปลี่ยนจะให้กลับไปเก็บภาษีในอัตราเดิม แต่ก็ได้ขยายระยะเวลาเลื่อนออกมาเรื่อยๆ จนถึงวันที่ 29 กุมพาพันธ์ 2555 เพื่อให้ราคาขายปลีกคงอยู่ที่ลิตรละ 31.13 บาท
ลดหย่อนภาษี : ซ่อมบ้าน-รถ จมน้ำ
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2555 มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยให้ผู้ประสบอุทกภัยหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าใช้จ่ายในการซ่อมรวมทั้งค่าวัสดุอุปกรณ์ในการซ่อมแซมทรัพย์สินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคาร หรืออยู่ในเขตอาคาร รวมทั้งห้องชุดในอาคารชุด และทรัพย์สินที่มีการประกอบติดตั้งกับตัวอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุด รั้ว หรือประตูรั้ว ไม่เกิน 100,000 บาท โดยทรัพย์สินจะต้องเสียหายในระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม – 31 ธันวาคม 2554 และอยู่ในพื้นที่ที่ทางการประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบอุทกภัย สามารถใช้สิทธิยกเว้นภาษีในปี 2554 หรือปีภาษี 2555 หรือถ้าได้รับสิทธิทั้งสองปี ให้ได้รับสิทธิรวมกันไม่เกิน 100,000 บาท
นอกจากนี้ ยังให้หักลดหย่อนภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมรถยนต์ โดยกำหนดให้หักค่าลดหย่อนภาษีเงินได้เท่าที่ใช้จ่ายเป็นค่าซ่อมแซมรถยนต์ รวมทั้งวัสดุในการซ่อมแซมรถยนต์ ไม่เกิน 30,000 บาท โดยเป็นรถที่เกิดเหตุอุทกภัยตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม - 31 ธันวาคม 2554 ผู้ใช้สิทธิต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ หรือเป็นผู้เช่าซื้อ
ทั้งนี้ คาดว่ารัฐบาลจะสูญเสียรายได้จากภาษีรวมทั้งสิ้น 4,120 ล้านบาท
มาตรการช่วยเหลือโรงงานน้ำท่วม
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2555 ได้อนุมัติให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัยตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ คือ ให้ได้รับสิทธิและประโยชน์ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปี หากยังลงทุนในจังหวัดเดิมที่ประสบอุทกภัย จะได้รับการยกเว้นภาษีในอัตรา 150% ของเงินลงทุน รวมกับวงเงินภาษีที่ได้รับเดิมที่ยังเหลืออยู่ แต่หากย้ายไปลงทุนในจังหวัดอื่น ให้ได้รับยกเว้น 100% ของเงินลงทุน และหากเป็นโครงการที่ได้รับการส่งเสริมที่ได้รับสิทธิประโยชน์อยู่แล้ว จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลโดยไม่จำกัดวงเงินภาษีที่ยกเว้น ให้ถือเสมือนเป็นโครงการใหม่
From : http://www.fpps.or.th
|
|