ปฏิรูปการเมือง
ไปดู Civic Education ที่เยอรมัน (ตอนที่ 1)

ต้นเดือนมกราคม 2553 ได้รับการทาบทามจองเวลาล่วงหน้าในการเดินทางไปประเทศเยอรมัน ช่วงวันที่ 10-21 เมษายน 2553 เพื่อประชุมศึกษาดูงานเรื่อง “การศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง (Civic Education)” ซึ่งมูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ (Konrad Adenauer Stiftung) ได้จัดขึ้นเพื่อให้ประเทศกำลังพัฒนาในกลุ่มประเทศอาเซียน (ASEAN) ได้ไปเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน แล้วนำกลับมาพัฒนาให้เข้ากับแบบฉบับที่เหมาะสมของแต่ละสังคมต่อไป ประเทศที่ไปด้วยกันครั้งนี้มี 5 ประเทศ คือ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา ซึ่งมีทั้งหมด 15 คน ประเทศละ 3 คนบ้าง 2 คนบ้าง 4 คนบ้าง ซึ่งมาจากหน่วยงานทั้งราชการ องค์กรพัฒนาเอกชน นักวิชาการมหาวิทยาลัยก็มี สำหรับประเทศไทยแล้ว มี 4 คน คือ จากสภาผู้แทนราษฎร 2 คน จากสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน 1 คน และตัวดิฉันเอง จากสถาบันนโยบายศึกษา

ทุกคนที่ไปต่างก็มีบทบาทในการทำงานด้านส่งเสริมความรู้ความเข้าใจระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม (Participatory Democracy) ซึ่งเยอรมันถือเป็นแม่แบบและประสบผลสำเร็จอย่างยิ่งในการสร้างชาติด้วยระบอบนี้ ภายหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 และแน่นอนว่าท่านอดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐบุรุษของเยอรมันนาม คอนราด อาเดนาวร์ ท่านนี้ ที่ให้ความสำคัญในการสร้างชาติโดยกระบวนการสร้างพลเมืองเยอรมันให้มีวินัยและรับผิดชอบทั่วทั้งแผ่นดินเยอรมันตะวันตก

การเดินทางของคณะคนไทย 4 คน เริ่มต้นในวันที่ 8 เมษายน 2553 เป็นการเดินทางล่วงหน้า 3 วัน โดยเหตุสุดวิสัยที่ตั๋วเครื่องบินเต็มทุกเที่ยวบินในวันที่ 10 เมษายน ไม่ว่าการบินไทยหรือ Luftfhansa เพื่อไม่ให้เสียฤกษ์และโอกาส ทางมูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ จึงใจดีส่งคนไทยไปเที่ยวพักผ่อนอุ่นเครื่องล่วงหน้าก่อนด้วยสายการบิน Austrian Airline ที่จะต้องบินออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ ในเวลาเที่ยงคืนเศษ หรือ 1 นาฬิกา ในวันที่ 8 เมษายน ใช้เวลาบิน 12 ชั่วโมง และต้องไปต่อเครื่องที่เวียนนา มีเวลาเปลี่ยนเครื่องเพียง 30 นาที และบินต่อไปเมืองน้ำหอมโคโลญน์ (Cologne) เมืองที่พลพรรคจาก ASEAN 5 ประเทศ จะต้องมารวมตัวกันที่นี่ก่อนเดินทางด้วยรถยนต์ต่อไปยังจุดหมายปลายทางแรกตามกำหนดของงานที่กรุงบอนน์ (Bonn) เมืองหลวงเก่าของเยอรมัน

อย่างไรก็ดี ก่อนการเดินทางนอกจากต้องเตรียมเสื้อผ้าและของใช้ใส่กระเป๋าใบใหญ่สำหรับการประชุม 10 วัน แล้วยังต้องเตรียมตัวในฐานะผู้แทนองค์กรเพื่อเอาการงาน ประสบการณ์และความรู้พกพาไปด้วย เพื่อนำเสนอและแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ระหว่างการประชุม แต่ที่ต้องเตรียมให้พร้อมแน่นอนเพื่อให้การเดินทางเข้าประเทศเยอรมันเป็นไปอย่างสะดวกสบาย ราบรื่น ก็จะต้องจัดการทำเรื่องวีซ่า (VISA) ให้เรียบร้อย ซึ่งการทำวีซ่าที่ว่านี้ ก็ต้องเตรียมหลายอย่างตามเกณฑ์ของเขาซึ่งมีระเบียบที่เคร่งครัด ซึ่งอยากจะเล่าเพื่อเป็นความรู้บอกต่อกันไป คือ ต้องมีการโทรศัพท์เพื่อนัดหมายล่วงหน้าให้เรียบร้อย นอกจากนั้น ก็ต้องมีรูปขนาด 2 นิ้ว ถ่ายบนพื้นขาว ไม่ใช่พื้นสี รูปคนเป็นสีได้ แต่แบคกราวด์ ต้องพื้นขาว ค่าทำวีซ่าประมาณ 3 พันบาทเศษ กรอกข้อมูลในเอกสารซึ่งต้องเข้าไปดูรายละเอียดตามเว็บไซด์ของสถานทูต แต่เพื่อความแน่ใจต้องโทรศัพท์สอบถามข้อมูลและจองคิวเป็นการล่วงหน้า ซึ่งการโทรศัพท์เข้าไปสถานทูตเราต้องจ่ายค่าโทรฯ เอง นาทีละ 9 บาท แพงโขทีเดียว ฉะนั้นควรศึกษารายละเอียดให้ดีก่อน มีคำถามอะไรก็จะถามได้ชัดเจนไม่เสียเวลา ไม่เสียเงินมาก ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าสถานทูตเยอรมันเขามีระเบียบกฎเกณฑ์ที่รัดกุมและสะดวก ที่แน่ๆ ภาระทั้งหลายคนที่ไปขอวีซ่าต้องจ่ายแม้แต่ค่าโทรศัพท์ไปสอบถาม อีกอย่างหลักทรัพย์บัญชีเงินฝากต้องมีมากพอสมควร

อย่างไรก็ดี การดำเนินเรื่องขอวีซ่าต้องใช้เวลา 3-4 วัน และทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนและเวลานัดหมายทุกประการ จึงสะดวกและรวดเร็วมาก ไม่ต้องเสียเวลารอเป็นชั่วโมงแต่อย่างใด สำหรับค่าวีซ่านั้น กรณีนี้ทางมูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ ได้ประสานกับทางสถานทูตเรียบร้อยแล้ว จึงไม่ต้องเสียสตางค์แต่อย่างใด นับว่าเขาทำงานกันเรียบร้อยดีมาก แสดงถึงการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและรับผิดชอบอย่างดียิ่ง

สำหรับการเดินทางไปล่วงหน้าก่อนวันประชุมนั้น ทางสำนักงานใหญ่ของมูลนิธิฯ ก็แจ้งมายังคณะคนไทย 4 คนเรียบร้อยล่วงหน้า เรื่องโรงแรมสถานที่พัก พร้อมกับระบุชื่อคนที่รับผิดชอบมารับที่สนามบินเมืองโคโลญน์ มีเบอร์โทรศัพท์ทั้งของโรงแรมและคนรับเรียบร้อย นอกจากนี้ยังจัดค่าอาหารให้อีกมื้อละ 20 ยูโร (EURO) ตลอดระยะเวลาก่อนถึงวันประชุมโดยไม่ต้องเก็บใบเสร็จค่าอาหารไว้เบิกแต่อย่างใด จึงนับเป็นโอกาสของคณะคนไทย 4 คน ที่จะได้ไปเดินเที่ยวชมและเรียนรู้วิถีชีวิตของเยอรมันล่วงหน้า และได้พักผ่อนไปในตัว เพราะถ้าเป็นไปตามกำหนดการเดิมแล้วละก้อ เมื่อลงจากเครื่องบินมีคนมารับไปที่พักทันทีที่ถึง ก็จะต้องเริ่มงานกันทันที ซึ่งเป็นสไตล์เยอรมันที่ทำทุกอย่างในทุกวินาทีให้มีคุณค่า ได้งาน ได้เรื่อง ได้ครบถ้วนหน้าในระดับหนึ่งเสมอก่อนเข้าสู่การประชุมเต็มรูปแบบ นี่ก็เป็นสิ่งที่คนไทยจะได้เรียนรู้ถึงความเข้มแข็ง ความมีวินัย และเอาจริงเอาจังของคนเยอรมัน ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดี

วันที่ 8-10 เมษายน 2553 อยู่ที่เมืองโคโลญน์ เรียกว่าเดินทุกซอกทุกมุมของเมืองโดยเฉพาะรอบๆ ที่พักโรงแรม Apostel เป็นโรงแรมเล็กๆ ทันสมัย อยู่ใกล้เทศบาล ใกล้สถานีรถไฟซึ่งเป็นหัวใจการขนส่งมวลชน ใกล้โบสถ์เลื่องชื่อใกล้แม่น้ำไรน์ โรงงานช็อคโกแล็ตแสนอร่อยที่ตั้งอยู่ในแม่น้ำไรน์ ทุกๆ ที่ทั้งหลายนี้ใช้เวลาเดินไม่เกิน 10 นาทีก็ถึง อีกทั้งยังใกล้ร้านอาหารไทยแสนอร่อย “Baan Thai” ที่เจ้าของเป็นคนอยุธยา ซึ่งอยู่เยื้องกับโรงแรมที่พักเพียงเดิน 3 นาทีก็ถึงความอร่อยแล้ว

(อ่านต่อฉบับหน้า)


From : http://www.fpps.or.th