สถาบันนโยบายศึกษา : Institute of Public Policy Studies (IPPS)

กุมภาพันธ์ 2553 : ศาลตัดสินยึดทรัพย์ทักษิณ

ศาลสั่งยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ 4.6 หมื่นล้าน

ครม. ให้งดใช้ จีที 200

ขยายเวลาศึกษา รธน.

ร่าง พ.ร.บ.ปฏิรูปกฎหมาย

หมดเวลากระตุ้นอสังหาริมทรัพย์

ออกพันธบัตรอีกแสนล้านบาท

อีก 7 โครงการมาบตาพุดเดินหน้าได้

ยืดอายุมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว

สวนจตุจักร-ถนนข้าวสาร เป็นเขตปลอดบุหรี่

จ่ายเงินชดเชยผู้ได้รับผลกระทบสุวรรณภูมิ

อนุญาโตตุลาการกับการทำสัญญา

มหาวิทยาลัย กทม.

400 ล้าน แก้ปัญหายาเสพติด

ศาลสั่งยึดทรัพย์ ทักษิณ 4.6 หมื่นล้าน

เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้อ่านคำพิพากษาตามที่องค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คน มีมติเสียงข้างมากให้ยึดทรัพย์ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว รวมทั้งสิ้น 46,373,687,454.70 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน ด้วยเหตุผลว่า เป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สมควรเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นการร่ำรวยผิดปกติ และเป็นการกระทำที่ขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม

ทั้งนี้ เนื่องมาจากเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2551 อัยการสูงสุดได้ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และครอบครัว จำนวน 76,621,603,061.05 บาท พร้อมดอกผล ตกเป็นของแผ่นดิน ตามรัฐธรรมนูญปี 2540 มาตรา 110, 208, 291, 292 พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี ปี 2543 มาตรา 4, 5, 6 ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ช.ป. พ.ศ. 2542 มาตรา 32, 33, 100 และ ป.อาญา มาตรา 119, 122

ทรัพย์สินจำนวน 76,621,603,061.05 บาทนี้ เป็นเงินฝากในบัญชีหลายธนาคารที่ ทักษิณและครอบครัว ได้จากการขายหุ้นของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทได้รับสัมปทานดาวเทียม โทรศัพท์ และโทรคมนาคมต่างๆ ของรัฐ จำนวน 1,149,490,150 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 48 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ให้แก่บริษัทเทมาเส็กแห่งสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 โดยการขายหุ้นครั้งนี้เกิดขึ้นเพียง 3 วันหลังจากที่มีการแก้ไขกฎหมายการประกอบกิจการโทรคมนาคม เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2549 ให้บุคคลต่างด้าวถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ 50

ในการพิจารณาคดี ทักษิณและครอบครัว ได้คัดค้านว่า ทักษิณและภริยาได้ขายหุ้นเหล่านี้ไปให้แก่บุคคลต่างๆ ในครอบครัวก่อนที่จะรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือได้มีผลประโยชน์อีก แต่ศาลพิเคราะห์ว่า ในขณะที่ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ได้มีการปกปิดการถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ (ซึ่งถือหุ้นบริษัทเอไอเอส และ ดีพีซี) โดยให้ญาติถือแทน แต่ตนเองยังรับเงินปันผลมาตลอด ดังนั้นจึงมีเหตุผลที่เชื่อได้ว่าในขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทักษิณและภริยา ยังคงถือครองหุ้นชินคอร์ปฯ อยู่จริง

ศาลได้มีมติว่า ในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ได้ใช้อำนาจทำการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทชินคอร์ปฯ และบริษัทในเครือ รวมทั้งสิ้น 5 กรณี ทำให้เกิดความเสียหายให้แก่รัฐ คือ

กรณีแปลงค่าสัมปทานเป็นค่าภาษีสรรพสามิต การแก้ไขกฎหมายพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 และ พ.ศ. 2546 ทำให้มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากกิจการโทรคมนาคม โดยให้นำค่าสัมปทานมาหักกับภาษีสรรพสามิต เป็นการเอื้อประโยชน์แก่กิจการของตนเองที่สามารถนำสิทธิค่าสัมปทานไปหักจากภาษีได้ แต่ในขณะเดียวกัน อัตราภาษีที่สูงถึงร้อยละ 20-50 ทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่ต้องรับภาระสูง ไม่สามารถจะแข่งขันได้ จึงเป็นการกีดกันระบบโทรคมนาคมเสรี ทำให้รายได้ของรัฐลดลง
กรณีการแก้ไขสัญญาการดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยการปรับลดอัตราส่วนที่บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ เอไอเอส ต้องจ่ายเงินส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าให้ ทศท. ลดลงจากอัตราก้าวหน้าร้อยละ 25 และ 30 เป็นอัตราคงที่ร้อยละ 20 ทำให้เอไอเอสได้รับประโยชน์ แต่ ทศท. และประชาชนเสียประโยชน์ คิดเป็นมูลค่า 5,000 ล้านบาท
กรณีการแก้ไขสัญญากิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในการใช้เครือข่ายร่วมหรือโรมมิ่ง และให้หักค่าใช้จ่ายจากรายรับที่มีการปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วม ทำให้เอไอเอสไม่ต้องจ่ายเงินที่จะต้องจ่ายให้แก่ ทศท. และ กสท. ไม่น้อยกว่า 18,970,579,711 บาท
กรณีธุรกิจดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ ได้ทำการและแก้ไขสัญญา 3 กรณี ทำให้รัฐเสียหาย 4 พันล้าน และเอื้อประโยชน์แก่ชินคอร์ปฯ และชินแซทฯ ถึง 16,000 ล้านบาท ได้แก่
a. การรับอนุมัติโครงการดาวเทียมและดาวเทียมสำรอง 2 ชุดรวม 4 ดวง แล้วต่อมาปรับโครงการมาเป็นโครงการดาวเทียม IP STAR ซึ่งไม่สามารถใช้เป็นดาวเทียมสำรอง (ไทยคม 3 และ 4) ได้ ทำให้ประเทศไทยไม่มีดาวเทียมสำรองใช้
b. การอนุมัติแก้ไขสัญญาดาวเทียมในประเทศ ลดสัดส่วนการถือหุ้นของชินคอร์ปฯ ในบริษัทชินแซทเทิลไลท์ ที่เป็นผู้ขออนุมัติสร้างและส่งดาวเทียมไทยคม 1, 2
c. การอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทน 26 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ของดาวเทียมไทยคม 3 แล้วมีการขอแก้สัญญาต่างๆ
กรณีอนุมัติให้รัฐบาลสหภาพพม่ากู้เงิน 4,000 ล้านบาท จากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย [EXIM BANK] เพื่อนำไปซื้อสินค้าและบริการของบริษัทชินแซทฯ ผู้รับจ้างทำงานพัฒนาระบบโทรคมนาคมจากรัฐบาลพม่า โดยให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าทุน เป็นเหตุให้กระทรวงการคลังเสียหาย รวมทั้งขยายระยะเวลาปลอดการชำระหนี้ การจ่ายเงินต้นจาก 2 เป็น 5 ปี

ครม. ให้งดใช้ จีที 200

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีนโยบายไม่ให้มีการใช้เครื่องตรวจพิสูจน์ระเบิด จีที 200 หลังจากที่คณะกรรมการโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้พิสูจน์แล้วว่าเครื่องมือดังกล่าวไม่มีประสิทธิภาพตามที่ผู้ขายกล่าวอ้าง อย่างไรก็ตาม หากมีความจำเป็นต้องใช้ จะต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ผู้ใช้งานรับทราบถึงความเสี่ยงก่อน

จีที 200 เป็นอุปกรณ์ตรวจหาสารวัตถุระเบิด อาวุธสงคราม และยาเสพติด โดยใช้หลักการของสนามแม่เหล็กเชื่อมโยงกับสารไดอาร์ พารา และสสารที่ต้องการจะตรวจจับ โดยมีการทำงานร่วมกับการ์ด กองทัพบกไทยได้สั่งซื้อมาใช้งานในราคาเครื่องละ 950,000 ล้านบาท ตั้งแต่ พ.ศ. 2547 จนถึงปัจจุบันแล้ว 757 เครื่อง โดยแบ่งเป็นซื้อในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ 59 เครื่อง รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช 107 เครื่อง รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ 44 เครื่อง และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 547 เครื่อง และยังมีนโยบายจะซื้อมาใช้อีกเป็นจำนวนมากเพื่อนำไปใช้ในสี่จังหวัดภาคใต้ แต่จากเหตุระเบิดคาร์บอมที่สุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2552 เนื่องมาจากเครื่องจีที 200 ตรวจไม่เจอวัตถุระเบิดที่ซุกไว้ในรถยนต์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ จึงมีข้อสงสัยว่าเครื่องทีจี 200 จะมีประสิทธิภาพดังคำอ้างหรือไม่

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลอังกฤษสั่งห้ามจำหน่ายเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิด เอดีอี 651 ซึ่งคล้ายกันกับเครื่องจีที 200 หลังจากที่สำนักข่าวบีบีซีได้นำมาตรวจสอบและพบว่าทำงานไม่ได้จริงตามคำอวดอ้าง

ขยายเวลาศึกษา รธน.

ตามที่ 5 พรรคร่วมรัฐบาลได้ยื่นเสนอต่อประธานรัฐสภาให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และประธานฯ ได้บรรจุเป็นวาระและตั้งคณะกรรมาธิการสามัญศึกษาการบังคับใช้รัฐธรรมนูญนั้น

ที่ประชุมวุฒิสภามีมติให้ขยายเวลาการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการสามัญศึกษาการบังคับใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ออกไป 180 วัน

ร่าง พ.ร.บ.ปฏิรูปกฎหมาย

ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติเสียงข้างมาก 332 เห็นชอบกับร่าง พ.ร.บ.คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พ.ศ. .… ในวาระที่ 3 โดยมีสาระสำคัญ คือ ให้มีคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ใน 5 ด้านสำคัญ คือ

1. สำรวจ ศึกษาและวิเคราะห์ทางวิชาการและสนับสนุนการวิจัยเพื่อประโยชน์ในการวางเป้าหมาย นโยบายและจัดทำแผนโครงการและมาตรการต่างๆ

2. ปรับปรุงและพัฒนากฎหมายของประชาชน รวมทั้งปรับปรุงกฎหมายให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชน

3. เสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแผนการตรากฎหมายที่จำเป็นต่อการดำเนินการตามนโยบายและแผนการบริหารราชการแผ่นดิน

4. เสนอความเห็นและข้อสังเกตต่อคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับร่างกฎหมายที่เสนอโดยสภาผู้แทนราษฎร ศาล องค์การอิสระตามรัฐธรรมนูญหรือประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และ

5. ให้คำปรึกษาและสนับสนุนการดำเนินการในการร่างกฎหมายของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยขั้นต่อจากนี้จะส่งเรื่องให้วุฒิสภาพิจารณากลั่นกรองต่อไป

หมดเวลากระตุ้นอสังหาฯ

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้ยุติการดำเนินมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ที่จะสิ้นสุดในเดือนมีนาคมนี้ จะไม่มีการต่ออายุออกไปอีก มาตรการดังกล่าวได้แก่

การลดภาษีธุรกิจเฉพาะจาก 3.3% เหลือ 0.11%
การลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนอสังหาริมทรัพย์จาก 2% และ 1% เหลือ 0.01%
การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้เท่าที่จ่ายเป็นค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนเท่ากับมูลค่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 3 แสนบาท

นอกจากนี้ ครม. ยังได้อนุมัติให้ยกเลิกมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนที่จะหมดอายุในวันที่ 31 มีนาคม 2553 คือ มาตรการใช้น้ำประปาฟรี แต่ให้ต่ออายุอีก 3 มาตรการ ได้แก่ ไฟฟ้าฟรี รถเมล์ฟรี และรถไฟฟรี ออกไปอีก 3 เดือน จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2553 เนื่องจากถือว่ามาตรการเหล่านี้ เป็นการช่วยผู้มีรายได้ต่ำจริงๆ โดยเฉพาะค่าไฟฟรีที่มีผลต่อประชาชนกว่า 8 ล้านครัวเรือน

คลังออกพันธบัตรแสนล้าน

กระทรวงการคลังเตรียมออกพันธบัตรออมทรัพย์วงเงิน 1 แสนล้านบาท อายุ 6 ปี เปิดขาย 29 มีนาคม - 2 เมษายน 2553 กำหนดอัตราดอกเบี้ยเป็นขั้นบันได และชดเชยภาษีไม่เกิน 15% โดยจะให้สิทธิผู้สูงอายุจองซื้อก่อนในวันที่ 29 - 30 มีนาคม 2553 ขั้นต่ำ 1 หมื่นบาทถึง 1 ล้านบาท จากนั้นในวันที่ 31 มีนาคม- 2 เมษายน 2553 จะเปิดให้บุคคลทั่วไปจองซื้อ

อีก 7 โครงการมาบตาพุดเดินหน้าได้

เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2553 ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้เจ้าของโครงการหรือกิจกรรมเฉพาะ 7 รายดำเนินการได้ตามคำร้อง คือ ก่อสร้างโครงการส่วนที่เหลือต่อไปจนแล้วเสร็จ ติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ ทดลองระบบที่เกี่ยวข้อง และทดลองเดินเครื่องจักร โดยให้เป็นไปตามรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) รวมทั้งหลักเกณฑ์ของกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด

ทั้งนี้ยังเหลือโครงการที่ยังถูกสั่งชะลออยู่อีกจำนวน 57 โครงการ

ยืดอายุมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2553 มีมติเห็นชอบยืดมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวต่อไปอีก 1 ปี สิ้นสุด 31 มีนาคม 2554 โดยมีสาระสำคัญ คือ

การยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า
ให้ส่วนราชการจัดประชุมสัมมนาและดูงานในประเทศให้มากขึ้น
ลดหย่อนค่าประกันใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม
การลดหย่อนค่าธรรมเนียมการขึ้นลงของอากาศยานและที่เก็บอากาศยาน (Landing & Parking Fee) และ
ให้ผู้ประกอบการสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการจัดประชุมสัมมนา อบรม และการจัดการท่องเที่ยวในประเทศเป็นรางวัลแก่พนักงาน มาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ร้อยละ 100 ของที่จ่ายจริง

ในปี 2553 นี้ รัฐบาลตั้งเป้าว่าจะให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศ 15.3 - 15.5 ล้านคน เพิ่มจากปี 2552 ที่มี 14.4 ล้านคน

สวนจตุจักร-ถนนข้าวสาร เป็นเขตปลอดบุหรี่

กระทรวงสาธารณสุข ออกประกาศพื้นที่ห้ามสูบบุหรี่เด็ดขาดในพื้นที่สาธารณะต่างๆ เช่น หน่วยราชการทุกแห่ง สวนสาธารณะ สนามกีฬา สถานบริการน้ำมัน มหาวิทยาลัย วัด สถานที่ท่องเที่ยว ทั้งนี้ จะกำหนดให้สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญเป็นสถานที่ห้ามสูบบุหรี่ โดยเฉพาะสวนจตุจักรและถนนข้าวสาร โดยประกาศดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ใน 90 วัน ซึ่งผู้ฝ่าฝืนจะมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท ทั้งนี้ การออกข้อบังคับดังกล่าวเป็นการปฏิบัติตามอนุสัญญาบริโภคยาสูบขององค์การอนามัยโลก

เงินชดเชยผู้ได้รับผลกระทบสุวรรณภูมิ

บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) จ่ายค่าปรับปรุงอาคารซึ่งได้รับผลกระทบทางเสียงจากสนามบินสุวรรณภูมิ ให้กับเจ้าของกรรมสิทธิ์อีก 50 อาคาร เป็นจำนวนเงินกว่า 13 ล้านบาท

จากปัญหาที่ประชาชนในชุมชนใกล้เคียงกับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบด้านเสียง ครม. จึงมีมติเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2550 ให้อาคารที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบด้านเสียงในระดับ 60-70 เดซิเบล ที่ก่อสร้างก่อนปี 2544 ได้รับค่าชดเชยจากผลกระทบด้านเสียง ซึ่ง ทอท. ได้จ่ายค่าชดเชยไปแล้วกว่า 900 ล้านบาท

อนุญาโตตุลาการกับการทำสัญญา

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2553 อนุมัติให้ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จัดซื้อเครื่องบินแอร์บัส A330-300 มูลค่า 6,200 ล้านบาท ภายในเงื่อนไขว่า หากเกิดข้อขัดแย้งระหว่างผู้ซื้อหรือผู้ขาย จะต้องผ่านอนุญาโตตุลาการ ทั้งนี้ เป็นการดำเนินงานตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2552 ที่ระบุว่า การทำสัญญาทุกประเภทของหน่วยงานรัฐกับภาคเอกชน ไม่ควรผูกมัดสัญญา จึงมอบหน้าที่ให้อนุญาโตตุลาการเป็นผู้ชี้ขาด แต่หากไม่บรรจุเงื่อนไขนี้ไว้ จะต้องให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้

มหาวิทยาลัย กทม.

ที่ประชุมวุฒิสภา ได้มีมติเสียงข้างมาก 64 เสียง รับหลักการร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยกรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... ในวาระที่ 1 โดยมีสาระสำคัญ คือ กำหนดให้จัดตั้งมหาวิทยาลัยกรุงเทพมหานคร เป็นสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของกรุงเทพมหานคร โดยให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลโดยทั่วไป และให้โอนภารกิจและงบประมาณของวิทยาลัยแพทยศาสตร์ กรุงเทพมหานคร และวชิรพยาบาล และวิทยาลัยพยาบาลเกื้อการุณย์ สังกัดสำนักการแพทย์ กทม. ไปเป็นของมหาวิทยาลัยภายใน 120 วัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

400 ล้าน แก้ปัญหายาเสพติด

ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) อนุมัติงบประมาณ 400 ล้านบาท เพื่อดำเนินการปราบปรามยาเสพติดในระยะที่ 2 อย่างจริงจัง โดยให้ทหาร ตำรวจ พลเรือน ทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ เนื่องจากมีการแพร่ระบาดอย่างหนักใน 285 อำเภอ และ 5 จังหวัดปริมณฑลทั่วประเทศ หรือร้อยละ 70 ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ที่มีแรงงานมาก มีกำลังซื้อสูง จึงถูกใช้เป็นแหล่งพักยา ทั้งนี้ พบว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดส่วนใหญ่เป็นยาบ้า ขณะที่มีแนวโน้มว่าจะมีการแพร่ระบาดยาไอซ์มากขึ้น

From : http://www.fpps.or.th