สถาบันนโยบายศึกษา : Institute of Public Policy Studies (IPPS)

เมษายน 2552 : เมษา จลาจล : ประเทศไทยถูกทำร้าย

ม็อบแดงก่อจลาจลกลางกรุงช่วงสงกรานต์

ครม. ปรับลดงบฯ ปี "53"ลง 2 แสนล้านบาท

หนี้สาธารณะเดือน ก.พ. พุ่งแตะ 40% ของจีดีพี

ขรก. 1.5 ล้านคนได้โบนัสเฉลี่ยคนละ 4 พัน – 1 หมื่น

ขรก. กลุ่มเสี่ยงได้เงินพิเศษอีกรายละ 1 พัน-1.5 หมื่น

งบฯ ประกันสุขภาพ 2.4 พันบาทต่อคน

วุฒิสภาเห็นชอบ 7 กรรมการสิทธิฯ ชุดใหม่

ศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์คดีที่ดินคลองด่าน

แผนยกระดับรายได้ 5 จว.ใต้

ให้ตั้ง สนง.ศึกษาเอกชน 5 จังหวัดชายแดนใต้

ระบบประเมินผลจัดสรรงบประมาณสำหรับมหาวิทยาลัยนอกระบบ

ให้ลงทะเบียน"วิทยุชุมชน" ได้ใน 2 เดือน

จลาจลกลางกรุงช่วงสงกรานต์

ม็อบเสื้อแดงป่วนกรุง เริ่มจากการปิดถนนในวันที่ 9 เมษายน กลายเป็นปฏิบัติการไล่ล่านายกรัฐมนตรีในวันที่ 12 และจุดไฟเผารถเมล์ในวันที่ 13 ก่อนจะสลายตัวในวันที่ 14 ทำให้กรุงเทพฯ ช่วงสงกรานต์เกิดจลาจล ส่งท้ายด้วยมือปืนไล่ฆ่านายสนธิ ลิ้มทองกุล

นับตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2552 กลุ่มแนวร่วมประชาชนคนรักประชาธิปไตย (นปช.) ได้ทำการชุมนุมบนถนนหน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อต้องการล้มระบอบอำมาตยาธิปไตย โดยมียุทธศาสตร์ 5 ประการ คือ

ให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ลาออกจากตำแหน่ง (เนื่องจากอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549)
ยุบสภา เลือกตั้งใหม่
ยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 และกลับไปใช้ฉบับ พ.ศ. 2540
ให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการในองค์กรอิสระต่างๆ ใหม่ (เพราะกรรมการชุดปัจจุบันแต่งตั้งโดย คมช.)
คืนสิทธิเลือกตั้งให้แก่อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน และพรรคพลังประชาชน 109 คน

ในระหว่างนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีได้โฟนอินและวิดีโอลิงค์ เข้ามาร่วมปราศรัย เรียกร้องให้ประชาชนจากต่างจังหวัดเดินทางเข้ามาสมทบในกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายนเป็นต้นไป โดยหวังว่าจะสามารถเผด็จศึกให้เสร็จสิ้นก่อนช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ 13-15 เมษายน

ในวันที่ 9 เมษายน ม็อบเสื้อแดงได้ดาวกระจายไปทั่ว กทม. และในช่วงเวลา 15.00 น. กลุ่มรถแท็กซี่เริ่มปิดถนนรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทำให้การจราจรเป็นอัมพาตและลามไปถึงถนนต่างๆ เกือบทั่วเมือง ส่งผลกระทบถึงโรงพยาบาลหลายแห่งในบริเวณนั้น สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้น ในเวลา 20.24 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โฟนอินเข้ามาขอให้คนกรุงเทพเสียสละ รัฐบาลจึงตัดสินใจประกาศให้วันที่ 10 เมษายน เป็นวันหยุดเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวัน

ในตอนบ่ายวันที่ 10 เมษายน มีแท็กซี่และมอเตอร์ไซต์กลุ่มหนึ่งจะไปปิดถนนที่สาทร-นราธิวาสราชนครินทร์ คนทำงานแถวนั้นออกมาต่อต้านโห่ไล่จนต้องถอยหนีไป ตกค่ำคนเสื้อแดงจึงยกเลิกการปิดถนน และประกาศทางวิทยุชุมชนคนแท็กซี่ให้ระดมกำลังให้ไปที่โรงแรมรอยัลคลิฟบีชพัทยา ซึ่งในวันรุ่งขึ้นจะมีการประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา +3 และ +6 ซึ่งนอกจากจะมีผู้นำชาติอาเซียนแล้ว ยังมีผู้นำจากประเทศจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ มาร่วมด้วย

เช้าวันที่ 11 เมษายน ม็อบเสื้อแดงได้ปะทะกับคนใส่เสื้อสีน้ำเงิน ทำให้มีผู้บาดเจ็บ 2 คน ในเวลา 11.00 น. แกนนำม็อบเสื้อแดง นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง จึงยื่นหนังสือให้นายอภิสิทธิ์ รับผิดชอบโดยการลาออก และต่อมาในเวลา 12.45 น. ม็อบเสื้อแดงได้บุกเข้าไปในตัวโรงแรม นายอริสมันต์ เปิดแถลงข่าวสาเหตุที่บุกว่า ต้องการให้นายกฯ หาผู้ที่ยิงคนเสื้อแดงมาลงโทษให้ได้ใน 1 ช.ม. ทำให้การประชุมอาเซียนยุติลงในทันที ในเวลา 13.50 น. นายกรัฐมนตรีได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเฉพาะพื้นที่พัทยา ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ เจ้าหน้าที่พาผู้นำและแขกวีไอพีออกจากโรงแรมทางเฮลิคอปเตอร์และทางเรือ เหตุการณ์สงบหลังกลุ่มเสื้อแดงเดินทางกลับ จึงมีการประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินในคืนนั้น

ตอนเช้าวันที่ 12 เมษายน หลังตำรวจเข้าจับกุมนายอริสมันต์ จากบ้านพัก คนเสื้อแดงประกาศระดมคนทั่วประเทศ เรียกร้องให้ปล่อยตัวนายอริสมันต์ เหตุการณ์วุ่นวายทำให้ในเวลา 13.00 น. นายกรัฐมนตรีและคณะจึงไปที่กระทรวงมหาดไทยเพื่อถ่ายทอดโทรทัศน์ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขต กทม. และปริมณฑล (ยกเลิกเมื่อวันที่ 24 เมษายน) ปรากฏว่าม็อบเสื้อแดงได้ตามมาปิดล้อม และได้ทุบทำลายรถยนต์คันที่นายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จนคนขับต้องขับรถชนประตูเหล็กจึงหนีออกไปได้ พวกเสื้อแดงได้ทำลายทุบรถคันอื่นๆ และจับตัวเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ไป เหตุการณ์รุนแรงทำให้ในตอนบ่ายมีรถหุ้มเกราะของทหารหลายคันมารักษาสถานการณ์ แต่คนเสื้อแดงกลับยึดรถ ทหารจึงต้องกลับเข้ากรม กลุ่มคนเสื้อแดงในหลายจังหวัดได้ออกมาชุมนุมล้อมศาลากลางจังหวัด ปิดถนน ปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ปิดสถานีโทรทัศน์ ในเวลา 18.30 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โฟนอินเข้ามาอีกครั้งเพื่อขอบคุณคนเสื้อแดง ในคืนนั้นมีคนพยายามที่จะวางเพลิงเผาธนาคารกรุงเทพ และบริษัทซีพีโภคภัณฑ์ สำนักงานใหญ่ บนถนนสีลม

13 เมษายน เกิดจลาจลหลายแห่งใน กทม. เริ่มจากเวลา 02.00 น. มีคนยิงปืนเอ็ม 79 เข้าศาลรัฐธรรมนูญทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ เวลา 04.00 น. คนเสื้อแดงเริ่มนำรถเมล์มาปิดจราจรบริเวณสามเหลี่ยมดินแดงแยกสุทธิสาร-สามเหลี่ยมดินแดง-แยกแม่พระฯ ทหารได้ยิงแก๊สน้ำตาเพื่อสลายม็อบ แต่คนเสื้อแดงกลับนำรถบรรทุกก๊าซมาจอดหลายจุดในบริเวณดินแดง ถนนราชปรารภ และหน้า โรงพยาบาลสงฆ์ แล้วจุดไฟเผายางรถยนต์บนถนน ขว้างระเบิดใส่รถเมล์และจุดไฟเผาด้วยถังแก๊สขนาดเล็ก ชาวแฟลตดินแดงออกมาต่อต้านและช่วยทหาร คนเสื้อแดงได้ถอยไปบริเวณแยกอุรุพงษ์และเจอกับชาวบ้านเพชรบุรีซอย 5 และซอย 7 ที่ออกมาต่อต้าน คนเสื้อแดงได้ถอยไปและย้อนกลับมาอีกครั้งมีการทำร้ายไล่ตีชาวบ้าน ปาระเบิดเพลิง เผารถจักรยานยนต์และยิงเข้าไปในซอย ส่วนที่ชุมชนนางเลิ้ง คนเสื้อแดงได้เอารถเมล์มาเตรียมจุดไฟเผา ชาวบ้านออกมาต่อต้าน เมื่อคนเสื้อแดงกลับมาใหม่เพื่อจะเผาตลาดนางเลิ้งได้ปะทะกับชาวบ้านทำให้มีคนเจ็บและตาย 1 คน

ที่สะพานผ่านฟ้ามีการเผารถเมล์ บนถนนราชดำเนินมีการยิงใส่อาคารกองทัพบก ที่ถนนพะเนียงคนเสื้อแดงยิงและปาระเบิดเพลิงใส่ชาวบ้าน ตลอดทั้งวันมีข่าวลือว่าทหารยิงคนเสื้อแดงบาดเจ็บ-ตายหลายคน กองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (กอฉ.) จึงออกมาชี้แจงว่าทหารยิงกระสุนจริงขึ้นฟ้าและยิงกระสุนซ้อมที่ไม่ทำให้บาดเจ็บตามวิถีตรง ในเวลา 19.30 น. ทหารได้เข้าควบคุมสถานีถ่ายทอดไทยคมและตัดสัญญาณสถานี ดี-สเตชั่น

14 เมษายน เวลา 09.58 น. ทหารเริ่มปฏิบัติการกดดันสลายการชุมนุม 11.00 น. 3 แกนนำเสื้อแดง นายวีระ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ และนายเหวง โตจิรการ ประกาศบนเวทียุติการชุมนุมและเข้ามอบตัว ม็อบเสื้อแดงที่มาจากต่างจังหวัดเดินทางกลับบ้าน โดยรัฐบาลจัดรถโดยสารให้ถึงปลายทาง ส่วนนายจักรภพ เพ็ญแข ประกาศสู้ต่อใต้ดิน และ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศว่าทหารสลายม็อบยิงคนเสื้อแดงตาย

15 เมษายน ทางการยืนยันว่าไม่มีคนเสื้อแดงตาย คนตาย 2 คนที่นางเลิ้ง เป็นชาวบ้านที่ถูกยิง กทม. กลับสู่ความสงบอีกครั้งก่อนจะเกิดเหตุอุกอาจในเช้าตรู่วันที่ 17 เมษายน รถยนต์ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ถูกถล่มยิงด้วยอาวุธสงครามนับร้อยนัดในเวลา 06.30 น. ที่บางลำพู ตัวนายสนธิ คนติดตามและคนขับรถได้รับบาดเจ็บ

จากเหตุการณ์จลาจลในระหว่างวันที่ 8 ถึง 14 เมษายน กลุ่ม ส.ส. และ ส.ว. จึงยื่นญัตติด่วน ขอให้มีการประชุมรัฐสภาร่วมเพื่อขอคำเสนอแนะจากสมาชิกรัฐสภาเพื่อหาทางออกแก้ไขวิกฤตการเมือง ในวันที่ 22 เมษายน ภายหลังการประชุม ในวันที่ 30 เมษายน ที่ประชุมร่วมรัฐสภามีมติให้ตั้งคณะกรรมการ 2 ชุด คือ 1) คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์บ้านเมืองระหว่างวันที่ 8-15 เมษายน และ 2) คณะกรรมการสมานฉันท์ เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีจำนวน 40 คน แบ่งเป็น ส.ส. 23 คน ส.ว. 7 คน และผู้ทรงคุณวุฒิอีก 10 คน

ครม. หั่นวงเงินงบฯ ปี 53 สองแสนล้าน

เมื่อวันที่ 21 เมษายน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ปรับลดกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2553 จากเดิมที่ตั้งไว้ 1.9 ล้านล้านบาท ลงเหลือ 1.7 ล้านล้านบาท หลังจากที่ได้พิจารณาตัวเลขการเติบโตและรายได้ของรัฐบาลแล้ว ว่าจะทำให้การขาดดุลงบประมาณอยู่ที่ 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งจะอยู่ในกรอบของกฎหมายและจะสามารถรักษาวินัยการคลังเอาไว้ได้ ทั้งนี้จะแจ้งกับทุกกระทรวงให้ทราบก่อนนำส่งสภาผู้แทนราษฎร

หนี้สาธารณะ เดือน ก.พ. แตะ 40% ของจีดีพี

เมื่อวันที่ 27 เมษายน ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยยอดหนี้สาธารณะเดือนกุมภาพันธ์ ว่า มียอดหนี้คงค้างทั้งสิ้น 3.598 ล้านล้านบาท ซึ่งเท่ากับ 39.93% ของจีดีพี โดยแบ่งเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 2.286 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 78,445 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน 182,430 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12,698 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 1.014 ล้านล้านบาท ลดลง 14,366 ล้านบาท หนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 110,520 ล้านบาท ลดลง 3,000 ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ 3,683 ล้านบาท ไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญที่ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นนั้น เกิดจากการออกตั๋วเงินคลัง 88,000 ล้านบาท โดยเป็นการใช้วงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณในปีงบประมาณ 2552

ก่อนหน้านี้ในเดือนมกราคม หนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นมีเพียง 73,777 ล้านบาทเท่านั้น

แจกโบนัส ขรก. 1.5 ล้านคน

เมื่อวันที่ 28 เมษายน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดงบประมาณจำนวน 6,735 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ 2551 ของส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษารวม 289 หน่วยงาน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.ร.) เสนอ เพื่อเป็นการเพิ่มกำลังซื้อให้ข้าราชการและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากที่ได้จ่ายเช็คช่วยชาติให้กับผู้ประกันตนในโครงการประกันสังคมไปแล้วเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

ทั้งนี้ แบ่งเป็นการจัดสรรให้หน่วยงานนำไปจัดสรรให้ผู้ปฏิบัติงานต่อ 5,500 ล้านบาท และจ่ายเป็นเงินเพิ่มพิเศษสำหรับผู้บริหาร 1,185 ล้านบาท โดยทั่วไปแล้วจะได้เฉลี่ยประมาณ 4,000 บาทต่อคน แต่ก็ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ภายในของส่วนราชการนั้นๆ บางแห่งบางคนอาจได้ถึง 10,000 บาท

คาดว่าข้าราชการทั้งหมด 1.5 ล้านคน จะได้รับโบนัสพิเศษภายในเดือนพฤษภาคมนี้

ค่าเสี่ยงภัยข้าราชการมีผลแล้ว

เมื่อวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา ระเบียบว่าด้วยเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษของข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2552 ฉบับแก้ไขปรับปรุงใหม่ ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ทำให้ข้าราชการพลเรือนผู้ที่ปฏิบัติงานในบางตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษจากสภาพการทำงาน ซึ่งสมควรจะได้รับเงินเพิ่มพิเศษตั้งแต่ 1,000-15,000 บาทต่อเดือน โดย ก.พ. ประกาศกำหนดตำแหน่งที่จะได้รับเงินเพิ่มและอัตราเงินเพิ่มไว้ท้ายระเบียบนี้

“เหตุพิเศษ” หมายความว่า การทำงานที่มีสภาพการทำงานไม่น่าอภิรมย์ ยากลำบาก ตรากตรำ เสี่ยงภัย เคร่งเครียด กดดัน หรือเป็นการทำงานที่มีสภาพการทำงานเสี่ยงอันตรายทั้งต่อชีวิต ร่างกาย อาจมีผลกระทบต่อร่างกาย อาจก่อให้เกิดโรคจากการปฏิบัติงาน การสูญเสียอวัยวะ หรือเป็นการทำงานที่ต้องใช้ความรู้ ความชำนาญ ประสบการณ์สูง ซึ่งเป็นสาขาที่ขาดแคลน มีการสูญเสียผู้ปฏิบัติงานออกจากระบบราชการเป็นจำนวนมาก

ประกันสุขภาพได้งบ 2.4 พันบาทต่อคน

เมื่อวันที่ 21 เมษายน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบข้อเสนองบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค) ประจำปีงบประมาณ 2553 วงเงินรวม 89,322.26 ล้านบาท แบ่งเป็น งบฯ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ วงเงิน 84,791.366 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ผู้ที่อยู่ในโครงการจำนวน 47,239,700 คน ได้รับอัตราเหมาจ่ายเฉลี่ยรายหัวเท่ากับ 2,406.32 บาทต่อคน

วุฒิสภาเห็นชอบกรรมการสิทธิฯ ชุดใหม่

เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ที่ประชุมวุฒิสภาได้ลงคะแนนด้วยวิธีลับเลือกให้ความเห็นชอบผู้ที่จะดำรงตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ชุดใหม่จำนวน 7 คน ได้แก่

ศ.อมรา พงศาพิชญ์ อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ
นางวิสา เบ็ญจะมโน ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
นายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ
พล.ต.อ.วันชัย ศรีนวลนัด รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ อดีต ส.ว. จังหวัดอุบลราชธานี และประธานมูลนิธิพิทักษ์ธรรมชาติเพื่อชีวิต
นายปริญญา ศิริสารการ อดีตรองประธานสภาอุตสาหกรรม จ.นครราชสีมา

ต่อจากนี้ ผู้ได้รับการรับรองจากวุฒิสภา จะประชุมกันเพื่อเลือกประธาน แล้วแจ้งผลให้ประธานวุฒิสภาทราบ จากนั้นประธานวุฒิสภาจะนำรายชื่อกราบบังคมทูลเพื่อทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไป

ศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์คดีคลองด่าน

เมื่อวันที่ 30 เมษายน ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์คดีที่นายวัฒนา อัศวเหม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ยื่นอุทธรณ์ในกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2551 ให้จำคุกนายวัฒนา 10 ปี จากความผิดในการซื้อที่ดินเพื่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียที่ ต.คลองด่าน จ.สมุทรปราการ จึงทำให้คดีถึงที่สุด

คดีนี้เป็นตัวอย่างของการดำเนินคดีอาญาต่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือว่าคำพิพากษาเป็นอันสิ้นสุดไม่สามารถจะอุทธรณ์หรือฎีกาได้ สำหรับนายวัฒนา นั้น ได้หลบหนีไปก่อนที่จะมีการอ่านคำพิพากษา แต่อย่างไรก็ตามคดีมีอายุความถึง 15 ปี

แผนยกระดับรายได้ 5 จว.ใต้

เมื่อวันที่ 7 เมษายน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบแผนพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่คณะกรรมการรัฐมนตรีพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอ โดยมีเป้าหมายยกระดับรายได้ จากเดิมที่อยู่ในระดับ 6.4 หมื่นบาทต่อปี ให้เป็น 1.2 แสนบาทต่อปี และยังอนุมัติโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอีก 2 โครงการตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เสนอมา ได้แก่ 1. โครงการพัฒนาชุมชนสันติสุขตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และ 2. โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในระดับหมู่บ้าน

ตั้ง สนง. ศึกษาเอกชน 5 จว.ใต้

เมื่อวันที่ 21 เมษายน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้จัดตั้งสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และสตูล และให้จัดตั้งสำนักงานการศึกษาเอกชนอำเภออีก 37 แห่งในทุกอำเภอใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ 4 อำเภอใน จ.สงขลา คือ จะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา ตามข้อเสนอนโยบายเร่งด่วนการพัฒนาการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยกระทรวงศึกษาธิการ

ทั้งนี้ ครม. ได้ให้จัดอัตราพนักงานราชการปฏิบัติงานตามนโยบายเร่งด่วน รวม 982 อัตรา และได้อนุมัติงบประมาณดำเนินการ จำนวน 349.59 ล้านบาท โดยให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) รับผิดชอบงบประมาณปี 2552 และให้กระทรวงศึกษาธิการรับผิดชอบงบประมาณปี 2553

ครม. ทำไม้บรรทัดวัด ม.นอกระบบ

เมื่อวันที่ 28 เมษายน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้มีการวางระบบการประเมินผลในการจัดสรรงบประมาณสำหรับมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ หรือมหาวิทยาลัยนอกระบบ เพื่อให้มีการจัดทำระเบียบการจัดสรรงบประมาณ และประเมินเรื่องการบริหารของมหาวิทยาลัยนอกระบบ โดยจะเน้นธรรมาภิบาลหรือการบริหารจัดการและผลสัมฤทธิ์

องค์กรที่จะทำหน้าที่พิจารณาประเมินผลมหาวิทยาลัยนอกระบบ ได้แก่ 1) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) 2) สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) 3) สำนักงบประมาณ และ 4) คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)

นอกจากนี้ ครม. ยังมีมติยืนยันในหลักการข้อผูกพันเดิมเกี่ยวกับงบประมาณในส่วนของเงินเดือนที่จะเพิ่มให้พนักงานมหาวิทยาลัยอีก 60% แม้ว่าสำนักงบประมาณจะขอต่อรองให้เป็นเพียง 40% ก็ตาม

อีก 2 เดือนเปิดลงทะเบียน "วิทยุชุมชน"

ที่ประชุมคณะทำงานด้านวิทยุกระจายเสียงชุมชน เปิดเผยว่า ในวันที่ 11 พฤษภาคมนี้ คณะทำงานจะเปิดรับฟังความคิดเห็นในร่างหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงชุมชน เพื่อนำเสนอให้คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) พิจารณาวันที่ 20 พฤษภาคม และคาดว่าจะสามารถออกประกาศได้ภายใน 15-30 วันหลังจากนั้น

หลังการลงทะเบียนแล้วสถานีวิทยุชุมชนประมาณ 4,000-5,000 สถานี จะได้รับใบอนุญาตชั่วคราวอายุ 1 ปี ให้ทดลองออกอากาศ โดยมีเงื่อนไขสำคัญว่าจะต้องไม่รบกวนคลื่นวิทยุอื่น ไม่ใช้ไปในทางการเมือง ไม่มีเนื้อหาปลุกระดมมวลชนหรือทำลายสถาบันเบื้องสูง ผู้มีสิทธิขอใบอนุญาตจะต้องเป็นสมาคม มูลนิธิ และเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร โดยมีรายการข่าวสาร หรือสาระที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนหรือท้องถิ่นนั้นๆ

From : http://www.fpps.or.th