สถาบันนโยบายศึกษา : Institute of Public Policy Studies (IPPS)

พฤษภาคม 2545 : ลงมติไว้วางใจ 15 รัฐมนตรี

สภาผู้แทนราษฎรลงมติไว้วางใจรัฐมนตรีทั้ง 15 คน หลังจากฝ่ายค้านเปิดการอภิปรายเป็นรายบุคคล 4 วัน 3 คืน (22-25 พฤษภาคมที่ผ่านมา) นอกจากนี้ฝ่ายค้านยังยื่นถอดถอนรัฐมนตรีอีก 9 คน วุฒิสภาเลือก นายพูนทรัพย์ ปิยะอนันต์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเป็นผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาคนที่สอง รัฐบาลตัดสินใจเลื่อนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าหินกรูด-บ่อนอก ส่วนโครงการท่อก๊าซไทย-มาเลย์ ให้ดำเนินการต่อแต่ปรับแนววางท่อไป 5 กิโลเมตร คณะกรรมาธิการฯ ศึกษาและรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับผลกระทบการใช้รัฐธรรมนูญของวุฒิสภา จะเดินสายรับฟังความเห็นประชาชน 5 ภาค ส่วนสำนักงาน กกต.ได้ศึกษารวบรวมปัญหาและอุปสรรคในการใช้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ เพื่อเสนอให้กกต.พิจารณาเป็นแนวทางแก้รัฐธรรมนูญ ครม.สัญจรภาคตะวันออกจะประชุม 21-23 มิถุนายนนี้

สภาไว้วางใจ 15 รัฐมนตรี

สภาผู้แทนราษฎรลงมติไว้วางใจรัฐมนตรีทั้ง 15 คน เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา หลังจากที่ฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เมื่อวันที่ 22-25 พฤษภาคม นอกจากนี้ ยังได้ยื่นคำร้องต่อประธานวุฒิสภา เพื่อขอถอดถอนรัฐมนตรีออกจากตำแหน่งตามมาตรา 303 และ 304 ของรัฐธรรมนูญ

ซึ่งแยกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ 1) ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเพียงอย่างเดียว จำนวน 7 คน 2) ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจและยื่นถอดถอน จำนวน 8 คน 3) ยื่นถอดถอนเพียงอย่างเดียว 1 คน คือ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยผลการลงมติการอภิปรายและรายชื่อผู้ถูกยื่นถอดถอนมีดังนี้

สำหรับรัฐมนตรีที่ถูกถอดถอนทั้ง 9 คน วุฒิสภาได้ส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม
การทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หาก ป.ป.ช.ชี้ว่ารัฐมนตรีคนใดมีมูลความผิดก็จะส่งกลับให้วุฒิสภาพิจารณาถอด
ถอนออกจากตำแหน่ง โดยมติถอดถอนของวุฒิสภาต้องใช้เสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 5 หรือ 120 เสียงของจำนวน
ส.ว. 200 คน

วุฒิสภาเลือกผู้ตรวจการฯ เพิ่มอีก 1

วุฒิสภาลงมติ 129 เสียง เลือก นายพูนทรัพย์ ปิยะอนันต์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เป็น
ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา หลังจากมีผู้ถูกเสนอชื่อทั้งหมด 4 คน คือ นายพยนต์ พันธ์ศรี อดีตรอง
เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง นายยรรยง ถนอมพิชัย อดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นายศุภโชค เริงวรรณ อดีตรองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
และนายพูนทรัพย์

ตามรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้มีผู้ตรวจการแผ่นดินฯ ไม่เกิน 3 คน แต่เท่าที่ผ่านมามีผู้ตรวจการแผ่นดิน
ของรัฐสภาเพียงคนเดียว คือ นายพิเชต สุนทรพิพิธ ขณะนี้วุฒิสภาได้เลือกเพิ่มอีก 1 คน ยังขาดอีก 1 คน
จะต้องมีการสรรหาโดยการเปิดรับสมัครบุคคลที่มีความเหมาะสมตามคุณสมบัติเพื่อเสนอให้วุฒิสภา
ดำเนินการคัดเลือกต่อไป

เลื่อนโรงไฟฟ้า-เปลี่ยนจุดวางท่อก๊าซ

สำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการตัดสินใจเกี่ยวกับ 3 โครงการ คือ

1) โครงการท่อส่งก๊าซและสถานีแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย จ.สงขลา โดยรัฐบาลให้ดำเนินการต่อไปตามสัญญา แต่ให้การปิโตรเลียมแห่ง
ประเทศไทย (ปตท.) ปรับเปลี่ยนจุดวางท่อขึ้นฝั่งจากจุดเดิมในรัศมีไม่เกิน 5 กิโลเมตร เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ
กับชาวบ้าน นอกจากนี้ยังให้ทำความเข้าใจกับชาวบ้านในพื้นที่ด้วย

2)และ 3) โครงการโรงไฟฟ้าหินกรูด-บ่อนอก จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยรัฐบาลให้เลื่อนการก่อสร้าง
ออกไปก่อน เพราะจากการตรวจสอบตัวเลขปริมาณการใช้ไฟฟ้าปัจจุบันและอนาคตเปรียบเทียบกับปริมาณ
ไฟฟ้าที่มีอยู่ และกำลังผลิตที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างแล้วยังมีปริมาณไฟฟ้าเพียงพอถึงปี พ.ศ.2550 นอกจากนี้
ยังให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นคู่สัญญากับเอกชนไปหารือร่วมกันเพื่อคลี่คลายปัญหาทุกๆ
ด้านต่อไป

หลังจากที่รัฐบาลได้แถลงผลการตัดสินใจดังกล่าว ทำให้ชาวบ้านที่คัดค้าน โครงการท่อก๊าซไทย-
มาเลย์ จำนวนกว่า 1,000 คนออกมาเคลื่อนไหวโดยจะไม่ยินยอมให้มีก่อสร้างโครงการดังกล่าวในพื้นที่
จ.สงขลา อย่างเด็ดขาด ส่วนกลุ่มผู้คัดค้านโรงไฟฟ้าหินกรูด-บ่อนอก ได้ยื่นหนังสือถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี ให้ยกเลิกการก่อสร้างโครงการไม่ใช่ชะลอโครงการอย่างที่ดำเนินการอยู่ เนื่องจากโครงการ
ดังกล่าวส่งผลกระทบสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต สุขอนามัยของชาวบ้าน และละเมิดสิทธิชุมชน รวมทั้งความไม่
โปร่งใสของการประมูลและทำสัญญา ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน
ข้อเท็จจริงการทำสัญญาและการบริหารสัญญาของทั้ง 2 โครงการ เพื่อสรุปข้อเสนอแนะต่อไป

ส.ว.เดินสายรับฟังความเห็นแก้ รธน.

คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับผลกระทบ
การใช้รัฐธรรมนูญของวุฒิสภา ที่มี ม.ร.ว.กำลูนเทพ เทวกุล เป็นประธาน แทน นายชุมพล ศิลปอาชา ที่ได้
ขอลาออกไป จะเดินทางไปรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทุกภูมิภาคตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมนี้ โดย
ภาคเหนือที่ จ.พิษณุโลก และเชียงใหม่ ภาคใต้ที่ จ.สงขลา นครศรีธรรมราช หรือสุราษฎร์ธานี ภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ จ.ศรีสะเกษ มหาสารคาม สกลนคร หรือนครราชสีมา ภาคกลาง ที่ จ.นครสวรรค์และ
กรุงเทพฯ และภาคตะวันออกที่ จ.จันทบุรี

การรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนได้กำหนดประเด็นปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปการเมือง
หรือเป็นตัวถ่วงประสิทธิภาพในกระบวนการนิติบัญญัติ แยกออกเป็นการเข้าสู่อำนาจรัฐ การใช้อำนาจรัฐ และ
การตรวจสอบอำนาจรัฐ

นอกจากนี้จะมีการระดมความคิดเห็นในเชิงลึก และรับฟังความเห็นจากองค์กรอิสระ สถาบัน
การศึกษา สื่อมวลชน อดีต ส.ส.ร. วุฒิสภา และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) โดยจะดำเนินการให้เสร็จสิ้น
ก่อนวันที่ 11 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันที่รัฐธรรมนูญมีอายุครบ 5 ปี

กกต.เสนอแก้กฎหมาย

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ทำการศึกษาอุปสรรคและปัญหาจากการใช้ พ.ร.บ.
ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ว. ส.ส. พ.ร.บ.คณะกรรมการการเลือกตั้ง และ พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรค
การเมือง เพื่อเสนอต่อ กกต.นำไปพิจารณาประกอบการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ หลังประกาศใช้ครบ 5 ปี
สำหรับประเด็นสำคัญที่สำนักงาน กกต. เสนอ ได้แก่

1. รัฐธรรมนูญมาตรา 104 และ พ.ร.บ.เลือกตั้งฯ มาตรา 83 ว่าด้วยการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร โดยเสนอให้ผู้ที่อาศัยอยู่นอกราชอาณาจักรเลือกตั้งเฉพาะ ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ
2. รัฐธรรมนูญ มาตรา 68 และ พ.ร.บ.เลือกตั้งฯ มาตรา 23 ว่าด้วยการเสียสิทธิทางการเมือง สำหรับผู้ที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ซึ่งการเสียสิทธิเป็นเรื่องที่ไกลตัว จึงเสนอให้พิจารณาเป็นการให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ที่ไปใช้สิทธิแทน แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าสิทธิที่จะได้เป็นอย่างไร
3. รัฐธรรมนูญ มาตรา 116 และ พ.ร.บ.เลือกตั้งฯ มาตรา 4 ว่าด้วยคำนิยามวันเลือกตั้ง โดยจะขยายให้ครอบคลุมถึงวันเลือกตั้งล่วงหน้า
4. รัฐธรรมนูญมาตรา 147 (2) และ พ.ร.บ.เลือกตั้งฯ มาตรา 40 และ 41 กรณีที่ปรากฏหลักฐานชัดเจนอันควรเชื่อได้ว่า “ก่อนได้รับการเลือกตั้ง” ผู้สมัครมีการกระทำทุจริต จะถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งได้ ซึ่งที่ผ่านมาผู้สมัครมักมีการแจกสิ่งของก่อนมีประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง แต่ไม่มีการกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนว่า “ก่อนเลือกตั้ง” นับตั้งแต่เมื่อใด โดยจะเสนอให้ระบุวันให้ชัดเจน
5. รัฐธรรมนูญ มาตรา 118 และ พ.ร.บ.เลือกตั้งฯ มาตรา 96 ว่าด้วยการพ้นสภาพความเป็น ส.ส.และ ส.ว. กรณีที่ กกต.มีคำสั่งให้มีการนับคะแนนเลือกตั้งใหม่ แล้วเกิดผลเปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ สำนักงาน กกต.จะสรุปประเด็นและเสนอให้ กกต.พิจารณาต่อไป

ครม.สัญจรภาคตะวันออก

สำนักนายกรัฐมนตรี แถลงกำหนดการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ครั้งที่ 4 ที่ จ.ระยอง ตราด
และจันทบุรี ระหว่างวันที่ 21-23 มิถุนายนนี้ โดยที่ จ.ระยอง จะรับฟังเกี่ยวกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมเพื่อ
การส่งออก ทั้งน้ำมัน ปิโตรเลียม ยานยนต์ ก๊าซ และสภาวะแวดล้อมที่ได้รับการร้องเรียนว่าเกิดมลภาวะ ที่
จ.ตราด เป็นการประชุมเกี่ยวกับการส่งเสริมผลไม้ไทยสู่ตลาดนานาชาติ การส่งเสริมการท่องเที่ยวและการ
พัฒนาเกาะช้าง และที่ จ.จันทบุรี จะไปดูโครงการชลประทานน้ำเค็มและการปลูกป่าชายเลน
หลังการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งนี้จะมีการสรุปยุทธศาสตร์ในการพัฒนาพื้นที่ด้านฝั่งตะวันออกใน
เวลาต่อไป

From : http://www.fpps.or.th